ตอนที่ 4
และหายากมากที่สุดอีกชนิดหนึ่งของไทย ซึ่งจะพบเห็นได้เฉพาะบนยอดดอยสูงเท่านั้น
“แต่พี่ชานนท์บอกว่าจะเข้าป่าเพื่อไปหาเอื้องพลายชมพูนะคะ”
“อืม…หากขุมทรัพย์ไม่ใช่เป้าหมาย พี่ชายของหนูก็อาจจะไม่ได้พลัดพลงเข้าไปเทือกแถบนั้นอย่างที่เราพยายามสันนิษฐานกันก็เป็นได้ ซึ่งลุงภาวนาขออย่าให้เป็นที่ตรงนั้น”
ชายวัยกลางคนหยุดนิ่งชั่วขณะ ถอนหายใจลึกยาวอีกครั้ง
“หมายความว่าที่ตรงนั้น…อันตรายมากใช่ไหมคะคุณลุง?”
“ร่ำลือกันว่าที่ตรงนั้นเป็นดงเสือสมิง...ใครที่พลัดหลงเข้าไป น้อยคนนักที่จะได้กลับออกมาในร่างที่ยังมีวิญญาณ”
“ฟังดูน่ากลัวจังเลยนะคะ”
“ ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังมิวายที่จะยอมให้ความโลภพาเอาชีวิตเข้าไปทิ้งในป่า เอาวิญญาณไปทับถมกับเป็นสุสานสาละวินตามชื่อของมัน”
ลุงพิทยาถ่ายทอดเรื่องราวไพรออกมาจากประสบการณ์ตรงและตำนานที่เล่าขานต่อๆกันมา
ในทั้งหมดทั้งมวลของประโยคที่คุณพิทยากล่าว คำว่า “เสือสมิง” กึกก้องอยู่เต็มสองหู กระตุ้นความใคร่รู้ของหญิงสาวขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
“พริมมืดแปดด้านจริงๆค่ะคุณลุง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า แววตาหม่น ทอดมองผืนป่ากว้างใหญ่ตรงหน้าอย่างหมดหวัง
“ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...ที่จะค้นหาใครสักคน ท่ามกลางผืนป่าที่กว้างใหญ่ถึง 450,950 ไร่ จากเบาะแสอันน้อยนิดที่ทิ้งเอาไว้”
“พอจะมีหวังไหมคะคุณลุง” หญิงสาวถามถึงความเป็นไปได้ ในการติดตามหาพี่ชาย
คุณไม่ได้ตอบคำถามนั้นตรงๆ
ระมัดระวังในคำตอบที่อาจจะไปทำลายความหวังของหญิงสาวเปล่าๆ
“แต่เทือกเขาที่พี่ชายของหนูหลงเข้าไป ลุงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นรอยต่อของสาละวินกับแม่สะเรียง” คุณพิทยาอธิบายไปตามประสบการณ์ของคนที่เคยผ่านและคุ้นเคยกับป่าแห่งนั้นมาก่อน
“หมายความว่าพอจะมีหวังที่จะติดตามใช่ไหมคะคุณลุง”
หญิงสาวถามอีกครั้ง หลังจากยังไม่ได้รับคำตอบในครั้งแรก
“อืม...หนทางก็พอจะมี แต่ก็มีอุปสรรคมากมาย ไหนจะฤดูกาล รู้กันอยู่ว่าเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม เป็นฤดูฝน ป่ายิ่งดิบชื้น ฝนมาก น้ำหลาก ทั้งสัตว์ร้าย ไข้ป่า ไหนจะ...” ชายสูงวัยทิ้งท้ายประโยคเอาไว้…
เหมือนระลึกได้ว่าควรลืม ดีกว่าจะไปนึกถึงมัน
“ลุงเกรงว่าไม่มีใครจะกล้ารับงาน...หรือถ้ามี ก็คงต้องรอให้ผ่านฤดูฝนไปก่อน”
สีหน้าของคุณพิทยา มีแววความกังวลฉายชัด
“หนูเข้าใจค่ะ...แต่ความเป็นความตายของพี่ชาย ก็ไม่ใช่สิ่งที่รอฤดูกาลได้”
“ลุงเข้าใจ เห็นใจ ชานนท์ก็เหมือนหลานคนหนึ่งของลุง”
“คุณลุงพอจะหาพรานพื้นเมืองฝีมือดี ช่วยนำทางเข้าไปค้นหาพี่ชานนท์ได้ไหมคะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงปนวิงวอน
“แค่ได้ยินว่าเป็นผืนป่าอาถรรพ์ทางด้านทิศตะวันตก แค่รู้ว่าที่ซึ่งจะไปตามหา คือสุสานสาละวินที่มีความลึกลับให้ร่ำลือกันไม่จบไม่สิ้น…แค่นี้ก็หาคนนำทางยากแล้วหละหนู”
ลุงพิทยาตอบด้วยคำตอบที่แทบทำให้พริมหมดหวัง
“ผืนป่าอาถรรพ์?”
