บทที่ 7
ห้าปีที่ผ่านมา ฮันน่าหวนรําลึกไปถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเธอกับเขา ในร้านเครื่องเงินของพ่อในฟิลาเดลเฟีย นึกถึงใบหน้าที่หล่อเหลาของนายทหารผู้นี้ ตอนนั้นเธอรู้แต่เพียงว่าเขาได้หยุดพักร้อนและมาเยี่ยมเพื่อนที่อยู่ในเมืองนั้น และจากนั้นก็ได้พบกันอีกในงานราตรีสโมสรซึ่งแวนแคมพ์ เพื่อนสนิทของพ่อเป็นผู้จัดขึ้น ชื่อเสียงในความเนช่างฝีมือเครื่องเงินและฐานะของพ่อเป็นที่ล่วงรู้กันทั่วไป บวกกับความมีฐานะทางครอบครัวของแม่ ทําให้ฮันน่าได้ก้าวเข้าสู่วงสังคมของฟิลาเดลเฟีย
และในค่ำวันนั้นเอง เธอได้รับการแนะนําอย่างเป็นทางการให้ได้รู้จักกับพันตรีสเตเฟน เวด ความผูกพันระหว่างเธอกับเขาได้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด ฮันน่ารู้สึกชื่นชมในความฉลาดเฉลียว ความมั่นใจในจุดหมายของชีวิต ความสง่างามในชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่อยู่ และเธอก็ยังได้สังเกตเห็นอีกว่า เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานอยู่ไม่น้อย ซึ่งความรู้สึกนั้น ทําให้เขาสํานึกในหน้าที่ความเป็นทหาร และได้ขอเสนอย้ายตนเองจากหน่วยหนึ่งให้ออกมาประจําการอยู่ในแนวหน้า
และแล้วคําสั่งให้เขาประจําการในกองพันทหารม้าที่เก้าในเท็กซัสก็มาถึงก่อนหน้าวันแต่งงานเพียงวันเดียว เขาและเธอจึงไม่มีเวลาพอสำหรับการไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์
โดยความเป็นจริงแล้ว สเตเฟนไม่ต้องการให้เธอติดตามเขามาอยู่ในกองทหารทางภาคตะวันตกนี้เลย แต่คำเตือนของเขาถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ลําบากยากแค้น และอันตรายต่าง ๆ กลับทําให้ฮันน่าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จะต้องติดตามเขามาให้ได้ เพื่อที่จะเป็นกําลังใจ และให้ความสุขแก่เขา ในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่แสนทุรกันดารเช่นนี้
มันเป็นสิ่งที่ท้าทายมาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา เขาและเธอต้องโยกย้ายตามคําสั่งถึงสามครั้งสามหน ต้องขายบ้านที่ตกแต่งไว้เรียบร้อยถึงสามครั้ง แต่ทว่าไม่มีการเลื่อนตําแหน่ง ไม่มีการขึ้นเงินเดือน ไม่มีคําสั่งให้ประจําการอยู่เป็นที่ เนื่องจากความไม่แน่นอนดังกล่าว เพราะยังไม่แน่ใจว่าทางกองทัพจะส่งเขาไปประจําการที่ไหนอีก สเตเฟนกับฮันน่าจึงตกลงว่าจะยังไม่มีลูก โดยเฉพาะในแผ่นดินที่พระเจ้าทรงหลงลืมเช่นนี้ ความเจริญเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึง โรงเรียนก็มีน้อยเกินไป แม้แต่โบสถ์ก็มีเพียงสองสามแห่ง ส่วนโรงพยาบาลนั้นมีแค่เฉพาะโรงพยาบาลสนาม ดังนั้น ลูกที่เขาและเธอปรารถนา จึงจําต้องเวลาต่อไปอย่างไม่รู้ว่าจะได้มีเมื่อใด
