บทที่ 3
แสงอาทิตย์จัดจ้าที่ส่องลอดหลังคาที่มุงด้วยใบไม้ของกระท่อมดิน ตกต้องลงมาบนเรือนผมของฮันน่า เวด และทําให้สีน้ำตาลปนแดงของมุ่นมวยผมเจิดจ้าขึ้น มันสะดุดตาเขา และทําให้เขาต้องหยุดพิจารณาเธอ ผู้หญิงที่มีเรือนร่างสมสัดส่วน สูงระหง นวลเนื้อราวกับสีของงาช้าง และดวงตาคู่สีน้ำตาลแกมทองนั้น ผิวหน้าที่นวลเนียนบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี และแฝงแววแห่งความสงบเยือกเย็นไว้ เขาเลื่อนสายตาลงมองเรียวปากอ่อนนุ่ม รูปริมฝีปากของเธอบอกถึงความเป็นคนที่มีจิตใจมั่นคง และรักในศักดิ์ศรีอยู่ เมื่อเธอเบือนสายตามามองเขานั้น ก็เป็นการมองอย่างตรงไปตรงมา
“คุณพูดภาษาสเป็นได้ด้วยนะครับ” คัทเตอร์นึกถึงการที่เธอแปลคําพูดของอปาเช่เมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้
“ตอนที่เราอยู่ในกรมทหารที่บราวน์สวิลล์ ฉันมีสาวใช้เป็นเม็กซิกันค่ะ แล้วคุณล่ะคะ ผู้กอง ไปเรียนมาจากไหน”
ความร้อนดูจะทวีขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะอยู่ใต้เพิงกระท่อมที่มีหลังคามุงไว้ก็ตาม ฮันน่ายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่เปียกชื้น
“ผมคิดว่าคงจะได้ภาษานั้นมาตอนอยู่ที่ค่ายตรงพรมแดนเท็กซัสมาหลายปีนั่นเหมือนกันครับ” คัทเตอร์จับสังเกตในกิริยาท่าทางของเธออยู่ มันช่างเต็มไปด้วยความนุ่มนวล เช่นกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี กลิ่นหอมของลาเวนเดอร์ อวลอบอยู่ในอากาศที่เต็มไปด้วยละไอแห่งความร้อน และกรุ่นมาถึงปลายจมูกของเขา ปลุกเร้าความทรงจําและความขมขื่นแต่ปางหลังให้บังเกิดขึ้น เขาได้ทิ้งความทรงจําทั้งหลายในครั้งกระนั้นไว้เบื้องหลัง และเป็นการดีแล้วที่ทิ้งมันไว้ที่นั่น
แทนที่จะรื้อฟื้นถึงความหลัง เขากลับหยุดคิดพิจารณาถึงวิธีการที่กองทัพสามารถจะแยกคน ให้ออกมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ แม้ว่าเขากับพันตรีเวด จะรับราชการอยู่ในกองพันเดียวกันมาตลอดระยะเวลา 4 ปีหลังนี้ แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ได้มาอยู่ในหน่วยเดียวกัน และเพิ่งไม่นานมานี้เองที่เขาได้ทําความรู้จักกับภรรยาของผู้พัน
เมื่อครั้งที่ประจําการอยู่ที่ค่ายพรมแดนเท็กซัส คัทเตอร์แทบจะไม่เคยพบเห็นผู้หญิงผิวขาวเลยก็ว่าได้ มีนายทหารน้อยคนมากที่จะยอมให้ภรรยาไปอยู่ด้วยกับตน มันมิได้เป็นเพราะชีวิตที่ต้องเผชิญกับความกันดารหรือความยากลําบากแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนายทหารทุกคนต่างมีความห่วงใยในสวัสดิภาพของภรรยาที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในท่ามกลางทหารผิวดําหลายเผ่าพันธุ์ นอกเสียจากในค่ายที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากความเจริญเท่าใดนัก เช่นบราวน์สวิลล์ที่ฮันน่าเอ่ยถึงเมื่อครู่
นายทหารประจําการของกองทัพทหารม้าที่ 9 แห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนขาวทั้งสิ้น สําหรับทหารนิโกรที่อยู่ใต้บังคับบัญชา จะไม่มีสิทธิ์ล่วงล้ำเกินออกไปนอกบริเวณที่จัดไว้สําหรับพวกที่มิใช่ชั้นสัญญาบัตรเลย และมีนายทหารน้อยคนนักที่จะพอใจกับการบังคับบัญชาทหารผิวสีเหล่านั้น คัทเตอร์อยู่กับทหารหน่วยนี้มาตั้งแต่วาระเริ่มแรก ภายหลังที่เกิดสงครามระหว่างรัฐขึ้นแล้ว
