บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

มีรถวิ่งผ่านไปเกือบจะสิบคัน แต่แอ๊บบี้ไม่รู้จักหน้าตาคนขับดังนั้นจึงไม่ยอมขออาศัย เพราะในเมืองชนบทนั้นออกจะอันตรายอยู่มากสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวที่จะขออาศัยรถของคนแปลกหน้า มีรถอีกจำนวนหนึ่งลดความเร็วลงเมื่อเห็นเธอจอดรถอยู่ข้างทาง แต่ไม่มีคนไหนยินดีจอดรับ เธอกัดพีชอีกคำหนึ่งขณะต่อรองกับตนเองอยู่ว่า ควรจะเริ่มออกเดินเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อจะได้ไปถึงบ้านหลังที่จะขอความช่วยเหลือดีหรือไม่ เมื่อไปถึงที่นั่นเธอจะได้ขอใช้โทรศัพท์เพื่อโทรกลับมาบอกให้พ่อแม่รู้ว่าขณะนี้เธอยังติดอยู่ตรงไหล่เขาเนื่องจากรถเสีย

แต่อีกใจหนึ่งก็คัดค้านว่าควรจะรอต่อไปอีกสักครู่...

หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ก็มีรถสปอร์ตสีเขียวเข้มคนหนึ่ง เวียนไหล่เขาลงมาถึงถนนใกล้กับที่เธอจอดรถอยู่ ทันทีที่เห็นฝากระโปรงเปิดอยู่เช่นนั้น คนขับก็ชะลอความเร็วของรถลง เนื่องจากเป็นรถสปอร์ต ดังนั้นคนขับจึงเอาประทุนลงไว้ แต่กระนั้นกระจกหน้ารถที่บังอยู่ก็ยังทำให้แอ๊บบี้เห็นหน้าคนขับไม่ชัดนัก

จนเมื่อรถคันนั้นมาหยุดต่อท้ายมาเบลนั้นแหละแอ๊บบี้จึงได้เห็นว่าทะเบียนรถคันนั้นมีใช้ทะเบียนท้องถิ่น เธอรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ช่วงเวลาสี่ปีที่กลับมาอยู่ในเมืองชนบทแห่งนี้ ทำให้เธอไม่ใคร่ไว้วางใจคนแปลกหน้าเท่าไรนัก

คนขับไม่ได้เสียเวลากับการเปิดประตูรถเลย เขาเพียงแต่ก้าวข้ามและเดินตรงมายังรถคันของเธอ แอ๊บบี้สังเกตเห็นอยู่ว่าเขาเป็นคนที่มีรูปร่างสูงสง่า หกฟุตเห็นจะได้ ในเมืองทัศนาจรนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะแต่งตัว ด้วยเสื้อยืดสีเทากางเกงขาสั้น สวมรองเท้าผ้าใบ ซึ่งดูจะเน้นในความตึงตัวของกล้ามเนื้อบนผิวสีน้ำตาลทอง เรือนผมของเขาเป็นสีทอง ซึ่งขณะนี้กำลังยุ่งเหยิงด้วยแรงลม

แอ๊บบี้ไม่อาจมองเห็นดวงตาที่บดบังไว้ด้วยแว่นกันแดดก็จริง แต่ออกจะชอบองค์ประกอบบนใบหน้านั้นซึ่งบอกความเป็นชายชาตรีทุกกระเบียดนิ้ว เป็นครั้งแรกเธอมีความรู้สึกดึงดูดใจเมื่อเผชิญหน้ากับเพศตรงข้าม อดเสียใจนิดๆ ไม่ได้ว่า เขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญขับรถผ่านมาเท่านั้น

“เฮลโล...” ริมฝีปากคู่นั้นแยกออกเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยอัธยาศัยไมตรี มองเห็นไรฟันขาวสะอ้าน “รถเสียหรือครับ”

“ใช่ค่ะ” แอ๊บบี้ตอบเรียบๆ

ขณะเดียวกัน ความสนใจของเธอก็เพิ่มขึ้นเมื่อผู้ชายคนนั้นถอดแว่นกันแดดที่สวมไว้ออก และเธอก็พบตัวเองกำลังจรดจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สีฟ้าเข้ม แววในดวงตาฉายแสงแห่งความเป็นมิตรมีเสน่ห์อยู่ในตัวของมัน นานนักหนามาแล้วที่แอ๊บบี้ไม่เคยมีความรู้สึกสนใจในตัวผู้ชายคนใด การออกเดตที่มีอยู่บ้างบางครั้งบางคราวนั้นก็เพียงเพราะอยากจะมีเพื่อนชายกับเขาบ้างเท่านั้น

