บทที่ 3
“ฉันดีใจจริงๆ นะคะ ที่คุณผ่านมาพบเข้าพอดี” แอ๊บบี้พูดอย่างเปิดเผย “กำลังคิดอยู่ว่าท่าจะต้องเดินไปหาโทรศัพท์ที่ไหนสักแห่งเสียแล้วสิ แล้วอากาศมันก็ร้อนเหลือกำลัง ไม่ได้เหมาะแก่การเดินสักนิด ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะที่กรุณาหยุดให้ความช่วยเหลือ”
“ผมเพียงแต่พยายามกระทำความดีเท่านั้น” เขาตอบยิ้มๆ เมื่อเอาเทปพันหม้อน้ำโดยตลอด แล้วเอาน้ำดื่มมา เติมลงให้เรียบร้อยแล้วก็หยุดยืนดูอยู่เป็นครู่ เพื่อสังเกตว่ามันจะมีการรั่วซึมออกมาอีกหรือไม่
“เรียบร้อย ไม่มีปัญหาแล้วละครับ” เขาปิดฝากระโปรงรถลงให้
“ฉันคิดว่าเพียงแค่คำขอบคุณคงจะไม่เพียงพอ เพราะคุณไม่เพียงแต่จะช่วยซ่อมหม้อน้ำให้ใช้การได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังให้น้ำเติมไว้อีกด้วย ถ้าไม่รังเกียจฉันขอจ่ายเงินให้คุณดีกว่านะคะ”
เขาขยับจะปฏิเสธ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้ม และรอยยิ้มนั้นมันทำให้เธอหัวใจรอนๆ ขึ้นมาอีก แม้ความรักจะมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงแค่สบตากันครั้งแรกเสมอไป แต่เสน่ห์ทางเรือนกายย่อมสามารถผูกใจได้อย่างแน่นอนและแอ๊บบี้ก็รู้ดีว่าความเป็นคนโรแมนติกของตนเองเคยสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้เกิดขึ้นมาแล้ว
“ที่ผมได้กลิ่นหอมจากในถุงที่อยู่บนที่นั่งนั่นน่ะลูกพีชใช่ไหมครับ” เขากลับย้อนถามไปเสียอีกทางหนึ่ง
“ใช่ค่ะ” แอ๊บบี้พยักหน้ารับ สายตาจับอยู่กับความเลื่อมลายของเรือนผม ที่ขณะนี้แสงแดดกำลังเล่นเงาอยู่
“ถ้าคุณยืนยันที่จะใช้หนี้ผมละก้อ ขอเปลี่ยนเป็นพีชสักสองผลก็แล้วกัน พีชที่ปลูกในสวนของเราเองมันหอมแล้วก็หวานกว่าที่ขายตามตลาดมาก”
“โอ ด้วยความยินดีลยค่ะ” เธอเดินกลับไปที่รถเอื้อมมือลงไปหยิบถุงกระดาษขึ้นมาทางหน้าต่างที่เปิดไว้
“หยิบได้เลยค่ะ จะเอาทั้งถุงก็ยังได้นะคะ เพราะถึงยังไงอาทิตย์หน้าคุณยายก็ต้องให้ฉันเอากลับบ้านอีกอยู่แล้ว”
“แค่สองผลก็เยอะแล้วละครับ” เขาหยิบพีชที่ต้องการออกมาจากถุง “ผมจะขับตามคุณเข้าไปถึงยูเรก้าสปริงส์ ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่เกิดปัญหาเพราะมาเบลอีก ผมจะต้องไปธุระที่นั่นอยู่แล้ว และอยากจะแนะนำว่าคุณควรจะแวะที่อู่แรกเปลี่ยนหม้อน้ำเสีย”
“แน่นอนค่ะ” เธอรับคำอย่างใจลอย รับรู้แต่เพียงว่าเขาจะต้องไปแวะที่ยูเรก้า สปริงส์ เท่านั้น “ยูเรก้า สปริงส์ เป็นเมืองที่น่าอยู่มากนะคะ คุณจะอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่งหรือเปล่า”
“ครับ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะทำยังงั้นเหมือนกัน” เขาตอบตามความจริง ขณะเดียวกันเธอก็สังเกตเห็นอยู่ว่าเขากวาดสายตาไปทั่วตัวอีกครั้ง
“รับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่ทีเดียวค่ะ” เธอรีบพูดออกไป สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันว่า เขาตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างต่อ มันเป็นกฎตายตัวที่เธอตั้งใจมานานแล้วว่าจะไม่ทำตัวสนิทสนมคุ้นเคยกับนักทัศนาจรคนไหน เพราะไม่มีเรื่องโรมานซ์เรื่องไหนที่จะจบลงในเวลาอันรวดเร็วเท่าที่เกิดขึ้นในฤดูกาลท่องเที่ยวอีกแล้ว แต่ลึกลงไปในใจแอ๊บบี้ยอมรับกับตัวเองว่า เธอยังอยากพบผู้ชายคนนี้อีก
“เอ้อ...ก่อนจะลาจากกันนั้นฉันขอขอแนะนำตัวให้คุณรู้จักไว้ก่อนนะคะ ฉันชื่อแอ๊บบี้ สก็อตต์ ส่วนมาเบลนั่นคุณจักแล้ว
“แอ๊บบี้...เป็นชื่อสั้นๆ จากแอ๊บบร้าใช่ไหมครับ” เขาเลิกคิ้วประกอบคำถาม
“เอ๊ะ คุณรู้ได้ยังไงน่ะ” แอ็บบี้ถามอย่างแปลกใจเต็มที่ “คนส่วนมากมักจะคิดว่าฉันชื่ออบิเกลกันทั้งนั้น”
ไหล่กว้างที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงไหวเบาๆ
“ผมว่ามันเหมาะที่จะเป็นชื่อนั้นมากกว่าเท่านั้นแอ๊บบร้าเป็นชื่อของเจ้าหญิงคนโปรดของโซโลมอน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีอยู่ในพระคัมภีร์” เขายื่นมือออกมาให้เธอสัมผัส “ส่วนผมทัลบอทครับ...เซธ ทัลบอท”
“นั่นก็เป็นชื่อที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ด้วยเหมือนกัน” แอ๊บบี้ไม่อยากยอมรับออกมาตรงๆ ว่า ความจริงแล้วเธอไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงเรียงนามของตนเองเลย โดยเฉพาะเมื่อเขาทำท่าว่าเป็นคนมีความรู้เช่นนี้เธอยิ่งไม่ต้องการให้เขาเห็นความไม่ฉลาดของตนเอง
“เซธเป็นลูกชายคนที่สามของอดัม” เขาพูดเป็นเชิงอธิบาย “แต่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเหมือนพี่ชายสองคนที่ชื่อเคนกับอะเบลนั่นหรอก”
“จริงทีเดียวค่ะ” เธอยิ้มให้เขา ประสาทปลายนิ้วสัมผัสความอบอุ่นจากอุ้งมือแข็งแรงนั้น ฝ่ามือของเขาค่อนข้างนุ่มไม่ได้หยาบกร้านเหมือนคนที่ต้องทำงานหนักเพื่อหาลี้ยงชีพ ซึ่งไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับเธอเท่าไรนัก นอกเหนือจากฝ่ามือที่อ่อนนุ่มกับใบหน้าที่หล่อเหลาเอาการแล้ว มันมีพลังบางอย่างที่กระจายออกมาจากตัวเขา เป็นพลังของคนที่รู้จักการใช้สติปัญญาเพื่อการครองชีวิต
เขาปล่อยมือจากเธอเก็บทั้งเทปและถังน้ำขึ้นมา บอกกับเธอว่า
“ถ้าคุณเกิดปัญหาขึ้นมาอีก บีบแตรสองครั้งนะครับผมจะขับตามไปเรื่อยๆ เซธ ทัลบอท ให้คำรับรอง
“โอเคค่ะ” เธอมองตามร่างที่เดินบุกพงหญ้ากลับไปที่รถของตนเอง เอาทั้งสองสิ่งในมือใส่ลงในที่นั่งทางด้านหลัง
รถที่แล่นสวนมาทำให้เธอสามารถจับตามองดูท่าที่ก้าวข้ามประตูเดี้ยเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย แอ๊บบี้รออยู่จนถนนโล่งแล้วจึงได้เดินไปขึ้นรถของตนเอง
เสียงเครื่องยนต์ครางกระหื่มขึ้นเมื่อแอ๊บบี้หมุนกุญแจสตาร์ท เมื่อเลี้ยวขึ้นสู่เส้นทางหลวงเรียบร้อยแล้วเธอก็โบกมือให้กับคนขับรถสปอร์ตที่ตามมาทางด้านหลัง
แม้สปอร์ตคันนั้นจะไม่ใช่รถใหม่เสียทีเดียว แต่แอ๊บบี้ก็เดาเอาว่ามันจะต้องราคาแพงไม่น้อย เธอพยายามคาดเดาถึงงานอาชีพที่เขาทำอยู่ ถ้าไม่เป็นทนายความก็น่าจะเป็นหมอ เธออดหัวเราะอย่างนึกขำตัวเองไม่ได้เมื่อคิดถึงว่า ถ้าเขาเป็นพนักงานขายละก้อ เขาสามารถขายทุกอย่างให้กับเธอได้
ระยะทางสี่ไมล์จากจุดที่เกิดเหตุถึงยูเรก้า สปริงส์ ดูจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน แอ๊บบี้สังเกตเห็นอีกว่าตลอดระยะทางดังกล่าว มาเบลไม่ได้ส่งสัญญาณไฟสีแดงเป็นการเตือนอันตรายอีกเลย ซึ่งเธอก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ ถ้าเธอรู้จักวิธีการตั้งคำถามที่ดีแล้ว เธอย่อมจะหาข้อมูลเกี่ยวกับเซธ ทัลบอท ได้มากกว่านี้แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่า เมื่อถึงยูเรก้า สปริงส์ แล้วเขาจะพักที่ไหน และเขาอยากจะไปเที่ยวชมอะไรที่ไหนบ้าง เป็นต้น
แอ๊บบี้ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจเมื่อพิจารณาตัวเองแล้วก็เห็นอยู่ว่า เธอกำลังคิดจะไล่จับผู้ชายคนหนึ่ง อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายแต่ประการใด เพียงแต่ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะทำอะไรพรรค์นี้ได้ง่ายๆ
แต่กระนั้นลึกลงไปในใจก็ยังอดคิดต่อไม่ได้ ว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ ถ้าเขาจะได้ประทับจุมพิตลงสักครั้ง ไม่น่าเชื่ออีกว่าคนอย่างเซธ ทัลบอท จะสามารถดึงดูดจิตใจเธอได้ในเวลารวดเร็วเช่นนี้
หรือว่าในที่สุดบาดแผลที่ทำให้เธอหมดความไว้วางใจในผู้ชาย ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม บัดนี้ได้หายสนิทลงแล้ว
ตอนที่แอ๊บบี้เลี้ยวรถเข้าไปในอู่แรกที่พบ เธอก็ได้ยินเสียงแตรดังขึ้นทางข้างหลัง เมื่อหันไปมองเจ้าของรถ สปอร์ตคันนั้นก็โบกมือให้ก่อนจะพุ่งรถผ่านไป หญิงสาวยอมรับว่าเธอต้องระบายลมหายใจด้วยความสุดแสนเสียดายออกมา รู้อยู่แก่ใจว่านับแต่นี้มันจะต้องเป็นการบังเอิญอย่างที่สุด ถ้าเธอจะได้พบกับเขาอีกสักครั้ง
ผู้ชายรูปร่างอ้วนใหญ่วัยกลางคนเดินออกมาจากห้องทำงาน เขาคือเคอร์มิท แอปเปิ้ลเบิม เจ้าของอู่ซ่อมรถแห่งนี้ รู้จักเธอมาตั้งแต่แอ๊บบี้เพิ่งสอนเดิน จำจุดกระบนใบหน้าเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นสาวของเธอได้ดี แอ๊บบี้ยังรู้สึกดีใจไม่น้อยที่เมื่อมาถึงวันนี้ จุดกระเหล่านั้นได้เลือนหายไปหมดสิ้นแล้ว แต่เคอร์มิท แอปเปิ้ลเบิม ก็ยังถือความใกล้ชิดสนิทสนมที่จะเรียกเธอว่า “ยายหน้ากระ” อยู่นั้นเองเป็นชื่อเล่นที่เขาตั้งให้ และไม่มีใครจะกล้าเรียกเธอได้นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น
“เฮลโล ยายหน้ากระ” เขาทักทายเธอด้วยสรรพนามที่เคยชิน และแอ๊บบี้ก็พยายามซ่อนความรู้สึกไม่ชอบใจลงไว้อย่างแนบเนียนด้วยรอยยิ้ม “แม่แกลดี้ของคุณเกิดไม่สบายหรือไง”
“มันชื่อมาเบลต่างหากล่ะ” เธอกล่าวแก้พร้อมกับก้าวลงจากรถ “และวันนี้เจ้าหล่อนก็ระเบิดหม้อน้ำทิ้งแล้วละค่ะ หวังว่าคุณจะมีหม้อใหม่เปลี่ยนให้นะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก” เขาเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนก่อนจะเปิดหน้าหม้อรถขึ้น “เอ๊ะ ทำได้ไม่เลวเลยนี่”
“ฉันเห็นจะรับความดีความชอบในเรื่องนี้ไม่ได้หรอกค่ะ” แอ๊บบี้ตอบเรียบๆ “บังเอิญโชคดีที่มีนักทัศนาจรคนหนึ่งเขาขับรถผ่านมา พอเห็นว่ารถเสียก็เลยช่วยซ่อมให้พอใช้การได้ แล้วก็ยังอุตส่าห์ขับรถตามมาเพื่อให้แน่ใจว่ามาเบลจะไม่ก่อปัญหาให้เกิดขึ้นอีก”
“อ้อ คงจะเป็นคนที่บีบแตรใส่คุณเมื่อกี้นี้สิใช่ไหม” เจ้าของอู่ถามอย่างแปลกใจ และแอ๊บบี้ก็พยักหน้ารับสีหน้าของชายสูงอายุดูจะเปลี่ยนแปลกไปบ่งบอกความครุ่นคิด “ตอนแรกผมคิดว่าเป็นคนหนุ่มที่พยายามจะจีบคุณเสียอีก ถ้าเป็นยังงั้นละก้อผมเห็นจะไม่ยอมให้บริการแน่ ถ้ารถเขาเกิดเสียขึ้นมา” เขาปิดกระโปรงรถลงหันมามองหน้าแอ๊บบี้
“ขับเข้าไปตรงที่ว่างนั้นก่อนสิ ผมจะไปเอาหม้อน้ำใบใหม่มาเปลี่ยนให้”
กว่าที่การเปลี่ยนหม้อน้ำจะเสร็จเรียบร้อย ก็กินเวลากว่าสองชั่วโมง ที่ล่าช้ากว่าที่ควรเป็นก็เนื่องจากเขาต้องทำงานไปวิ่งรับโทรศัพท์ไปด้วยพร้อมกัน เกือบจะได้เวลาอาหารค่ำอยู่แล้ว กว่าที่แอ๊บบี้จะขับรถกลับเข้าบ้าน