เมื่อสงครามเกิดขึ้นนั้น เขาอายุได้ 18 ปี และสมัครเข้ารับราชการทหาร คัทเตอร์มีธรรมชาติของความเป็นผู้นําอยู่ในตัว ได้รับการเลื่อนยศขึ้นไปตามลําดับชั้น แม้จะมิได้มีประกาศนียบัตรจากเวสปอยท์ก็ตาม ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เป็นธรรมดาสําหรับทหารที่ได้เข้าร่วมสู้รบในสงครามกลางเมือง
หลังจากที่ได้รับชัยชนะในสงครามแล้ว กองทัพบกก็ได้พบว่า ขณะนี้ในกองทัพมีนายทหารอยู่เป็นจํานวนมาก และสามีของมิสซิสเวดก็เป็นคนหนึ่งในจํานวนนั้น แต่ทว่าคัทเตอร์ ไม่อาจจะนําตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขาได้ เพราะพันตรีเวดมีประกาศนียบัตรจากเวสปอยท์ติดตัวมา ดังนั้นในขณะที่ทุกคนดิ้นรนที่จะให้ได้เลื่อนยศขึ้น คัทเตอร์กลับมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างยศพันตรีที่จะได้รับ กับยศร้อยเอกที่เขาดํารงอยู่ ซึ่งถ้าจะมองจากทั้งสองด้านแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นทหารเกณฑ์เขาควรจะพอใจในเครื่องแบบกับงานที่ทําอยู่มากกว่า
ถึงกระนั้นเขาก็เป็นนายทหารคนหนึ่ง เพียงแต่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ที่จะพาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับพวกที่มาจากเวสปอยท์เท่านั้น เจค คัทเตอร์ บอกตัวเองว่าเขาเป็นทหาร และแม้จะอยู่ในวัย 32 แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกของสังคมนายทหารระดับเดียวกันอยู่นั่นเอง ชีวิตทหารทําให้เขากร้าวแกร่งขึ้น ดังนั้นเมื่อเขามองดูสตรีผู้เป็นภรรยาของพันตรีเวด เขาก็เห็นว่าเธอคือตัวแทนของผู้หญิงในอีกระดับหนึ่ง มิใช่ในแบบที่เขาแสวงหา ดูเหมือนผู้หญิงทุกคนที่เป็นภรรยานายทหารจะมีความทะเยอทะยาน พยายามที่จะแสดงความสําคัญของตนเองออกมาให้เห็น ทั้งทางด้านการบ้านและการเมือง
“ผู้กองคัทเตอร์สันคะ” ผ้าเช็ดหน้าริมลูกไม้ถูกลดลง มือขาว ๆ กรีดพับมันเล่นอยู่ “บอกฉันหน่อยสิคะว่า ทําไมคุณถึงรู้ว่า พวกอปาเช่ ไม่ได้คิดที่จะทําอันตรายอะไรเรา ตอนที่พวกมันขี่ม้าเข้ามานั่นน่ะ คุณไม่ได้แตะปืนเสียด้วยซ้ำ”
คำพูดประโยคสุดท้ายซึ่งราวจะตั้งข้อสังเกตของเธอนั้น ทําให้เขาอดจะรู้สึกชื่นชมมิได้
“มันก็หลาย ๆ อย่างละครับ แต่เรื่องสําคัญก็คือการแต่งตัวของพวกมัน” เขาตอบ รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่แต่งตัวตามแบบของเผ่า ส่วนคนอื่น ๆ ที่แต่งตัวกันเต็มที่ นา-เต อปาเช่คนหนึ่งในกองสอดแนมของเราที่ค่ายเคยบอกกับผมว่า ในเวลาที่อปาเช่ออกศึกนั้น พวกมันจะพยายามให้มีเสื้อผ้าติดกายน้อยชิ้นที่สุด เพราะถ้าสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เวลาถูกยิงเศษของเสื้อผ้านั้นอาจจะเข้าไปในบาดแผล และทําให้เกิดพิษขึ้นได้ ผมคิดว่าเราไม่ควรจะดูถูกความรอบรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของพวกอปาเช่จะดีกว่าครับ คุณนายเวด” เขาขยับร่างกวาดสายตามองไปตามลานดินที่มีกระท่อมดินปลูกกระจัดกระจายอยู่อย่างจะสํารวจความเคลื่อนไหวในอะไรบางอย่าง “ผมคิดว่าตอนนี้คุณควรจะไปสมทบกับคุณผู้หญิงอีก 2 คนนั้น แล้วก็ซื้อของให้เสร็จ ๆ ดีกว่าครับ เราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานเกินไป”