แม้ว่าหม้อน้ำจะหมดควันที่พวยพุ่งออกมาแล้ว แต่แอ๊บบี้ก็ยังอดเตือนไม่ได้

“ระวังหน่อยนะคะ มาเบลนั้นเกิดรอยรัวขึ้นที่หม้อน้ำนั้น” สายตาของเขาที่ตวัดมามองด้วยความแปลกใจทำให้แอ๊บบี้นึกขึ้นมาได้ว่าเธอเรียกรถคันนั้นด้วยชื่อที่ตั้งขึ้นเอง “ฉันเรียกมันว่ามาเบลค่ะ” เธอพูดเป็นเชิงอธิบายรู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย

มันมีความสนใจเกิดขึ้นในดวงตายามที่เขาหันมามองหน้าแอ๊บบี้ในครั้งนี้ สายตาคู่นั้นกวาดไปทั่วเรือนร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอเป็นคนรูปร่างเพรียวระหงเหมือนนางแบบสูงห้าฟุตเจ็ดนิ้ว แต่ไม่มีใครกล้าวิจารณ์ว่าเธอผอมเหมือนไม้ซีกได้ เพราะส่วนโค้งส่วนเว้าบนเรือนร่างบ่งบอกถึงความเป็นสาวสะพรั่ง เธอมีเรือนผมที่ผู้เป็นมารดามักจะล้อเลียนว่าสีสตรอเบอรี่ บลอนด์ แอ๊บบี้รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่จัดว่าสวยมากคนหนึ่ง ความสดชื่นแจ่มใส เป็นสิ่งที่เสริมส่งความงามให้กับเธออีกโสดหนึ่งด้วย

หลังจากที่เวลาผ่านไปเป็นครู่ แววในดวงตาของคนแปลกหน้าคนนั้นก็บอกให้รู้ว่า เขาพอใจกับภาพที่ตนเองกำลังเห็นอยู่อย่างมาก แล้วจึงได้หันกลับไปให้ความสนใจกับหม้อน้ำในรถอีกครั้ง เขาโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อตรวจตราความเสียหายที่เกิดอยู่

“ผมคิดว่าพอจะช่วยมาเบลของคุณได้นะ” เขาพลอยเรียกชื่อรถคันนั้นไปกับเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ที่ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก พอจะบอกให้รู้ว่าเขาเข้าใจถึงสภาพของรถคันนี้ดีว่ามันเป็นอย่างไร “คุณมีผ้าขี้ริ้วหรือผ้าเช็ดตัวเก่าๆ บ้างไหมล่ะ”

“มีค่ะ อยู่ใต้ที่นั่งด้านหน้า รอเดี๋ยวนะคะ จะเอามาให้”

เธอไม่ได้เปิดประตูด้านคนขับซึ่งอยู่ด้านนอก ซึ่งต้องคอยระวังรถที่วิ่งผ่านมาอยู่ตลอดเวลา แอ๊บบี้บุกพงหญ้าเข้าไปยังที่นั่งด้านข้าง เปิดประตูออก ต้องยืดตัวเต็มที่ที่จะเอื้อมเข้าไปหยิบผ้าเร็วใต้ที่นั่ง ตอนนั้นเองที่ศอกไปชนเข้ากับขวดแก้วใส่แยม พอขวดหนึ่งล้มอีกหลายขวดก็พลอยล้มตามไปด้วยเหมือนดอมิโน ตอนที่มือควานไปหยิบผ้าแอ๊บบี้หลับตาไว้ เชื่อว่าจะต้องได้ยินขวดใบใดใบหนึ่งแตก แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แอ๊บบี้ได้ผ้าแล้วเตรียมจะลุกขึ้นจากท่าที่พังพาบอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่บุกหน้าเข้ามาสวบสาบ เนื่องจากพื้นภายในรถค่อนข้างจำกัด แอ็บบี้จึงต้องเอี้ยวคอมามองทางข้างหลัง

“เป็นอะไรหรือเปล่านะ” ผู้ชายคนนั้นเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ตัว แววในดวงตาบอกความห่วงใย

เธอรู้สึกขัดเขินอีกครั้งเมื่อแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในท่าที่ไม่น่าดูเช่นนี้

“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ฉันเพียงแต่ทำขวดใส่แยมล้มเท่านั้น” เธอลุกขึ้นได้แล้ว หน้าตาแดงก่ำ แต่น่าจะเป็นเพราะเลือดตกหัวตอนที่ก้มลงไปหยิบผ้าผืนนั้นมากกว่า

ตอนที่แอ๊บบี้ส่งผ้าให้นั้น เธอจึงได้สังเกตเห็นว่าตัวเองยืนอยู่ใกล้เขามากเพียงไร เสื้อยืดตัวนั้นเนียนแนบอยู่กับลำตัว เผยให้เห็นช่วงไหล่ที่ผึ่งผายและแผงอกกว้างความเป็นชายชาตรีของเขาดูจะมีอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อจิตใจของแอ๊บบี้ สัญชาตญาณแห่งความเป็นผู้หญิงทำให้เธอรู้สึกว่าอกใจกำลังหวั่นไหวไม่น้อยเลย

“แล้วทำอะไรแตกหรือเปล่า” แอ๊บบี้จับตามองริมฝีปากที่ขยับเปล่งคำพูดประโยคนั้นออกมา เป็นครู่ที่เธอชะงักงันไปแล้วก็รีบตั้งสติให้มั่นเข้าไว้

นี้เราเป็นอะไรไป...หญิงสาวถามตัวเองอย่างกราดเกรี้ยว ทำไมเราถึงต้องทำตัวเหมือนสาวแก่ที่หิวกระหายในชายหนุ่มด้วยเล่า แต่มันก็มีเสียงค้านเกิดขึ้นในใจว่าเธอไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น เพียงแต่นานมาแล้วไม่ได้พบผู้ชายที่หล่อเท่าผู้ชายคนนี้เท่านั้น

ดวงตาดูสีน้ำตาลแกมเขียวเหลือบขึ้นประสานกับเขาอยู่อย่างขวยเขิน มันคล้ายกับดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจะมีแววบางอย่างที่บ่งบอกว่า เขาอ่านความรู้สึกนึกคิดของเธอในยามนี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจตรงไหนเลย ประสบการณ์ที่ผ่านพบมาแล้วในชีวิต โดยเฉพาะในเรื่องของผู้หญิงบ่งบอกอยู่ทั้งในสีหน้าและแววตาของเขา

“ไม่มีอะไรแตกหักเสียหายหรอกค่ะ” แอ็บบี้เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอควรจะตอบคำถามของเขา “ก่อนที่ฉันจะออกจากบ้านคุณยายเคลน ท่านให้ผลไม้กวน ผลไม้ต้องมาเยอะแยะ ไม่มีที่ว่างตรงนั้นเลย พอชนเข้าขวดหนึ่งขวดอื่นๆ มันก็พลอยล้มตามไปด้วยเท่านั้น”

ช่วงไหล่ผึ่งเสียดสีกับต้นแขนตอนที่เขาก้มลงจับขวดเหล่านั้นให้ตั้งตรงขึ้น มือที่แข็งแรงค่อนข้างใหญ่ ทำให้เขาเก็บมันตั้งขึ้นได้ที่ละสองสามลูก เพียงครู่ขวดทุกใบก็อยู่ในที่ทางเรียบร้อย

“ขอบคุณมากค่ะ อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้” แอ็บบี้เอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาเก็บขวดขึ้นหมดแล้ว

เขาเลิกคิ้วสูงมองหน้าเธอยิ้มๆ

“ผมนึกถึงยายผมเหมือนกัน ท่านเป็นคนที่ทำแยมราสเบอรี่ได้อร่อยที่สุด แล้วก็รู้ด้วยว่าเป็นของโปรดของผม เมื่อไหร่ผมไปเยี่ยมละก้อ เป็นต้องได้ติดไม้ติดมือมาครั้งละสองขวดเสมอ ยายย่าทุกคนมักจะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นถ้าไม่พยายามเลี้ยงดูให้เราอ้วนก็มักจะพยายามยัดเยียดให้เราแต่งงานออกเรือนไปเสีย”

“ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ” แอ๊บบี้สนองตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง พยายามข่มใจไว้ที่จะไม่เหลือบมองนิ้วนางข้างซ้ายว่า ยายหรือย่าของเขาประสบความสำเร็จในความพยายามประการหลังหรือไม่ “นี่ค่ะผ้า” เธอส่งมาให้แล้วก็ออกเดินตามเขากลับไปยังหน้าหม้อรถอีกครั้ง “แล้วคุณจะทำยังไงล่ะคะ เอาผ้านั้นพันหม้อน้ำให้แน่นไว้ก่อนงั้นหรือ”

“ไม่ใช่หรอก” น้ำเสียงของเขาบอกความขบขันในการแสดงความคิดเห็นของเธอ แต่ไม่ใช่ในลักษณะของการหยันเยาะ “ถ้าพันไว้เฉยๆ ไม่แน่เหมือนกันว่ามันจะยึดได้หรือเปล่า ผมมีเทปพันสายไฟติดมาด้วย เดี๋ยวพอเช็ดส่วนนี้ให้แห้งแล้วเราก็เอาเทปนั่นพันให้แน่นเข้าไว้อีกไม่กี่ไมล์ก็ถึงยูเรก้า สปริงส์ แล้ว รับรองว่าคุณไปถึงที่นั่นแน่”

“แต่ว่าตอนนี้น้ำมันแห้งหมดแล้วนี่คะ” แอ๊บบี้พูดอย่างใช้ความคิด

“ไม่ต้องห่วง” เขาหมุนฝาครอบหม้อน้ำออก “ไม่ว่าจะไปไหน ผมจะต้องติดน้ำดื่มไปด้วยทีละสองแกลอนเพื่อฉุกเฉินไว้ เดี๋ยวเอามาเติมใส่รถคุณเสียก็สิ้นเรื่อง”

เธอส่ายหน้าอย่างแปลกใจที่เห็นเขาสามารถทำงานตรงหน้าได้อย่างแนบเนียนและแคล่วคล่อง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel