บทที่ 4
ในขณะเดียวกันนั้นเองภานุซึ่งเป็นทั้งเพื่อนรัก และเป็นเจ้าของร้านอาหารร้านนี้ก็เดินมาตบไหล่เขาเป็นการทักทาย พร้อมกับนั่งลงข้างตัวชายหนุ่ม
“ทำไมวันนี้นายถึงว่างมาที่นี่ได้”
“วันนี้งานไม่เยอะและผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะมา นายสบายดีเหรอ”
“ก็เรื่อย ๆ ลูกน้องเข้าไปบอกฉันว่า นายพาผู้หญิงมาทานอาหารที่นี่ แล้วเธอไปไหนซะละ” อินทัชยิ้มก่อนที่จะถาม
“นายหมายถึงใคร”
“ก็กิ๊กใหม่ของนาย”
“เธอไม่ใช่กิ๊กใหม่ของฉัน”
“เออนายจะเรียกว่าอะไรก็ช่าง ว่าแต่เธอไปไหนแล้วละ” อินทัชยังไม่ทันได้ตอบคำถามของเพื่อน เพราะภานุหันไปเรียกผู้จัดการร้านเพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง
“พิมพ์นั่นนักร้องใหม่ของร้านเราเหรอ ทำไมผมถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เสียงดีนะลูกค้าท่าทางจะชอบ”
“ไม่ใช่ค่ะเธอมาพร้อมกับคุณอินทัช” จากคำตอบนั้นทำให้ภานุหันไปพูดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัว
“งั้นก็หมายความว่าผู้หญิงคนนี้นี่เองที่เป็นกิ๊กใหม่ของนาย เธอน่ารักดีนะแต่ยังดูเด็กอยู่เลย นายระวังตัวไว้บ้างก็ดี เพราะนายอาจจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์”
“ฉันบอกนายแล้วว่าเธอไม่ใช่กิ๊กใหม่ของฉัน”
“โอเคไม่ใช่ก็ไม่ใช่...แต่เสียงของเธอดีมากเลยนะ ลูกค้าดูจะมีความสุขเวลาที่ได้ฟังเธอร้องเพลง นายไปเจอเธอที่ไหน”
“ไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหม” ภานุหัวเราะช่วงนั้นเองที่ฉัฐธิชากล่าวลา พร้อมกับเดินลงมาจากเวทีและตรงมาที่โต๊ะของอินทัช แต่พอเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วยอีกหนึ่งคน ก็เลยเอ่ยปากถามเขา
“คุณมีแขกเหรอคะ”
แต่คนที่ตอบคำถามนั้นกลับเป็นชายแปลกหน้าที่เธอพูดถึง “สวัสดีครับผมชื่อภานุเป็นเพื่อนของนายทัชและเป็นเจ้าของที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ชายหนุ่มยื่นมือไปตรงหน้าหญิงสาว ณัฐธิชาเพียงแต่ยิ้มก่อนที่จะยกมือไหว้อย่างสวยงาม ทำให้ภานุยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะเรียกฉันว่าธิชาก็ได้ค่ะ”
“เสียงคุณเพราะมากเลยนะครับ ว่าแต่สนใจที่จะมาร้องเพลงประจำที่นี่ไหมครับ” ณัฐธิชาทำตาโตและถามด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ได้เหรอคะ...คุณจะจ้างฉันมาเป็นนักร้องประจำที่ร้านอาหารของคุณจริงหรือคะ”
“ครับถ้าคุณจะสนใจนะ”
“ฉันต้องสนใจอยู่แล้วละค่ะ คุณรู้ไหมคะว่าฉันชอบร้องเพลงมากเลย และความใฝ่ฝันของฉันก็คือการได้เป็นนักร้องที่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ดูมันจะยากอยู่เหมือนกัน ถ้าคุณสนใจจะให้ฉันมาร้องเพลงที่นี่ฉันก็ตกลงค่ะ”
“ไม่ได้เด็ดขาด” อินทัชรีบคัดค้าน
