ตอนที่ 5
เปลวเคยเป็นอดีตเจ้าพนักงานป่าไม้ กองอุทยานแห่งชาติสาละวิน อดีตลูกน้องเก่าที่คุณพิทยาเคยรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
“นายเปลวคนนี้เป็นใครกันคะ?”
หญิงสาวเชยใบหน้าหวานขึ้นถาม แพขนตางอนระยับที่ล้อมกรอบให้กับดวงตาสุกใส ขยับเบาๆ ถามอย่างให้ความสนใจ
“เรื่องมันยาว...เดี๋ยวลงไปถึงบ้านพักแล้วลุงจะเล่าให้ฟัง ว่าแต่ตอนนี้เย็นมากแล้ว กลับลงข้างล่างกันก่อนดีกว่า ผืนป่าเทือกนี้เอาแน่เอานอนกับมันไม่ค่อยได้ บางครั้งที่เห็นว่าแดดจ้า ชั่วกระพริบตามันก็หนาวครึ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ป่าที่ยิ่งดิบชื้นมากเท่าไร มนต์ไพรมันก็ยิ่งแรงตาม”
‘มนต์ไพร?...’ เป็นอีกคำศัพท์ใหม่ ที่ทำให้คิ้วโค้งราวคันเคียวของหญิงสาวต้องขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย
ครู่เดียว รถจี๊บวิลลี่ เครื่องยนต์ดีเซล LD20 สีเขียวเทา ขับเคลื่อนสี่ล้อ ของคุณพิทยา ก็วาดวงเลี้ยวออกมาจากชะง่อนผาที่พาหญิงสาวไปหยุดยืนมองผืนป่าเบื้องล่าง ดอกยางหยาบใหญ่จากซุ้มล้อที่ยกสูง ตะกุยถนนที่ราดโรยเอาไว้ด้วยก้อนกรวดหลวมๆจนเศษหินและใบหญ้าขาดวิ่น กระเด็นไปตามแรงเหวี่ยงจากวงล้อ
แม้เส้นทางจะเต็มไปด้วยหลุมบ่อ และโค้งเขาที่คดเคี้ยวน่าหวาดเสียว แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับป่ามากว่าค่อนชีวิต ด้วยหน้าที่การงานที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่กับสาละวิน ก็ทำให้ชายวัยกลางคนสามารถบังคับพาหนะได้อย่างแคล่วคล่อง ทะลุปรุโปร่งกับเส้นทาง กระทั่งพาหญิงสาวที่บากบั่นมาขอความช่วยเหลือ ลงจากดอยแม่สะเรียง สู่พื้นราบเบื้องล่างได้อย่างปลอดภัย
หลังจากใช้เวลานั่งคุยกันอีกพักใหญ่ คุณพิทยาก็เดินมาส่งหญิงสาวที่หน้าประตูบ้าน
“เอานามบัตรใบนี้ไป”
ก่อนจากกันวันนั้น ลุงพิทยาควักกระเป๋าสตางค์ออกมา ค้นเจอนามบัตรใบหนึ่ง เก่าซีดจนมุมทั้งสี่ด้านของมันแหว่งวิ่น เพราะเบียดยัดอยู่ในกระเป๋าสตางค์มานาน
นามบัตรซึ่งชายหนุ่มชื่อเปลวเคยให้ไว้เมื่อนานมาแล้ว
“ขอบคุณค่ะคุณลุง”
หญิงสาวเอื้อมมือรับด้วยรอยยิ้มรื่น แววตาฉายประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของชานนท์ผู้เป็นพี่ชายผุดพรายขึ้นในมโนภาพที่เกือบเลือนลางสิ้นหวังกับสุสานสาละวินที่ฟังดูแล้วชวนให้ขนลุกขนพอง
“เขาอาจจะไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ” คุณพิทยาอมยิ้ม เมื่อกล่าวถึงเปลว
“ไม่เหมือนยังไงคะ?” หญิงสาวช้อนใบหน้าชดช้อยขึ้นถาม
“นายเปลวคนนี้ค่อนข้างเก็บตัว มีความเป็นตัวเองสูง ไม่ค่อยชอบสังคม รักความสันโดด เป็นคนมุทะลุดุดัน ใจนักเลง ขวานผ่าซาก อาจจะเข้าใจยากในบางครั้ง แต่ลุงรับรองว่าปากมันตรงกับใจ และที่สำคัญ…จิตใจมันกว้างเหมือนผืนป่า มันเป็นพรานก็จริง...แต่รับรองว่ามันไม่เหมือนกับพรานคนอื่นๆที่หนุเคยได้ยิน และที่สำคัญ...ความรอบรู้เรื่องป่าและหัวใจที่กล้าหาญของผู้ชายคนนี้ จะพาหนูบุกบั่นไปถึงสุสานสาละวินได้”
ลุงพิทยากล่าวอย่างคนที่รู้จัก…และรู้จริงเกี่ยวกับนายเปลวฆวัจน์คนนี้
แต่ยังมีอีกอย่างที่คุณพิทยาลืมบอกกับหลานสาว ถึงนิสัยของนายเปลวคนนี้ ก็คือความเจ้าชู้
“คุณลุงมั่นใจนะคะ…ว่านายเปลวคนนี้ จะนำทางคณะค้นหาเข้าไปถึงสุสานสาละวินได้”
หญิงสาวถาม น้ำเสียงนั้นต้องการคำยืนยันให้มั่นใจ
“ลุงมั่นใจว่านายเปลวคนนี้…จะพาคณะค้นหาไปถึง……”
คุณพิทยากล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น ทว่าทิ้งบางประโคยที่ไม่ควรจะกล่าวออกมาเอาไว้เบื้องหลัง
ประโยคที่ว่า ‘ไปถึงก็จริง...แต่จะได้กลับออกมาหรือไม่ นั่นก็สุดแท้แต่โชคชะตาจะลิขิต’ แต่คุณพิทยาก็ไม่ได้กล่าวประโยคนี้ออกมา เพราะเกรงว่าจะพาลทำให้หญิงสาวที่แววตาวาวโรจน์เพราะเห็นความหวังรางๆ ต้องดับวูบสิ้นหวัง กับความพยายามที่จะติดตามหาพี่ชายร่วมสายเลือด
“นายเปลวคนนี้…จะรับงานใช่ไหมคะ?”
หญิงสาวถามอีก เมื่อยังไม่สิ้นสงสัย
“ข้อนั้นหนูต้องพยายาม” ชายวัยกลางคนกล่าว หากสีหน้าและแววตาก็ไม่ได้แสดงความหนักใจออกมาแต่อย่างใด เพราะอย่างน้อย ก็ยังเชื่อในมิตรภาพเก่าๆระหว่างตนกับชายหนุ่มรุ่นลูกคนนี้
บ่ายของวันนั้น หลังจากได้ข้อมูลเบื้องต้นจากคุณพิทยา เกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อเปลว หรือ ‘เปลวฆวัจน์’ ว่าปัจจุบันอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่
จากนั้นพริมก็ลาลุงพิทยากลับในเย็นวันเดียวกันนั้น บึ่งรถออกจากอำเภอแม่สะเรียงของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลัดเลี้ยวข้ามเนินเขาคดเคี้ยวลูกแล้วลูกเล่า มุ่งสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ในทันที
จังหวัดเชียงใหม่