ตอนที่ 6 สาวงามเคียงกาย 1
หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนจนเตียงแทบพัง
จ้าวฉีเสวียนก็ได้เวลาออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ โดยที่หวงลี่ฟางต้องอดทนกับความอ้างว้างเพียงลำพังเฉกเดิม ทว่าที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือที่คฤหาสน์หนิงเทียนเมืองผิงโจวแห่งนี้ นางมีชีวิตอิสระมากกว่าจวนสกุลหวงในเมืองหลวงยิ่งนัก
สตรีที่เติบโตมาภายใต้กรอบอันเคร่งครัด จำกัดอิสระกระทั่งความรู้สึกนึกคิด ยังมีสิ่งใดดีเท่านี้อีก
แม้จะเป็นแค่สาวงามอุ่นเตียงแล้วอย่างไรในเมื่อบุรุษคือเขา
ชีวิตก็เช่นนี้ มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ดังนั้น การมองหาสิ่งดีๆ ภายใต้โชคชะตาอันแสนร้ายกาจย่อมสมควรกระทำ
ตลอดหลายปีนับแต่เด็ก หวงลี่ฟางรู้ดีที่สุดว่าการร่ำไห้ล้วนไร้ประโยชน์ ชั่วยามที่ต้องทนทุกข์มีมากเสียจนต้องพยายามทำตัวให้มีความสุขมากที่สุด นางไม่ชอบโศกเศร้าแม้จะเกิดเหตุพลิกผันในชีวิตบ่อยครั้ง
เพราะการเสียน้ำตาและเสียเวลาตัดพ้อไม่เคยช่วยอันใด มีเพียงทำทุกวันให้ดีให้เต็มที่ในทุกย่างก้าว แม้สิ่งที่ทำอยู่จะเป็นแค่เศษเสี้ยวความสุขก็ตาม ดังนั้นเพียงจ้าวฉีเสวียนทำดีด้วยเล็กน้อย นางก็แช่มชื่นไปทั้งใจ สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอด
เพราะรักจึงเรียกร้องสัมผัส
เพราะรักจึงไม่คำนึงแม้ความบริสุทธิ์ที่พึงยึดถือยิ่งกว่าชีวิต
ยามอุ้ย[1] อากาศกำลังดีไม่หนาวเหมือนช่วงแรกอรุณ หวงลี่ฟางจึงเปิดหีบหยิบก้อนเงินออกมาเพื่อไปเดินเล่นที่ตลาด คาดหวังว่าวันนี้จะหาซื้อสิ่งของที่จะสามารถนำมาทำอะไรสักอย่างให้จ้าวฉีเสวียนสักหน่อย
แม้การทำอาหารนางไม่เก่งกาจแต่งานฝีมือหรืองานเรือนนางไม่เคยพลาดเลยสักครา
ภายใต้ใบหน้าอ่อนหวานสะท้อนความเรียบเย็นตามวิสัย หวงลี่ฟางมีดวงตาที่ทอประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้ใด
เมื่อสรรหาสิ่งของที่ต้องการจนครบถ้วน หวงลี่ฟางก็เข้ามานั่งดื่มชาบนชั้นสองของโรงน้ำชาฝูหมิง หญิงสาวเป็นผู้ชื่นชอบศิลปะการชงชาอย่างยิ่ง จึงมักจะอดใจมิไหวจริงๆ กับการดื่มด่ำชาทุกคราที่มีโอกาสออกมานอกคฤหาสน์หนิงเทียน
ขณะทอดอารมณ์สุนทรีในแบบที่ชีวิตนี้พอแสวงหาได้ ดวงตาคู่งามพลันเหลือบไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ตรงตรอกด้านล่าง
บุรุษผู้นั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบลื่นเนื้อดีสีม่วงเข้ม เป็นชุดที่ใส่สบาย เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยวผ่อนคลาย
เหตุที่รู้เพราะเป็นชุดที่นางปรนนิบัติสวมให้เขาเองกับมือ
จะเป็นใครไปมิได้ หากมิใช่จ้าวฉีเสวียน...
รอยยิ้มหวานพลันประดับบนดวงหน้างาม หวงลี่ฟางรีบลุกขึ้นเดินออกมาตรงริมระเบียงเพื่อมองจ้าวฉีเสวียนให้ชัดมากขึ้น แน่นอนว่านางไร้สิทธิ์ร้องเรียกหรือทักทาย เพียงอยากมองเท่านั้น
ทว่าเพียงครู่รอยยิ้มนางพลันหดหาย เมื่อมองเห็นข้างกายของจ้าวฉีเสวียนมิได้ว่างเปล่า เขาเดินมากับสตรีงดงามผู้หนึ่ง
ฝ่ามือน้อยๆ ค่อยๆ ออกแรงกอบกุมราวระเบียงแน่นขึ้น พลางกะพริบตาคราหนึ่ง หวังในใจว่าตนเองอาจตาฝาดไปเท่านั้น ทว่าพอเพ่งมองอีกที ยังคงเป็นสตรีที่งดงามอ่อนละมุนผู้หนึ่ง
เป็นโฉมสะคราญพิลาสล้ำชวนให้คนเห็นอยากทะนุถนอม ดวงตาคู่สวยของอีกฝ่ายยามมองจ้าวฉีเสวียนเปล่งประกายแวววาว
ชัดเจนว่าฝ่ายสตรีรู้สึกเช่นใดกับบุรุษ แต่ฝ่ายบุรุษยังคงเดิม คือยากคาดเดา
ทว่าแม้จะคาดเดาห้วงอารมณ์ของจ้าวฉีเสวียนมิได้ แต่หวงลี่ฟางกลับเห็นเขาพาสาวงามนางนั้นเดินเที่ยวไปทั่วตลาด เขาพาอีกฝ่ายเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างสง่าผ่าเผย
หวงลี่ฟางสูดลมหายใจเข้าอกลึกยาว กะพริบตาถี่รัว
ที่ระเบียงด้านข้างบนชั้นเดียวกัน พลันมีสตรีสองนางยืนอยู่ คนหนึ่งยื่นหน้าทำเสียงจุ๊ๆ แล้วเอ่ยเสียงตื่นเต้น “นั่นอย่างไร สาวงามของซื่อจื่อ เขาพาสตรีผู้รู้ใจมาเที่ยวด้วยล่ะ”
“โอว...ช่างสะสวยหยาดเยิ้มยากหาผู้ใดเทียบเทียม”
“พวกเขาช่างงดงามเหมือนภาพวาดเลยนะเจ้าว่าหรือไม่”
“อืม บุปผางามอ่อนไหวเคียงข้างนักรบอัคคีผู้เกรียงไกร ข้าใช้คำนี้เหมาะสมหรือไม่?”
“ย่อมใช่!”
เสียงหัวเราะคิกคักพร้อมวาจาชื่นชมถูกถ่ายทอดอันใดอีก หวงลี่ฟางไม่ได้ยินแล้ว และไม่อยากได้ยินทั้งสิ้น
ยามนี้ดวงตานางพร่าเลือน ทรวงอกปวดแปลบและเริ่มกระเพื่อมแรงขึ้น ริมฝีปากขบเม้มจนแดงช้ำเพราะเลือดซึมแล้ว
สตรีย่อมมีด้านมืด ต่อให้แรกเริ่มมีจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างไร สุดท้ายก็เพ้อฝันเกินตัวอยู่ดี
รักอย่างไม่หวังผลหรือ?
เขามีหญิงอื่นข้างกายก็ไม่เป็นไรหรือ?
นางรู้แล้วว่ากำลังโกหกหลอกลวงตัวเอง...