บทที่ 3
เช้าวันต่อมา...ณัฐธิชาได้พยายามเข้าไปนำเสนอผลงานของเธอกับค่ายเพลงหลายแห่ง แต่ทุกแห่งจะพูดเหมือนกันคือ
’ช่วงนี้เรายังไม่มีนโยบายที่จะปั้นนักร้องหน้าใหม่ แต่เราจะเก็บโพรไฟล์ของคุณเอาไว้’ หรือไม่เธอก็จะได้รับคำตอบว่า ‘แล้วเราจะติดต่อคุณกลับไป’
หญิงสาวคาดหวังว่าน่าจะต้องมีสักบริษัทที่สนใจผลงานของเธอ และติดต่อเธอกลับมาแต่ก็เงียบ เธอได้แต่เฝ้ารอจากวันเป็นสัปดาห์จนตอนนี้เธอรอมาจนครบหนึ่งเดือนแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าบริษัทไหนจะติดต่อเธอกลับมา เงินทองที่เธอสะสมและนำติดตัวมานั้นก็ร่อยหรอ แต่เธอก็ไม่ย่อท้อง่าย ๆ ตอนนี้คงจะต้องเริ่มจากการหางานอื่นทำไปก่อน และที่สำคัญจะต้องย้ายที่พักเพื่อที่จะประหยัดเงินในกระเป๋าไว้ให้ได้นานที่สุด
เมื่อคิดได้ดังนั้นณัฐธิชาก็ออกหางานตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เขาติดประกาศไว้ เธอเดินจนเหนื่อยและไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเดินมาไกลแค่ไหน จนมาถึงบริษัทค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ “เมโลดี้เอ็นเตอร์เทนเม้นท์” และหยุดยืนอยู่หน้าตึกนั้น ตอนแรกคิดที่จะเดินเข้าไปนำเสนอผลงานของตัวเองที่นำติดตัวมา แต่พอคิดไปคิดมาก็เปลี่ยนใจเพราะว่าขนาดบริษัทค่ายเพลงเล็ก ๆ ยังไม่ยอมรับผลงานของเธอ และบริษัทยักษ์ใหญ่แบบนี้มีหรือที่จะมาสนใจผลงานของเธอ ณัฐธิชาเลือกที่จะเดินจากไป หญิงสาวเดินต่อไปจนถึงหน้าร้านขายเครื่องดนตรีทุกชนิดที่ใหญ่มาก เธอหยุดมองอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปเดินดูรอบ ๆ ร้าน จนมาหยุดอยู่ที่เปียโนหลังหนึ่งรู้สึกอยากลองเล่นดู
หญิงสาวนั่งลงหน้าเปียโนหลังนั้นแล้วลงมือดีดเพลงที่ตนเองชื่นชอบ พนักงานในร้านและลูกค้าคนอื่น ต่างก็หันมามองเธอเป็นจุดเดียว แม้แต่อินทัชที่เดินออกมาเพื่อสั่งงานลูกน้อง ยังต้องหยุดยืนฟังเสียงเปียโนของเธอ มันไพเราะมากและเป็นเหมือนมนตร์สะกดทุกคนเอาไว้ เมื่อเธอเล่นจบอินทัชก็ปรบมือให้ทำให้ทุกคนในร้านต่างก็ปรบมือให้เธอไปตาม ๆ กัน ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหาเธอพร้อมกับถาม
“คุณสนใจเปียโนหลังนี้เหรอครับ”
“คะ...เอ่อ...ไม่หรอกค่ะฉันไม่มีปัญญาที่จะซื้อเปียโน ในราคาแสนแพงแบบนี้หรอกค่ะ แต่ฉันเห็นว่ามันสวยดีก็เลยลองเล่นดู ขอโทษนะคะฉันขอตัวก่อนค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นและยิ้มให้กับชายหนุ่ม รอยยิ้มแสนหวาน ดวงตากลมโต ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ และใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวทำให้อินทัชชะงักไปเล็กน้อย เมื่อณัฐธิชาพูดจบก็เดินออกจากร้านไป อินทัชได้แต่มองตามไปจนเธอลับสายตา จากนั้นก็สั่งงานลูกน้องก่อนที่จะขับรถออกจากร้าน
ตอนแรกเขาขับรถผ่านเลยหญิงสาวไปแล้ว แต่เขาจำเธอได้ผู้หญิงคนที่ดีดเปียโนเมื่อกี้ ถึงแม้เขาจะเห็นเธอเพียงครู่เดียวแต่เขาก็ยังจำเธอได้ติดตา เพราะความน่ารักสดใสของเธอ และความสามารถในการเล่นเปียโนที่ไพเราะของเธอนั่นเอง เขามองเธอผ่านกระจกด้านข้างของตัวรถ เธอยังคงเดินหน้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจคนรอบข้าง อินทัชตัดสินใจถอยรถกลับไปจอดข้างตัวเธอ และก็กดกระจกรถทางด้านเธอลง พร้อมกับชะโงกหน้าไปถามหญิงสาว
“คุณกำลังจะไปไหนครับเดี๋ยวผมจะขับรถไปส่ง” ณัฐธิชาก้มลงไปมองว่าใครกันที่พูดกับเธอ เพราะเธอไม่มีญาติหรือคนรู้จักที่นี่ ตอนแรกเธอจำเขาไม่ได้แต่พอมองอีกทีก็เลยนึกออก
‘อีตาพนักงานขายคนที่เจอที่ร้านขายเครื่องดนตรีนี่นา’ เธอนึกในใจแต่ตอบเขาออกไปว่า
“ไม่เป็นไรค่ะฉันไปเองได้เชิญคุณตามสบาย”
“ขึ้นมาเถอะครับเดี๋ยวผมไปส่งคุณเองไม่ต้องเกรงใจ เร็วสิครับตรงนี้เขาห้ามจอดรถนาน” เธอลังเลอยู่สักพักก่อนที่จะตัดสินใจก้าวขึ้นรถไป เมื่อเห็นตำรวจจราจรกำลังเดินตรงมาที่รถของเขา ความจริงแล้วณัฐธิชารู้ดีว่าไม่ควรขึ้นรถของคนแปลกหน้า และก็ไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นรถของเขาหรอก แต่ดูจากหน้าตาท่าทางของเขาแล้วไม่น่าจะใช่พวกต้มตุ๋น อีกทั้งตำรวจจราจรก็กำลังเดินตรงมาทางนี้ ก็เลยทำให้เธอตัดสินใจก้าวขึ้นไปนั่งบนรถของเขา เมื่ออินทัชเห็นว่าเธอนั่งและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้ หญิงสาวตกใจผงะหนี
“คุณคิดจะทำอะไร”
“ผมก็จะคาดเข็มขัดนิรภัยให้คุณ” ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก...มากจนเธอได้กลิ่นน้ำหอมยี่ห้อดังที่เขาใช้ เขาเองก็ได้กลิ่นหอมของแป้งเด็กที่เธอใช้เช่นกัน ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอแล้วก็ออกรถไป
“คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหนครับคุณ...” อินทัชพูดค้างไว้เพียงแค่นั้นเพื่อให้เธอแนะนำตัวเอง
“ณัฐธิชาค่ะหรือคุณจะเรียกธิชาก็ได้”
“ผมอินทัชครับเรียกผมว่าทัชก็ได้ครับง่ายดี ว่าแต่คุณจะให้ผมขับรถไปส่งคุณที่ไหนดีครับ”
“คุณจะไปที่ไหนฉันก็ลงตรงนั้นละค่ะ บอกตามตรงนะคะฉันยังไม่มีที่ไปหรอกค่ะ”
แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรกันต่อเขาก็ได้ยินเสียงท้องของเธอร้อง อินทัชนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ส่วนณัฐธิชาก็รู้สึกอายและคิดตำหนิร่างกายของตัวเองในใจ
‘ทำไมท้องจะต้องมาร้องตอนนี้ด้วยนะ เขาจะต้องได้ยินแน่เลยขายหน้าจริง ๆ’
“ถ้างั้นเอาแบบนี้ดีไหมครับ ผมเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่ตอนบ่าย คุณไปทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนผมนะครับ” หญิงสาวหันมามองหน้าเขาพร้อมกับพูด
“ฉันไม่มีเงินที่จะเลี้ยงข้าวคุณหรอกนะ”
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงเพราะผมไม่ยอมให้คุณเลี้ยงผมหรอกครับ ผมต่างหากที่จะเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวคุณ เพียงแค่คุณรับปากที่จะไปทานข้าวเป็นเพื่อนผม แค่นี้ผมก็รู้สึกเกรงใจแล้วครับ”
หญิงสาวเลิกคิ้วพร้อมถาม “คุณจะเลี้ยงฉันจริงเหรอคะงั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ” แล้วก็ชวนเขาคุย
“ปกติคุณมักจะชวนสาวไปทานข้าวกับคุณ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอทุกครั้งเลยเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับเฉพาะคนที่ถูกใจผมเท่านั้น”
“คุณกำลังจะบอกฉันว่าคุณสนใจฉันงั้นสิ” อินทัชเพียงแค่ยิ้มให้เธอโดยไม่ได้พูดอะไร
เขาขับรถพาหญิงสาวมาทานอาหารที่ร้านของเพื่อน เป็นเพราะว่าชื่นชอบบรรยากาศของที่นี่ เนื่องจากมีวงดนตรีผลัดเปลี่ยนเวียนกันมา เล่นให้ลูกค้าฟังระหว่างรับประทานอาหาร การจัดตกแต่งร้านก็ดูคลาสสิค อินทัชจอดรถและชวนเธอเดินเข้าไปด้านใน แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงยืนนิ่งเฉย ทำให้เขาจูงมือเธอให้เดินตามเขาไป ณัฐธิชาองไปรอบ ๆ เธอรู้สึกชื่นชอบบรรยากาศภายในร้าน ในขณะนั้นเองผู้จัดการร้านเดินออกมาต้อนรับชายหนุ่ม
“สวัสดีค่ะคุณอินทัช”
“สวัสดีครับ...นายนุอยู่ไหมครับ”
“อยู่ที่ห้องทำงานค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปแจ้งให้คุณนุทราบว่าคุณอินทัชมา เชิญทางนี้เลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรผมเดินไปหาที่นั่งเองได้”
ในขณะที่ชายหนุ่มหยุดยืนคุยอยู่นั้น ณัฐธิชาเดินห่างออกไปไม่ไกลนัก ตรงนั้นมีกลุ่มนักดนตรีที่ดูเหมือนว่าอีกสักพักพวกเขาจะต้องเปิดการแสดงบนเวที แต่ว่าตอนนี้พวกเขากำลังถกเถียงกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด เธอจับใจความได้ว่านักร้องหญิงประจำวงของพวกเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่สามารถเดินทางมาขึ้นเวทีในวันนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงเสนอตัวเองเพื่อช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหานี้
“พวกคุณกำลังขาดนักร้องนำอยู่ใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับพอดีเธอประสบอุบัติเหตุมาไม่ได้ แต่ว่าอีกครึ่งชั่วโมงเราต้องขึ้นแสดงแล้ว แย่จริง ๆ ทำไมต้องมาเกิดปัญหาตอนนี้ด้วยนะ”
“ฉันคิดว่าฉันพอที่จะช่วยพวกคุณแก้ปัญหานี้ได้ ฉันจะขึ้นไปร้องเพลงแทนเธอเองค่ะ ถ้าพวกคุณยินยอมนะคะ” นักดนตรีมองหน้าเธอและหันไปมองกันและกัน เหมือนกับจะปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรดี จะยอมเสี่ยงให้เธอขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีพร้อมกับพวกเขาดีไหม ยังไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจพวกเขาก็ได้ยินเสียงเข้มคัดค้านจากชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งซะก่อน
“ไม่ได้นะ” ณัฐธิชาหันไปตามเสียงนั้นทันที และก็พบว่าอินทัชนั่นเองที่เป็นคนพูดคัดค้านขึ้นมา เธอหันไปพูดกับเขาด้วยสีหน้าจริงจังที่พร้อมจะเอาเรื่องเขาได้ทุกเมื่อ
“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อฉันจะต้องเป็นคนขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีไม่ใช่คุณซะหน่อย แล้วคุณมายุ่งอะไรด้วยคุณมีสิทธิอะไรที่จะมาห้ามฉัน” เขาหัวเราะกับท่าทางและคำพูดของเธอ ส่วนในใจเขากลับคิดไปอีกอย่าง
‘ผู้หญิงอะไรปากอมชมพูที่เผยอวีนใส่เขาอยู่นั้นน่าจูบจริง ๆ จะห้ามใจไหวไหมนะ’ ใจของเขาคิดอย่างแต่ปากพูดไปอีกอย่าง
“ผมไม่ได้จะห้ามคุณสักหน่อย แต่คุณลืมไปแล้วหรือครับว่า คุณมาที่นี่เพื่อที่จะมาทานข้าวเป็นเพื่อนผม และผมก็รู้ว่าคุณเองก็กำลังหิวเหมือนกัน เราไปทานข้าวกันก่อนดีกว่านะครับ แล้วคุณค่อยมาร้องเพลงให้ผมฟัง”
ณัฐธิชามองเขานิ่งนาน และคิดว่าที่เขาพูดมามันก็มีเหตุผลเหมือนกัน ที่สำคัญตอนนี้เธอก็รู้สึกหิวมากจริง ๆ อาหารมื้อสุดท้ายของเธอเมื่อไรกันนะ เมื่อเช้านี้ไม่ใช่สิที่ถูกคงจะต้องบอกว่าเมื่อเย็นวานต่างหาก เพราะเมื่อเช้าเธอทานแค่กาแฟดำไปเพียงแก้วเดียวเท่านั้น” อินทัชเห็นหญิงสาวลังเลเขาก็เลยฉุดมือเธอ
“เอาน่ากองทัพเดินด้วยท้อง เพราะฉะนั้นคุณไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมก่อนนะ” แต่เธอไม่วายหันไปบอกพวกนักดนตรีกลุ่มนั้น
“ฉันจะเป็นคนร้องเพลงแทนนักร้องนำของพวกคุณเองค่ะ ตกลงนะคะ” พวกนักดนตรีหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่หัวหน้าวงจะหันมาพยักหน้าให้เธอเป็นการตอบตกลง เมื่ออาหารมากมายถูกทยอยนำมาเสริฟที่โต๊ะทำให้ณัฐธิชาถึงกับต้องเอ่ยปาก
“คุณสั่งอาหารมาตั้งมากมายขนาดนี้แล้วคุณจะทานหมดเหรอคะ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร ก็เลยสั่งมาหลายอย่างเพื่อให้คุณเลือกทาน อีกอย่างผมก็หิวด้วย”
“ฉันทานอะไรก็ได้ไม่เรื่องมากหรอก แต่คุณเล่นสั่งมาตั้งเยอะแยะแบบนี้...” เธอเงียบไปพร้อมกับโน้มตัวเข้าไปกระซิบชายหนุ่ม
“คุณทัชคุณแน่ใจนะว่ามีเงินพอจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ ไม่ใช่ว่าพอเราทานกันเสร็จก็ต้องไปช่วยกันล้างจานด้านหลังร้าน เพื่อเป็นการหักหนี้ค่าอาหารที่เราทานไป” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับผมรับรองว่ามีเงินจ่ายค่าอาหารมื้อนี้แน่นอน ตอนนี้เรามาลงมือทานอาหารกันดีกว่านะครับ” อินทัชคอยบริการตักอาหารให้หญิงสาวทาน ณัฐธิชาทานอย่างเพลิดเพลินและทานได้มากนั่นอาจเนื่องมาจากความหิว ซึ่งตรงข้ามกับคนที่บ่นว่าหิวแต่กลับไม่ค่อยทานอะไร จนหญิงสาวรู้สึกแปลกใจทั้งที่เขาบอกเธอว่าหิว แต่ก็ไม่เห็นเขาทานอะไรสักเท่าไร เอาแต่คอยตักอาหารให้เธอ แถมยังนั่งยิ้มอีกต่างหาก
“คุณยิ้มทำไมมีอะไรน่าขำหรือคะ แล้วทำไมไม่ทาน ไม่ต้องคอยตักอาหารให้ฉันหรอกค่ะฉันตักเองได้”
“ผมเต็มใจทำให้คุณ”
ณัฐธิชายักไหล่ก่อนจะตอบ “ตามใจ...ว่าแต่คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะว่าเมื่อกี้คุณยิ้มทำไม”
อินทัชไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่เขาเอื้อมมือไปเช็ดซอสที่เลอะตรงมุมปากให้หญิงสาวแทน ณัฐธิชารู้สึกอายจะไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้อย่างไรกัน ก็ทานจนซอสเลอะมุมปากแถมยังไม่รู้ตัว ต้องให้เขาเช็ดให้อีกต่างหาก ที่สำคัญยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำแบบนี้กับเธอมาก่อนเลย
“แค่ผมเห็นคุณทานได้แบบนี้ผมก็พอใจแล้วครับ ปกติคุณทานเก่งแบบนี้เสมอเลยหรือเปล่าครับ”
“คุณจะบอกว่าฉันเป็นคนกินจุใช่ไหม จะว่าไปฉันก็เป็นคนกินเก่งจริง ๆ ด้วย แต่โชคดีที่กินเท่าไรฉันก็ตัวแค่นี้ ไม่ได้อ้วนขึ้นหรือผอมลง”
“นับว่าคุณเป็นคนโชคดีที่ทานเท่าไรก็ไม่อ้วน เพราะปกติแล้วผมจะเห็นพวกผู้หญิงเขาจะทานกันเพียงเล็กน้อย และมักจะเน้นแต่พวกผักหรือผลไม้ เหตุผลก็เป็นเพราะพวกเธอต้องควบคุมน้ำหนัก จะมีก็แต่คุณนี่แหละที่ผมเห็นทานได้โดยไม่กลัวอ้วน ผมก็เลยรู้สึกแปลกใจ”
“แปลว่าปกติคุณจะมีผู้หญิงรอบข้างตัวเยอะละสิใช่ไหม” เธอเอามือท้าวคางไว้กับโต๊ะพร้อมกับถามคำถามนี้กับเขา
“ก็แค่เพื่อนร่วมงาน”
“ไม่ต้องปิดบังฉันหรอกบอกว่าแฟนก็ได้ ฉันไม่แปลกใจนะเพราะว่าคุณเป็นคนหน้าตาดี ก็ต้องมีสาว ๆ มาสนใจคุณเยอะอยู่แล้ว”
“ขอบคุณที่ชมว่าผมหน้าตาดี ว่าแต่คุณสนใจที่จะคบกับคนหน้าตาดีอย่างผมบ้างหรือเปล่า”
“คุณพูดเรื่องตลกเหรอคะ คุณรู้ไหมว่าผู้ชายที่เคยพูดเล่นกับฉันแบบนี้ เขามารู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาล คุณคงจะไม่อยากเป็นแบบพวกเขาหรอกใช่ไหมคะ ฉันอิ่มแล้วค่ะเดี๋ยวฉันจะขึ้นไปร้องเพลงให้คุณฟัง เป็นการตอบแทนที่คุณเลี้ยงอาหารฉัน ฉันร้องเพลงเพราะนะ”
“ผมจะรอฟังนะครับ”
“โอเคค่ะรับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวัง”
ณัฐธิชาพูดพร้อมกับเดินตรงไปที่กลุ่มนักดนตรีกลุ่มนั้น ที่กำลังเตรียมตัวขึ้นแสดง โดยพวกเขานำเพลงที่นักร้องหญิงจะชอบร้องให้เธอดู เพื่อให้เธอเลือกว่าเธออยากจะร้องเพลงไหน หญิงสาวเลือกดูเพลงที่เธอชอบจากนั้นทุกคนก็ขึ้นไปบนเวที เริ่มเล่นดนตรีและร้องเพลงขับกล่อม สร้างความสนุกสนานให้กับลูกค้าที่มารับประทานอาหารอยู่ในขณะนั้น อินทัชนั่งฟังเพลงที่เธอร้องอย่างเพลิดเพลิน เสียงของเธอดีจริงอย่างที่คุยไว้