แววแห่งคําถามปรากฏขึ้นในดวงตาคู่สีน้ำตาล แต่เธอได้รับการอบรมในฐานะของภรรยานายทหารม้าอย่างดี หลักการของทหารได้กําหนดไว้ตายตัวเลยว่า จะต้องรับคําสั่งโดยปราศจากการสอบถามถึงเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น
“ค่ะ ผู้กอง” ชายกระโปรงแบบสุ่มไก่สะบัดพลิ้ว เมื่อเธอเดินไปสมทบกับสตรีทั้งสอง
สายตาของเขายังจับจ้องอยู่กับช่วงไหล่ที่กลมมน เอวที่คิดกิ่วด้วยแบบของกระโปรง ซึ่งตัวเสื้อตอนบนเป็นลายสีเขียวสลับดํา ความคิดแปลก ๆ วูบขึ้นในใจ...ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสวยมากทีเดียว แต่แล้วเขาก็รีบปัดความคิดดังกล่าวออกไปเสียจากสมอง ก้าวออกจากเงาไม้ เดินตรงไปยังรถทหารที่จอดอยู่
คนขับเป็นสิบเอกผิวดําร่างใหญ่ชื่อ จอห์น ที. ฮุคเกอร์ ยืนอยู่ตรงหน้ารถ ซึ่งมีล่อ 4 ตัวเทียมไว้ เขาเป็นนายทหารติดต่อภายในกองทหาร คําสั่งทั้งหลายจะต้องผ่านหน่วยนี้ไป และจอห์น ที. ฮุคเกอร์ ก็เป็นทหารที่มีความสามารถมาก เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของคัทเตอร์มาก่อน เมื่อสมัยที่ประจําการอยู่ที่พรมแดนเท็กซัสนานปี เป็นบุคคลที่มีไหวพริบ, ขยันและฉลาดมาก ซึ่งผิดกว่าทหารผิวดําคนอื่น ๆ ซึ่งมักจะมีปัญหาทางด้านการศึกษา ฮุคเกอร์สามารถอ่านและเขียนได้อย่างดี แต่คัทเตอร์ก็รู้ดีว่า ไม่ว่าทหารผิวดําคนไหนจะมีความสามารถสักเพียงไรก็จะไม่ได้รับการเลื่อนยศขึ้นไปจนถึงชั้นสัญญาบัตร ในกองทัพของคนผิวขาวแน่
“มันโผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้นะครับ ผู้กอง” ฮุคเกอร์ สอดส่ายสายตาไปตามแนวไม้
“ปกติมันก็ทําอย่างนี้อยู่เสมอละ ไม่มีทันสังเกตเห็นมันหรอก” คัทเตอร์ตอบ
“ผู้กองคิดว่ามันมารอเราอยู่ก่อนหรือเปล่าครับ” ฮุคเกอร์พูดอย่างระแวง ทหารอารักขาอีก 2 คนที่ร่วมทางมาด้วย ยืนอยู่ข้างม้าของตนที่ผูกไว้ ท่าทางของเขาดูคลายใจลง เมื่อเหตุการณ์ตื่นเต้นได้ผ่านไปแล้ว แต่กระนั้นก็ยังต้องระแวงระไวกันต่อไป
“ผมคิดว่าพวกมันมาที่นี่ด้วยเหตุผล 2 ประการนะ ถ้าไม่ได้มาเรื่องอาวุธก็น่าจะเป็นเรื่องเสบียง” เสียงล่อกระทบตีนไล่แมลงอยู่ สายโซ่กระทบกันดังอยู่ในความสงัด “ก็เห็นจะต้องคิดว่าเป็นเรื่องอาวุธไว้ก่อน เพราะเวลานี้พวกมันก็เสียอาวุธให้กับเรามากแล้วนี่” รอยยิ้มอย่างปราศจากความขบขันจุดขึ้นตรงมุมปาก
“มันคงจะเตรียมตัวข้ามไปเขตแดนเม็กซิโกแน่ พนันกันได้เลยครับ” สิบเอกจอห์น ที. ว่า เหงื่อที่เกิดจากความร้อนของแถบถิ่นทะเลทรายเคลือบใบหน้าจนเป็นมัน
“ผมคิดว่าคุณชนะ ถ้าเราพนันกันจริง ๆ” คัทเตอร์ตบลงบนหลังคอเจ้าล่อตัวหนึ่งเบา ๆ ก่อนที่จะหันกลับไปมองกลุ่มผู้หญิง ดูเหมือนทุกคนจะยังให้ความสนใจกับสินค้าพื้นเมืองทั้งหลายอยู่มาก