ตอนที่ 3.ความหลังที่ย้อนคืนไม่ได้
ภาคไม่เหมาะกับงานบริหาร เขาเป็นหัวหน้างานที่ใจร้อนเป็นส่วนใหญ่ โชติเลยไม่ค่อยวางใจนัก หากจะให้ภาครับผิดชอบงานแทนเขา ทั้งที่ความจริงงานที่ผ่านมือภาคแทบไม่มีช่องโหว่ เขาเป็นคนละเอียดรอบคอบ แต่ที่ทำให้โชติไม่ไว้ใจ เพราะภาคเองนั่นแหละที่ชอบพูดเล่น จนแม้แต่บิดาก็ไม่อยากเชื่อ
“งานที่บริษัทเยอะแยะ” ภามบ่นน้องชาย
“ผมไม่ชอบงานที่ยกให้ผู้อาวุโสกว่าเป็นใหญ่” หลายครั้งที่เกิดข้อพิพาท เพราะภาคไม่ยอมลงให้คนเก่าแก่ในบริษัท ภามจึงเหมาะที่จะทำหน้าที่นั้น เพราะเขาชอบการประนีประนอมมากกว่าการจัดการด้วยความเด็ดขาด
“แกอายุยังน้อย รอให้โตกว่านี้แกจะเข้าใจความคิดของคุณพ่อ” ภามตบไหล่น้อยชาย เดินเลยเข้าไปหาบิดา มารดาที่นั่งรออยู่ในห้องโถง
“ทำไมไม่พาแฟนของลูกมาให้แม่กับพ่อเห็นหน้าด้วยละ?” ภัควดีถามตรงประเด็น หลังภามแจ้งให้รู้ล่วงหน้า เขาไม่อยากให้บิดามารดาลำบาก แค่ส่งคนไปรับ แต่เขาต้องการเวลาสักพักเพื่อพาผู้หญิงที่เขากำลังศึกษานิสัยไปส่งที่บ้านของหล่อน
“แม่ครับ เรายังมีเวลาอีกเยอะสำหรับการทำความรู้จักกัน” ภามแย้งเสียงสุภาพ
“แหม อย่างน้อยก็น่าจะพามาให้ดูตัวก่อนสิ” ภัควดีอดท้วงไม่ได้
“ครับแม่ เร็วๆ นี้ผมจะพาใบบัวมาให้พ่อกับแม่ดูตัว”
โชติเอียงคอ “อืม...ชื่อคล้ายๆ แม่หนูคนนั้นเลยนะ” สีหน้าของภามเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขารีบปรับสีหน้าก่อนที่มารดาและบิดาจะสังเกตเห็น ยกเว้นคนเดียวที่เห็นเต็มตา
ภาคขมวดคิ้ว เขาเคยได้ยินพี่ชายพูดถึงเด็กสาวคนหนึ่งก่อนที่ภามจะไปเรียนต่างประเทศ เด็กสาวที่สดใสและเป็นเหมือนโลกทั้งใบของพี่ชาย
“น่าเสียดายนะ แต่...ช่างเถอะ ลูกรักผู้หญิงคนไหน แม่ก็รักเธอด้วย” ภัควดีพูดเสริม ผู้หญิงคนไหนก็ตามที่ผ่านการกลั่นกรองจากภามแล้ว หล่อนก็ต้องดีพอระดับหนึ่ง ถึงจะเสียดายเด็กสาวคนนั้นนิดหน่อยก็ตาม
ก่อนที่ภามจะไปเรียน เขาร่าเริงขึ้น การวางตัวเป็นผู้นำคนต่อไป ทำให้ภามต้องระมัดระวังการกระทำและคำพูด เขาสุขุมจนคนรอบข้างรู้สึกอึดอัด มีช่วงเดียวเท่านั่นที่ภามผ่อนคลายขึ้น จนคนรอบข้างแปลกใจ เด็กสาวคนนั้นทำให้ภามยิ้มบ่อยขึ้น เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินมาหลายปี นับตั้งแต่ภามเป็นหนุ่ม เริ่มได้ยินบ้างปละปลาย
โชติชอบบุตรชายตอนที่เขาผ่อนคลายมากกว่า ตอนที่มีสีหน้าเรียบเฉย
ภาคเป็นคนคนเดียวที่คงเส้นคงวา เขาสนุกกับการใช้ชีวิตของตัวเอง แหกทุกกฎเกณฑ์ แต่หากอยากให้ภาคทำตาม ต้องใช้เหตุผลตะล่อม
“หิวแล้ว เมื่อไหร่จะกินข้าวสักทีครับแม่” ภาคโอดครวญ
ภัควดีสะบัดหน้าใส่ “อ้าว!! ฉันลืมไปว่าวันนี้แกอยู่บ้านด้วย แหม...เกือบได้เทกับข้าวที่เหลือให้ลูกหมาจรกินแทนแกเสียแล้วสิ”
“ใจร้าย!!” ภาคแสร้งโอดครวญ เขายกมือปิดหน้าแสดงละครฉากใหญ่ต่อ
ตุ๊บ!! หมอนอิงใบใหญ่ลอยหวือมาตรงหน้า ภาคขยับหลบทันก่อนที่หมอนอิงใบนั้นจะกระแทกตัวเขา
“แม่หิวแล้วเหรอครับ?” แววตาระยิบระยับ กับสีหน้าใสซื่อของบุตรชายคนกลาง โชติโครงศีรษะ ทรงตัวยืน
“ไปเถอะ ก่อนที่จะเกิดสงคราม แม่ลูกคู่นี้เขารักกันรุนแรงเหลือเกิน”
ภามทรงตัวลุกตามบิดา เขาอมยิ้ม พยายามไม่มองสบตาน้องชาย
“แม่ครับพี่กับพ่อไปนั่นแล้ว เราพักรบกันก่อน อิ่มแล้วค่อยมาสู้กันใหม่ดีมั้ยครับ?”
ภาควิ่งตามมาติดๆ เสียงหัวเราะของเขาทำให้ภามอดคิดถึงใครอีกคนไม่ได้ จากนี้ไปเขาคงไม่มีทางได้เห็นภาพแบบนั้นอีก แววตาของใบข้าวแสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ถึงเธอจะไม่ปริปากพูดออกมาสักคำ แต่เขาก็รู้ดีว่า จากนี้ไป...เขากับใบข้าวไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“แม่ว่าไงนะคะ!!” ใบบัวตวาดเสียงแหลม
“เบาๆ สิยัยบัว” ส่งศรีปราม พร้อมกับรั้งใบบัวมานั่งใกล้ๆ
“แม่ใช้สมบัติของคุณพ่อหมดแล้ว และตอนนี้เราไม่มีอะไรเหลือแล้วงั้นเหรอคะ?” ใบบัวถามย้ำ สีหน้าเคร่งเครียด
ส่งศรีพยักหน้า มือของนางกำข้อมือของใบบัวจนแน่น “แม่คะ แม่เอาเงินไปใช้อะไรนักหนาคะ?”
“ก็เงินที่ส่งไปให้แกถลุงที่เมืองนอกนั่นไงละยะ ฉันต้องกู้เงินชาวบ้านมาให้แก ตอนที่แกร่ำร้องว่าจะกลับบ้านก็อีกก้อนใหญ่เลยนะ” ส่งศรีจงใจปกปิดความจริง ส่วนหนึ่งเขาส่งไปให้ใบบัวจริง แต่ก้อนใหญ่ๆ นั่นสลายไปกับเกมการพนันในบ่อน