หญิงสาวรำพึงเบาๆอีกครั้ง รู้สึกถึงสายลมเย็นที่พัดมาบาดผิว วาบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ทอดสายตาประหวั่น ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าสู่หัวใจดวงน้อยของเธอทันที
ดวงตาคู่คม มองผ่านริ้วเมฆบางๆที่ลอยปลิวผ่านหน้า ไปยังผืนป่าดงดิบเบื้องหน้า ป่าที่เขียวครึ้ม อึมครึม ลึกลับ เต็มไปด้วยความไม่รู้ และความไม่รู้นั้นเอง…ที่กลายเป็นความกลัว ถมทับกันอยู่ในราวไพรอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
หญิงสาวใจหาย เมื่อรู้สึกว่าช่องทางที่กำลังจะเข้าไปช่วยเหลือพี่ชายร่วมสายโลหิต กำลังตีบตันและคับแคบลงทุกที
“ไม่มีหนทางเลยหรือคะ...คุณลุง”
หญิงสาวเค้นน้ำเสียงถามอีกครั้ง
ชายสูงวัยหันมามองหน้าลูกสาวของเพื่อนรักด้วยความสงสาร
“การจะเดินเท้าเข้าไปในสาละวิน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากไม่ชำนาญป่าจริงๆ ขนาดพรานป่าที่ว่ามากประสบการณ์ ก็เอาชีวิตไปทิ้งไว้ในป่าแถบนั้นมาแล้วนับรายไม่ถ้วน”
“หนูยอมจ่ายค่าจ้างไม่อั้น...สำหรับคนที่กล้ารับงานนี้ ช่วยพี่ชายหนูด้วยนะคะลุง” หญิงสาวยกมือไหว้ วิงวอนเสียงสั่นพร่า หยาดน้ำตาใสๆ เอ่อท้นท่วมดวงตาคมที่ล้อมกรอบเอาไว้ด้วยแพขนตางอนระยับ ที่กำลังขยับกระพริบถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาไม่ให้รินไหล
ชายวัยกลางคนมองดวงตาดำๆของหลานสาวด้วยความสงสาร
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ค่าจ้างค่าแรง...แต่ปัญหาอยู่ที่ไม่มีใครกล้ารับงานตะหาก”
“ช่วยด้วยเถอะค่ะคุณลุง”
หญิงสาวรบเร้า
“อืม!...แต่ว่ามีอยู่คนหนึ่ง”
คุณพิทยาหยุดชั่วขณะสั้นๆ แววตาวาวเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน
“ใครกันคะลุง”
หญิงสาวละล่ำละลักถามด้วยความดีใจ
“นายเปลว” คุณพิทยากล่าว
เขาหมายถึงนาย ‘เปลวฆวัจน์’ พรานชำนาญป่าที่หลายคนรู้จักชื่อเสียงของเขาดี