บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

สายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถ โอบอุ้มไว้ทั้งความร้อนและความชื้น พวงผมสีน้ำตาลแดงแกมทองปลิวไสว ช่วยให้เกิดความเย็นขึ้นได้บ้าง แว่นกันแดดอันหนึ่งวางอยู่บนแดชบอร์ดใกล้มือ แอ๊บบี้ สก๊อตต์ ถอดมันออกก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

สายฝนที่กระหน่ำหนักลงมาเมื่อตอนเช้าทำให้ทัศนียภาพของอาร์คันซัส โอซาร์ค อันเป็นเทือกเขาที่ไพศาลทั้งสะอาดและสดใสยิ่งนัก เมื่อมองตรงไปข้างหน้าและสองข้างทางหลวงสายนั้น จะเห็นแต่ความเขียวชอุ่มที่สลับสล้างต่างระดับกันอยู่ทั้งแนวป่า ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และสุมทุมพุ่มพฤกษ์ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสะอ้านปราศจากฝุ่นละออง เน้นให้ความเขียวขจีของสุมทุมพุ่มไม้และแนวป่าเหนือเทือกเขาโอซาร์คแห่งนี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

ดวงตาสีน้ำตาลคู่งามคอยแต่จะเหลือบแลชมความงามของทัศนียภาพที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ประกายเขียวที่แกมเก็จอยู่ในดวงตาคู่นั้น ราวจะสะท้อนภาพแห่งความงามของเมืองชนบทออกมาให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ในท่ามกลางความงามของธรรมชาติอันเหลือจะหาที่ใดเปรียบเทียบได้นี้ มันก็ยังมีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่แอ๊บบี้ไม่ชื่นชมเท่าใดนัก บ่อยครั้งที่เธอจะอุทธรณ์ถึงความคดเคี้ยวของถนนขนาดสองเลนที่ตัดผ่านเข้าไปในเทือกเขาโอซาร์ค เมืองชนบทที่ค่อนข้างเงียบเหงา ปราศจากแหล่งบันเทิง ปราศจากร้านรวงให้เดินเที่ยวชม และหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่ต้องการเช่นที่จะหาได้ในเมืองใหญ่ ยิ่งกว่านั้นในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ตำแหน่งหน้าที่ในการงานก็ดูจะมีอยู่จำกัดเสียเหลือเกิน

ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว แอ๊บบี้ได้ละทิ้งความเงียบสงบในบรรยากาศของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อแสวงหาความตื่นเต้นให้กับชีวิตในคันซัส ซิตี้ ในระยะแรกที่เดินทางไปถึงเมืองนั้น เธอออกจะแน่ใจว่าได้พบในสิ่งที่ตนเองแสวงหาแล้ว แต่ในที่สุดเมื่อความตื่นเต้นกับชีวิตใหม่คลายลง เธอก็ได้เดินทางกลับมาสู่ยูเรก้า สปริงส์ อันเป็นบ้านเกิดเมื่อสี่ปีก่อน

ทุกคนที่รู้จักมักคุ้น ซึ่งก็รวมทั้งพ่อกับแม่ต่างไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดเธอจึงลาออกจากงานที่บริษัทสายการบิน ทรานส เวิร์ลด์ แอร์ไลน์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่อยู่คันซัส ซิตี้ ทั้งที่หน้าที่การงานก็ดูจะมั่นคง และยังมีโอกาสที่จะได้เดินทางท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง เพื่อหากำไรให้กับชีวิตอีกด้วย

ซึ่งถ้ามีใครถามถึงเหตุผลในเรื่องนี้ แอ๊บบี้จะตอบสั้นๆ เพียงประโยคเดียวว่า “เพราะคิดถึงบ้าน” แต่โดยความเป็นจริงแล้ว คำตอบดังกล่าวมีความจริงแฝงอยู่เพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น

เธอคิดเอาเองว่าแม่จะต้องเดาว่าเหตุผลที่ทำให้เธอลาออกจากงานที่บริษัทสายการบินแห่งนั้นจะต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องผู้ชาย ซึ่งแอ๊บบี้หยิ่งเกินกว่าที่จะยอมรับในความคิดดังกล่าวของผู้เป็นมารดาได้ ทั้งนี้เพราะเธอมองไม่เห็นว่า ชีวิตรักที่จะทำให้เธอต้องเดินเคียงข้างผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา ให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะรักและซื่อตรงต่อกันตราบชีวิตสลายนั้น มันจะให้อะไรขึ้นมาได้

ในตอนแรก เธอเดินทางกลับบ้านเพื่อเลียบาดแผลที่เจ็บร้าวนั้น แต่หลังจากที่เวลาผ่านไป ยิ่งนานเท่าไรเธอก็ยิ่งมองเห็นว่า แท้ที่จริงแล้วเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นั้นเป็นเพียงแค่ฟางเส้นสุดท้ายที่ผู้หญิงเราพยายามจะเกาะเกี่ยวไว้ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้มีความสำคัญสำหรับชีวิตเท่าไรนัก

ดังนั้นเมื่อมาถึงวันนี้ เธอยอมทำงานในตำแหน่งเลขานุการของพ่อผู้มีอาชีพเป็นทนายความ เงินเดือนที่ได้รับนั้นน้อยกว่าที่เคยรับมาหลายเท่า แต่เป็นเพราะว่าทุกวันนี้เธอยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ โดยตกแต่งส่วนที่เคยเป็นโรงเก็บรถม้าเสียใหม่ เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียค่าเช่าบ้านและอื่นๆ ยิ่งกว่านั้นก็ยังมีความเป็นส่วนตัวอย่างมากเธอเพียงแต่ช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านบ้าง ทำให้สามารถประหยัดเงินลงได้มาก ชีวิตจึงมีความสุขสบายตามอัตภาพ

ยิ่งกว่านั้นเธอกยังมีรถส่วนตัว ซึ่งตั้งชื่อให้มันว่า “มาเบล” อีกด้วย ก่อนหน้านี้แอ๊บบี้ใช้ปอร์เช่ สปอร์ต แต่เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายส่วนตัว จึงหันมาใช้รถยนต์ราคาถูกที่ค่อนข้างเก่าคันนี้แทน ทั้งที่ตัวถังของมันเริ่มจะมีคราบสนิมจับ สีสันซึ่งเป็นสีฟ้านั้นก็ขะมุกขะมอมเต็มทีแถมยังไม่เท่ากัน ตรงหน้าหม้อกับประตูด้านที่นั่งของผู้โดยสารจะเป็นสีฟ้าจางไม่เหมือนกับส่วนอื่นของตัวถัง

แอ๊บบี้อดนึกขึ้นไม่ได้เมื่อคิดถึงว่า ถ้ามีใครสักคนจะกล่าวว่ารถควรจะมีอะไรบ่งบอกลักษณะอันเด่นชัดของตัวมันเอง แล้วก็เห็นจะเป็นเจ้า “มาเบล” คันนี้นี่เอง บางครั้งขับๆ ไปเครื่องยนต์ก็จะเกิดอาการสำลักขึ้นมาเฉยๆ บางครั้งก็จะครวญครางราวผู้หญิงแก่ขี้บ่น แต่ถึงอย่างไร มันก็เป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์มาโดยตลอด

เมื่อรถเริ่มไต่ขึ้นไปตามเส้นทางที่สูงชัน แอ๊บบี้ก็เปลี่ยนเป็นใช้เกียร์สอง มันมีความผิดปกติเกิดขึ้นในเสียงเครื่องยนต์ คล้ายจะเป็นเสียงร้องทุกข์ว่ามันแก่เกินกว่าที่จะปีนเขาสูงชันขนาดนี้ได้แล้ว แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังสามารถจะพาเธอวกวนขึ้นไปตามเส้นทางลายนั้นได้ อยู่รอยยิ้มอ่อนๆ ฉาบขึ้นบนใบหน้าของแอ๊บบี้