“คุณมีปัญหาอะไรอีกละนี่มันชีวิตของฉันนะ ทำไมคุณถึงชอบมาห้ามไม่ให้ฉันทำโน่นทำนี่อยู่เรื่อยเลย” เธอหันไปวีนใส่เขาเพราะเขาอาจจะทำให้เธอพลาดงานนี้
“นั่นสิทัชนายมีปัญหาอะไรถึงได้ห้ามเธอ”
“เพราะว่าธิชาจะเป็นนักร้องหน้าใหม่ของบริษัทฉัน และนี่คือเหตุผลที่ฉันบอกว่าทำไมเธอถึงจะมาร้องเพลงที่นี่ให้นายไม่ได้”
“คุณพูดตลกอะไร!? อย่าบอกฉันนะว่าคุณจะจ้างฉันไปเป็นนักร้องในบริษัทของคุณ แล้วคุณคงจะไม่บอกกับฉันหรอกนะคะว่า คุณเป็นเจ้าของค่ายเพลงและกำลังมองหาศิลปินหน้าใหม่อยู่ ล้อเล่นเรื่องอื่นเถอะนะเพราะฉันไม่มีวันเชื่อคุณเด็ดขาด” คำตอบของณัฐธิชาทำให้อินทัชรู้สึกแปลกใจจนต้องเอ่ยปากถาม
“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมล้อคุณเล่นผมพูดเรื่องจริง”
“คุณกำลังจะยืนยันกับฉันว่าคุณเป็นเจ้าของค่ายเพลงจริง ๆ” อินทัชพยักหน้าแทนคำตอบ และนั่นทำให้ณัฐธิชาหัวเราะออกมาด้วยความขบขันกับมุกของเขา
“ตลกชะมัด!! แค่ที่คุณเอารถบีเอ็มรุ่นใหม่ล่าสุดของเจ้านายคุณมาขับ พาฉันมาทานอาหารที่นี่ฉันก็พอจะเข้าใจนะ แต่ว่าถ้าจะให้ฉันเชื่อว่าคุณร่ำรวยจนมีค่ายเพลงเป็นของตัวเอง นั่นมันจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ ฉันว่าคุณไปหลอกเด็กอมมือเถอะนะ”
“ยืมรถของเจ้านาย!? คุณหมายความว่าอย่างไร นั่นมันเป็นรถของผม” ภานุเองก็ช่วยยืนยันคำพูดของอินทัชเช่นกัน
“นั่นสิครับคุณธิชารถคันนั้นเป็นรถของเพื่อนผมจริง ๆ ทำไมคุณถึงได้เข้าใจว่าเพื่อนของผมยืมรถคนอื่นมาขับ แล้วทำไมถึงไม่เชื่อว่าเขาร่ำรวยจริง และเป็นเจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ที่ผลิตศิลปินที่มีชื่อเสียงออกมามากมายละครับ”
“คุณภานุคุณกำลังจะบอกว่าฉันเข้าใจเขาผิดไปเหรอคะ”
“ใช่ครับเพราะว่าทัชกับเมฆเขาร่วมหุ้นกันเปิดบริษัทเมโลดี้เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ขึ้นมา คุณเคยได้ยินชื่อบริษัทนี้มาก่อนไหมครับ” เธอพยักหน้าไม่ใช่แค่เคยได้ยิน แต่วันนี้เธอยังเดินผ่านบริษัทนี้อีกด้วย
“เพราะฉะนั้นเขาจะทำให้ความฝันของคุณให้เป็นจริงขึ้นมาได้ไม่ยาก ถ้าคุณมีความสามารถจริง ๆ ว่าแต่ทำไมคุณถึงคิดว่าเขาโกหกคุณละครับ”
“เพราะฉันคิดว่าเขาเป็นแค่พนักงานขายเครื่องดนตรีธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่น่าจะเป็นเจ้าของรถคันหรูแบบนั้นได้ ก็เลยเข้าใจว่าเขาเอารถของเจ้านายมาใช้ ฉันต้องขอโทษคุณด้วยนะคะคุณทัชที่เข้าใจคุณผิดไป น่าอายมากเลยใช่ไหมคะ ฉันทำอะไรลงไปนะ”
ตอนแรกชายหนุ่มก็งงกับสิ่งที่เธอพูด แต่พอรู้ว่าเธอเข้าใจเขาผิด เขาก็ขำมากกว่าจะโกรธ ที่เธอคิดว่าเขาเป็นเพียงเซลแมนกระจอก ๆ คนหนึ่ง ที่จะต้องยืมรถของเจ้านายมาขับพาสาวไปทานข้าวกับเขาเพื่อให้ดูโก้เก๋
“ไม่เป็นไรหรอกครับคนเราก็เข้าใจผิดกันได้ แต่ว่าผมดูเหมือนพนักงานขายจริงเหรอ”
“ฉันเห็นคุณเข้ามาถามฉันตอนที่ฉันเล่นเปียโนที่ร้านขายเครื่องดนตรี ฉันก็เลยเข้าใจว่าคุณคงจะเป็นแค่พนักงานขาย และทำตามหน้าที่ก็เท่านั้นเองค่ะ” เธอพูดแบบอาย ๆ ก่อนที่จะถามเขาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ว่าแต่คุณพูดจริงหรือเปล่าคะ...ที่จะให้ฉันเป็นนักร้องหน้าใหม่ของบริษัทคุณ”
“ครับแต่ว่าผมจะต้องเข้าออฟฟิศไปคุยกับเพื่อนของผมก่อน และเขาคงจะต้องทดสอบความสามารถของคุณด้วย ถ้าคุณผ่านการทดสอบของเรา เราก็คงจะได้ร่วมงานกัน”
“ฉันพร้อมเสมอที่จะไปให้พวกคุณทดสอบความสามารถ ทั้งทางด้านดนตรีและการร้องเพลงของฉัน”
จากนั้นเธอก็ทำท่าสาวช่างฝันเอามือท้าวคาง และคิดถึงอนาคตว่าเธอเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ มีแฟนคลับมากมายมารุมล้อมเธอพร้อมกับเอาของมาให้เธอ และตะโกนเรียกชื่อเธอตลอดทางที่เธอไปปรากฎตัว เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว อินทัชเรียกชื่อหญิงสาวหลายครั้ง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รับรู้ทำให้เขากับภานุมองหน้ากัน และหันไปมองเธออย่างแปลกใจว่าเธอเป็นอะไรไปกันแน่
“ธิชาคุณเป็นอะไรหรือเปล่า” อินทัชจับมืออีกข้างของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารทำให้เธอรู้สึกตัว
“เอ่อ...เปล่าค่ะฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“คุณแน่ใจนะผมเรียกคุณตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เห็นคุณมีปฏิกิริยาตอบรับ”
“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ...คุณเรียกฉันทำไมเหรอคะ”
“ผมถามคุณว่าคุณอิ่มแล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะอิ่มแล้วค่ะ”
“ผมจะได้ให้เขาคิดเงิน” แต่ภานุแย้งว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่ชายหนุ่มพาณัฐธิชาสาวสวยเสียงดี มาร้องเพลงขับกล่อมให้ลูกค้าที่นี่ฟัง หญิงสาวยิ้มให้ภานุก่อนที่จะเอ่ยปากขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะคะสำหรับอาหารมื้อนี้อร่อยมากเลยค่ะ” รอยยิ้มที่สดใสของเธอทำให้โลกดูสว่างสดใสขึ้นจริง ๆ
“ครับไม่เป็นไรครับถ้าคุณว่างเมื่อไรก็แวะมาอีกนะครับ ให้นายทัชพามาหรือถ้าเขาไม่ว่างคุณจะแวะมาเองก็ได้นะครับ ที่นี่ยินดีต้อนรับสาวสวยอย่างคุณเสมอ”
“ถ้ามีโอกาสฉันต้องแวะมาอีกแน่ค่ะ”
“ฉันกลับก่อนนะนุแล้วจะแวะมาใหม่”
“อืมตามสบายแต่คราวหน้านายพาเมฆมาด้วยสิ ฉันไม่ได้เจอนานแล้วรายนั้นทำแต่งาน ฉันว่านายงานยุ่งแล้วนะ แต่เมฆมันบ้างานจริง ๆ”
“ได้แล้วคราวหน้าฉันจะชวนมาด้วย” ณัฐธิชาโบกมือให้ภานุอีกทั้งยังเรียกเขาอย่างสนิทสนมตามที่อินทัชเรียก
“บ๊ายบายค่ะคุณนุยินดีที่ได้รู้จักคุณนะคะ วันนี้ฉันมีความสุขมากเลยค่ะ อาหารก็อร่อยมากด้วย”
“ครับเช่นกันครับ...ผมจะรออุดหนุนผลงานของคุณนะครับ”
“ขอบคุณค่ะไปก่อนนะคะ” เธอโบกมือให้เขาอีกครั้ง จากนั้นอินทัชก็จับมือเธอทั้งลากทั้งจูงพาไปที่รถ เขาหยิบกุญแจรถมาเปิดประตูให้เธอนั่ง แล้วก็อ้อมไปนั่งด้านคนขับ
“คุณจะให้ผมไปส่งคุณที่ไหน”
“คุณส่งฉันแถวนี้ก็ได้ค่ะ”
“แต่นี่มันมืดแล้วนะครับ คุณพักอยู่ที่ไหนผมจะไปส่งคุณเอง”
“ฉันพักอยู่ที่โรงแรมห้าดาวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ค่ะ” ณัฐธิชาบอกชื่อโรงแรมที่เธอเข้าพัก อินทัชขับรถพาเธอมาส่งจนถึงหน้าประตูโรงแรม
“ถึงแล้วครับ”
“ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง” เธอเปิดประตูแต่ก่อนที่จะก้าวเท้าลงจากรถนั้น อินทัชก็ดึงตัวเธอเข้ามากอด ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้น
“คุณจะทำอะไรปล่อยฉันนะ”
“ผมแค่อยากกอดคุณเท่านั้น นี่ครับนามบัตรของผมถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็โทรมานะครับ ส่วนเรื่องที่จะให้คุณเข้าไปทดสอบความสามารถทางด้านการร้องเพลง ผมคงจะต้องเข้าไปคุยกับเพื่อนของผมก่อน ได้เรื่องยังไงผมจะติดต่อคุณอีกที และคงจะต้องรบกวนขอเบอร์โทรศัพท์ของคุณด้วย” ณัฐธิชาเอื้อมมือไปรับนามบัตรนั้นมาเก็บใส่กระเป๋า พร้อมกับจดเบอร์มือถือของตนเองยื่นส่งให้ชายหนุ่ม จากนั้นก็ลงจากรถเดินเข้าโรงแรมเพื่อไปเก็บข้าวของ เธอคงจะต้องย้ายออกจากโรงแรมคืนนี้ แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปพักที่ไหน เงินที่มีก็ไม่รู้ว่าจะพอจ่ายค่าที่พักหรือเปล่า หญิงสาวเก็บข้าวของแล้วลงมาที่เคาเตอร์พนักงานต้อนรับเพื่อเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรม จากนั้นก็ให้เบลบอยเอากระเป๋ามาส่งที่หน้าโรงแรม หลังจากจ่ายค่าที่พักแล้วเธอมีเงินเหลือติดตัวไม่มากนัก โชคยังดีที่ยังมีเงินพอจ่ายค่าที่พัก ถ้าเธอโทรกลับไปขอเงินจากแม่...แม่จะต้องบอกให้เธอกลับไปที่ปารีสแน่นอน หญิงสาวถอนใจและคิดไม่ตกว่าจะจัดการกับปัญหานี้ของตัวเองอย่างไรดี
“แล้วคืนนี้เราจะไปพักที่ไหนเงินก็ไม่ค่อยจะมีแล้ว”
เธอหยิบนามบัตรของอินทัชขึ้นมาถือไว้ในมือ ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะโทรไปขอความช่วยเหลือจากเขาหรือไม่ เขาซึ่งจะเรียกว่าเป็นคนแปลกหน้าก็ว่าได้ เพราะว่าเพิ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทำไมเธอถึงไว้ใจเขาและไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า หญิงสาวถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่พร้อมกับนั่งลงบนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตนเอง คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับตัวเองต่อไปดี