สันกรามของสเตเฟนนูนขึ้น เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนั้น มันเป็นความรู้สึกหงุดหงิดที่ฉายขึ้นมาให้เห็นเพียงแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะลดมือลง พร้อมกับเบือนหน้าหนีเพื่อที่ฮันน่าจะมิได้เห็นความรู้สึกที่ปรากฏขึ้น แต่ความตึงเครียดก็ยังปรากฏให้เห็นในกิริยาท่าทาง
“คัสเตอร์ได้รับคําสั่งให้เดินทางไปวอชิงตัน เพื่อไปรับการสอบสวน เกี่ยวกับเรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าเขามีกรณีพิพาทกับเบลค์เนพ เมื่อตอนฤดูหนาวที่ผ่านมาในนิวยอร์ค” ดับลิว. ดับลิว. เบลค์เนพ เป็นรัฐมนตรีกลาโหมในสมัยประธานาธิบดีแกรนท์ “บางคนก็เชื่อกันว่าเขาคงจะกลับมาไม่ทันที่จะบัญชาการกองพันที่เจ็ดในฤดูร้อนปีนี้แน่”
“หรือคะ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย” ฮันน่าออกจะระมัดระวังที่จะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าสเตเฟนมีจุดอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องกองพันทหารม้าที่เจ็ดอยู่มาก
“อันที่จริง ผมควรจะยอมรับการย้ายไปกินตําแหน่งที่กองพันที่เจ็ดนั้นตั้งแต่เมื่อสี่ปีมาแล้ว จะได้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับไอ้พวกนิโกรที่นี่ แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องตําแหน่ง นายทหารที่บังคับบัญชาในหน่วยที่มีทหารผิวดําอยู่มักจะได้เลื่อนตําแหน่งเร็วกว่า” สเตเฟนกล่าว “อีกประการหนึ่งผมก็ไม่พอใจที่จะอยู่ใต้บังคับบัญชาของนายพลคนนั้นด้วย...แต่บางทีผมอาจจะคิดผิดไปก็ได้”
ฮันน่าฉลาดพอที่จะไม่พูดอะไรออกมาเลย เพียงแต่สองมือเข้าไปประสานกับเขาไว้
“เราควรจะออกไปข้างนอกกันดีกว่านะคะ จะได้ดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้วที่จะต้อนรับแขกค่ำวันนี้ไงคะ”
ส่วนที่จัดเป็นห้องรับแขกนั้น แทบจะไม่มีเครื่องตกแต่งประดับประดาเลย แสงสว่างจากตะเกียงดวงใหญ่ ส่องต้องฝาผนังของตัวอาคารที่ก่อด้วยอิฐดิบ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นคําสั่งอันเข้มงวดของกองทัพว่า นายทหารทุกคนจะต้องอยู่ในสภาพที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นทุกคนจึงอยู่ในบ้านที่ไร้สีสัน พื้นปูด้วยไม้ และหน้าต่างที่ทาด้วยสีเขียวเท่านั้น
จะมีก็แต่สมบัติส่วนตัวของฮันน่า ซึ่งเธอนําติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่งในทุกครั้งที่ย้ายติดตามสามีไป ซึ่งเครื่องตกแต่งบ้านเหล่านี้ ทําให้บ้านของเธอเป็นบ้านที่น่าอยู่กว่าของคนอื่น ซึ่งมีทั้งพรมปูพื้นสีเขียวลายทอง ซึ่งเป็นของขวัญวันแต่งงานชิ้นหนึ่ง ที่เธอยืนยันให้ส่งมาทางเรือ พร้อมกับเครื่องถ้วยชามและเครื่องเงินต่าง ๆ ที่ทําให้ห้องรับแขกส่วนนี้สวยขึ้น รวมทั้งสีของโซฟา หมอนปักที่เป็นลวดลาย ซึ่งฮันน่าปักขึ้นด้วยมือของเธอเอง ตลอดช่วงเวลาอันเงียบเหงา ขณะที่รอคอยสเตเฟนซึ่งออกไปปฏิบัติราชการนอกค่าย นอกจากนั้นก็ยังมีม่านลูกไม้ ผ้าปูโต๊ะอันเป็นสมบัติส่วนน้อยที่ตกมาจากครอบครัวของทางมารดา ส่วนใหญ่นั้นได้ถูกตัวแมลงกัดกินจนเสียหาย ขณะเดียวกัน บนฝาผนั่งก็ประดับด้วยความภาพของครอบครัว และภาพวาดใส่กรอบสวยงาม ยังมีงานฝีมือของฮันน่าอีกหลายชิ้นที่ถูกนำมาอวดไว้ในห้องนี้ และทําให้ห้องที่บรรยากาศจืดชืดมีสีสันสดใสขึ้นมาได้
ในห้องรับประทานอาหาร ประกอบด้วยโต๊ะบุฟเฟ่ต์เล็ก ๆ มีอ่างแก้วใส่พั้นช์มะนาว รายรอบด้วยคานาเป้และเค็ก ฮันน่าตรวจตราทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งดูเหมือนจะได้รับการตระเตรียมโดยสไตร๊ค์เกอร์ อันเป็นชื่อที่ใช้เรียกทหารรับใช้ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันเป็นงานที่ใคร ๆ ก็อยากทํา เพราะหมายถึงการได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับอยู่ ขณะเดียวกันก็ยังไม่ต้องทํางานประจําวันอีกด้วย ที่จําเป็นจะต้องใช้ทหาร ก็เนื่องจากการมาอยู่ในแถบถิ่นนี้ ออกจะเป็นกรยากที่จะมีผู้ช่วยฝีมือดีมาอยู่ด้วย ขณะที่ตรวจตราทุกสิ่งทุกอย่างอยู่นั้น ฮันน่าก็เอ่ยถามสามีขึ้นว่า
“คุณเคยได้ยินชื่ออปาเช่คนหนึ่ง ที่เขาเรียกกันว่าวูฮ์บ้างไหมคะ” เธอจัดเครื่องเงินให้ตั้งอยู่ในมุมที่ดูดีขึ้นไปพลาง ขณะเดียวกันก็หวนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายและคําสนทนาระหว่างตัวเองกับร้อยเอกเจค คัทเตอร์
“เป็นผู้นําคนหนึ่งในเผ่าชิริคาฮู” สเตเฟนทบทวนความทรงจํา “ทําไมหรือ”
“ผู้กองคัทเตอร์เชื่อว่าเขาอยู่ในกลุ่มอปาเช่ที่เราพบ เมื่อตอนบ่ายวันนี้” ฮันน่าหยุดเว้นระยะ “คุณคิดว่ามันมีความหมายอะไรบ้างไหมคะ”
“พวกมันก็เคลื่อนย้ายกันไปเรื่อย ๆ ผมไม่ค่อยเชื่อหรอกว่าจะอยู่ในความสงบได้นาน เวลานี้แรงผลักดันจากทางทัคซันน่ะแรงมาก มีคนเป็นจํานวนมากซึ่งรัฐบาลได้ทำสัญญาไว้กับพวกเหมืองแร่บ้าง, พวกทําไร่ปศุสัตว์บ้าง, พวกทําป่าไม้บ้าง ต้องการจะให้รัฐบาลจัดสรรที่ดินให้พวกอปาเช่อยู่กันเป็นที่เป็นทาง อย่างอริโซน่าก็ได้มีการโยกย้ายพวกอินเดียนแดงจากแค้มป์ เวอเดอ และไวท์ เมาเท่น ไปอยู่แซน คาร์ลอส กันหมดแล้ว เวลานี้ปัญหามันอยู่ที่เรื่องของเวลาก่อนที่จะตัดสินใจ โยกย้ายอปาเช่จากดินแดนของพวกมันในเม็กซิโก กับเผ่าชิริคาฮู จากเทือกเขาในทะเลทรายที่พวกมันครอบครองอยู่ออกไป ซึ่งแน่นอนที่พวกอปาเช่จะต้องต่อสู้” สเตเฟนเม้มปากแน่น “แล้วพวกเราที่อยู่กันที่นี่มีกำลังน้อยเกินไป มีแต่ม้าที่ไม่มีฝีตีน แล้วก็ไม่เคยมีใครมาห่วงเราเลยด้วย”
ฮันน่าเข้าใจในความรู้สึกเจ็บของสเตเฟนได้ดี เป็นเวลา 5 ปีมาแล้ว ที่เขาพยายามให้ตัวเองมีบทบาทในทางเมือง เพื่อที่จะให้หน่วยของเขาได้รับความสนใจจากผู้มีอํานาจบ้าง ยิ่งกว่านั้นกองพันแห่งนี้ก็ได้แสดงผลงานในการต่อสู้กับข้าศึกมาโดยตลอด
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คุณเชื่อว่ามันจะต้องมีความยุ่งยากเกิดขึ้นใช่ไหมคะ” ฮันน่าเงยขนมองหน้าเขาเต็มตา
“อยากจะให้มันมีอยู่เหมือนกันนะ เพราะผมเกลียดการที่จะมาติดอยู่ที่นี่แล้วก็ถูกลืมไปโดยปริยาย” รอยยิ้มแห้งแล้งปรากฏขึ้นเหนือริมฝีปาก ขณะที่เขายกแก้วพั้นช์มะนาวขึ้นดื่ม
ฮันน่าเอื้อมไปหยิบแก้วใบหนึ่ง ตักพั้นช์ใส่ลงไปจนเต็ม แต่เป็นเพียงกิริยาที่เธอพยายามอําพรางความรู้สึกหวาดหวั่นไว้
“สําหรับพันตรีเวด...ผู้ชนะค่ะ” เธอชูแก้วขึ้นกล่าวคําอวยพรให้เขา แต่ลึกลงไปภายในใจเธอรู้ดีว่าการเรียกร้องสิทธิของเขาหมายถึงอะไร การทําศึกกับอปาเช่หมายถึงโอกาสแห่งการเสี่ยง มันหมายถึงการต่อสู้และการฆ่า เป็นสิ่งที่ภรรยาทหารควรจะต้องเข้าใจ แต่สําหรับเธอนั้น เป็นเกมแห่งการรอคอย ด้วยการนั่งอยู่กับบ้านพร้อมกับความกังวลใจ ขณะเดียวกันก็ต้องฝืนยิ้มเข้าไว้
เสียงฝีเท้าที่ย่ำมาตามทางเดินหน้าประตูบ้านคือสัญญาณที่บอกให้รู้ว่า แขกรายแรกได้มาถึงแล้ว
“คงจะเป็นร้อยโทเดลเวดชิโอ ผู้น่าเห็นใจแน่” สเตเฟนลองเดาก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น “ผมเห็นใจคนคนนี้จริง ๆ”
“เอ๊ะ ทําไมหรือคะ” ฮันน่าวางแก้วเครื่องดื่มในมือลง
“ก็เพราะว่าเขาหลงรักคุณ แล้วคุณก็เป็นของผมน่ะสิ” เขาพูดยิ้ม ๆ หันไปทางประตูที่มีเสียงเคาะขึ้น และเธอก็ซาบซึ้งในวาจาที่แสดงออกถึงความหวงแหน ทำให้มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ สําหรับสามีเพียงผู้เดียว
ทั้งเขาและเธอเดินออกไปรับแขกตรงหน้าประตูพร้อมกัน ร้อยโทเดลเวคชิโอ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั้นตามที่สเตเฟนเดาไว้จริง ๆ คู่ที่ตามมาคือสามีภรรยาสโลน ซึ่งเป็นแขกเกียรติยศสำหรับคืนนี้ เป็นบรรยากาศของงานสังคมโดยแท้ เต็มไปด้วยมิตรภาพอันดียิ่ง