แม้ว่าเดือนกรกฎาคมจะจัดว่าเป็นเดือนแห่งฤดูกาลท่องเที่ยว แต่การจราจรบนเส้นทางหลวงสู่ยูเรก้า สปริงส์ ก็มิได้คับคั่งเท่าไรนัก อาจจะเป็นเพราะนักทัศนาจรส่วนใหญ่จะใช้เส้นทางสายหลักเสียมากกว่า ดังนั้นถนนในเมื่องชนบทจึงค่อนข้างเงียบสงบ

ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ก็เป็นยามบ่ายของวันเสาร์ นักทัศนาจรส่วนใหญ่น่าจะอยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้วดังนั้นบนถนนจึงมีรถผ่านไปมาค่อนข้างน้อย

ภายหลังจากที่ผ่านประสบการณ์ในช่วงของการจราจรในชั่วโมงเร่งรัดมามาก แอ๊บบี้ไม่ยอมให้การจราจรบนถนนมาเป็นอุปสรรคต่อการไปเยี่ยมเยียนคุณยายในวันหยุดสุดสัปดาห์ได้

ทุกวันนี้คุณยายเคลนก็ยังคงพำนักอยู่ที่บ้านไร่ในเทือกเขา ซึ่งเคยก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากผืนแผ่นดินแห่งนั้นร่วมกับสามีที่เสียชีวิตไปนานแล้ว แม้ว่าทุกวันนี้ที่ดินส่วนใหญ่จะให้ผู้อื่นเช่าทำกินไปหมดแล้วก็ตาม

ที่บ้านไร่ของคุณยายนอกจากจะเลี้ยงไก่ เลี้ยงแม่วัวไว้รีดนมแล้วก็ยังมีสวนผลไม้ คุณยายชอบที่จะทำผลไม้กระป๋อง ซึ่งก็ทำไว้มากจนรับประทานคนเดียวไม่หมดคุณยายไม่สนใจเลยว่า ทุกวันนี้อายุก็เจ็ดสิบเศษเข้าไปแล้วยังคงทำงานบ้านอย่างขยันขันแข็ง แม้ว่าจะทำได้ช้าลงมากก็ตาม ใครก็ตามที่ไปเยี่ยมคุณยายจะต้องกลับมาพร้อมด้วยผลไม้กระป๋อง หรือไม่ก็แยมที่ทำใส่ขวดแก้วไว้อย่างมากมาย และไม่ว่าจะท้วงติงสักเพียงไร ของฝากกลับบ้านก็ไม่เคยลดจำนวนลง

ดังนั้น ตรงที่วางเท้าด้านหน้าในรถของแอ๊บบี้ยามนี้จึงมีทั้งผลไม้ดองเปรี้ยว ผลไม้เชื่อม ขวดเครื่องเทศ ขนมปังสด เนย เยลลี่ แยม ซึ่งล้วนแล้วแต่สำเร็จด้วยฝีมือของคุณยาย กับถุงกระดาษอีกสองถุงใหญ่ที่วางไว้บนที่นั่งผู้โดยสาร ถุงหนึ่งคือมันฝรั่ง กะหล่ำปลี ข้าวโพดหวานจากในสวน ส่วนอีกถุงหนึ่งนั้นคือลูกพีชสดที่เพิ่งเก็บลงมาจากต้นใหม่ๆ กลิ่นหอมหวนไปทั้งรถ

เมื่อขนมาเกือบจะถึงสันเขา ความหอมของพีชที่ยั่วจมูกยั่วน้ำลายมาตลอดทางก็ชนะการบังคับใจตนเอง เมื่อแอ๊บบี้เอื้อมมือล้วงไปในถุงหยิบพืชผลหนึ่งขึ้นมากัด น้ำหวานพรูพรั่งหยาดย้อยชุ่มอยู่ในปาก ต้องใช้หลังมือคอยปาดไม่ให้มันลามไหลลงมาถึงปลายคาง

พอเธอจะกัดคำที่สองก็พอดีเหลือบไปเห็นสัญญาณไฟสีแดงกะพริบเตือนขึ้นบนหน้าปัด ทำให้ต้องลดลูกพืชในมือลง หัวคิ้วขมวดมุ่น ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่ามาเบลจะสำแดงอาการผิดปกติให้เห็นว่าขณะนี้เครื่องร้อนเกินไปแล้ว

“อย่าเพิ่งทำให้ตกอกตกใจน่ามาเบล” เธอพูดกับรถราวกับมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พูดจากันรู้เรื่อง “เราขึ้นเกือบจะถึงยอดเขาอยู่แล้วนะ”

แต่สัญญาณไฟสีแดงก็ยังคงปรากฏอยู่ แม้เมื่อเธอพารถลงจากเขาแล้วก็ตาม ทันทีที่แอ๊บบี้มองเห็นควันพวยพุ่งออกมาทางหน้าหม้อ ก็รู้ว่าตนเองกำลังประสบปัญหายุ่งยากเสียแล้ว จึงกวาดตามองหาสถานที่ที่พอจะนำรถเข้าไปจอดได้ จนกระทั่งเมื่อเลยมาอีกประมาณครึ่งไมล์จึงได้พบไหล่เขาที่กว้างพอจะนำมาเบลเข้าไปจอด ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นควันที่ลอยออกมาจากหน้าหม้อก็เพิ่มจํานวนขึ้นมากแล้ว

ทันทีที่จอดรถลง แอ๊บบี้เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อให้แน่ใจว่าถนนตรงบริเวณนั้นปลอดการจราจร จึงได้ก้าวลงเพื่อเปิดหน้าหม้อดูว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับมาเบล แอ๊บบี้ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนั้นยังถือลูกพีชไว้ จนเมื่อจำเป็นจะต้องใช้มือทั้งสองข้างเปิดฝากระโปรงรถขึ้น จึงต้องใช้ปากคาบไว้แทน ไม่สนใจกับน้ำหวานที่หยาดยอยลงสู่ปลายคาง

ชายเสื้อเชิ้ตที่สวมใส่อยู่นั้น แอ๊บบี้จับผูกไว้เป็นปมเพื่อช่วยไม่ให้ร้อนมากเกินไป เผยให้เห็นนวลเนื้อตรงช่วงเอว เมื่อแอ๊บบี้เปิดฝากระโปรงออก ฝอยน้ำร้อนก็พ่นมาถูก ทำให้เธอถึงกับกระโดดหลบ ลูกพีชที่คาบอยู่ในปากแทบจะหล่นลง ดีแต่คว้าไว้ได้ทันตอนที่ใช้อีกมือหนึ่งปาดละอองน้ำออกจากหน้าท้องอย่างรวดเร็ว

“มันเรื่องอะไรที่แกมาพ่นน้ำร้อนใส่ฉันยังงี้หา มาเบล” เธอดุมันออกไปอย่างโมโห

อย่างไรก็ตาม ควันที่พวยพุ่งออกมาจากหน้าหมอก็ระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว แอ๊บบี้ชะโงกหน้าเข้าไปดูแล้วพบสาเหตุ มันมีรูรั่วเกิดอยู่ตรงหม้อน้ำ ซึ่งทำให้ถึงกับไหล่ทรุด

แอ๊บบี้หันไปกวาดสายตามองไปทางถนน คำนวณระยะทางที่ห่างจากบ้านไร่หลังที่ใกล้ที่สุดว่า จะประมาณสักเท่าไร ปรากฏว่ายังจะต้องเดินทางเป็นระยะถึงสีไมล์กว่าจะถึงชานเมือง และในท่ามกลางความร้อนของแสงแดดที่แผดเผาอยู่อย่างนี้ แค่ที่จะต้องเดินสักครึ่งไมล์เธอก็ไม่สู้แล้ว

โดยความเป็นจริงแอ๊บบี้รู้จักผู้คนที่อยู่ในละแวกนี้แทบจะทุกคนเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีความหวังเกิดขึ้นในใจว่าเธอน่าจะต้องพบใครสักคนที่ขับรถผ่านมา และเธออาจขออาศัยเขาเข้าไปในตัวเมืองได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel