ตอนที่ 5 เผลอใจรัก
บุรุษวัยกำดัดต้องได้รับการปลดปล่อยอย่างเหมาะสม มิให้เลือดลมที่ร้อนรุ่มแตกซ่านจนธาตุไฟเข้าแทรก
กับสตรีวัยแรกแย้มที่ชีวิตพลิกผันผ่านสูงลงต่ำจนลำเข็ญจำต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมว่าเป็นได้แค่สาวงามเคียงหมอนของบุรุษที่นางเผลอใจรักเพียงแรกเห็น
ยามที่ทั้งสองเจอกันจึงกระทำตามแต่ใจไร้ใครทัดทาน
จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มแล้ว
ตัวนางวันนี้คือหญิงสาววัยสิบหกย่างสิบเจ็ดคล้ายบุปผาที่ผลิบานเต็มที่เพื่อเขา ส่วนเขา ชายหนุ่มวัยสิบแปดย่างสิบเก้าปี ซึ่งใกล้วันสวมหมวก[1]เต็มที ไม่นานเขาจะกลายเป็นหินผาสูงชันที่แกร่งกล้ากว่าเดิม เพื่อแคว้นจิน
ตามกฎมณเฑียรบาลแคว้นจินมีการกำหนดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุยี่สิบปีขึ้นไป ดังนั้น อีกไม่นาน จ้าวฉีเสวียนย่อมแต่งงานกับสตรีที่เหมาะสมคู่ควร
หวงลี่ฟางนึกอยากขอบคุณจ้าวฉีเสวียนที่มอบความสุข ความอบอุ่นให้ในห้วงเวลาหนึ่ง ทุกอ้อมกอดของเขาจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีงามล้ำค่าสำหรับนางตลอดไป
หลังจากผลัดกันเรียกร้องสัมผัสรัญจวนอันร้อนแรงทั้งราตรี เช้านี้หวงลี่ฟางจึงลุกขึ้นเช็ดเนื้อตัวแล้วยืนสำรวจร่องรอยฝากรักตรงหน้าคันฉ่อง
จ้าวฉีเสวียนเป็นบุรุษที่มิใช่มีเพียงดวงตาที่คมกริบร้ายกาจ ทว่าริมฝีปากที่บางเฉียบได้รูปของเขาก็คมกริบหนักหน่วงเช่นกัน ริ้วรอยกดจูบและขบเม้มจึงมักเด่นชัดเสมอหลังการร่วมรักกัน
หวงลี่ฟางที่แม้จะยอมรับสถานะอันด้อยค่ายามนี้ของตน แต่กลับไม่อาจเผยริ้วรอยใดๆ ยามเดินออกนอกเรือนนอนเด็ดขาด
ขณะหยิบแป้งชาดขึ้นมาหมายทากลบริ้วรอยก่อนใส่เสื้อผ้า ฝ่ามือหนาของบุรุษพลันปรากฏที่รอบเอว พร้อมวงแขนกว้างที่กระชับกอดแน่น ตามด้วยปลายคางคมสันวางเกยที่ไหล่บาง
“เจ้าจะรีบใส่ผ้าไปไย วันนี้ข้าไม่ได้รีบกลับเสียหน่อย”
หวงลี่ฟางเลิกคิ้ว นึกดีใจไม่น้อย “ซื่อจื่อได้หยุดพักผ่อนหรือเจ้าคะ”
จ้าวฉีเสวียนพยักหน้าเอื่อยเฉื่อยกับซอกคอหอม “ข้าได้พักหลายวัน คิดไว้ว่าจะใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการท่องเที่ยวจึงจะดี”
คนฟังพลันตาโต
เช่นนี้ เขาจะพานางไปเที่ยวด้วยหรือไม่
ช่วยมิได้ที่หวงลี่ฟางตอนเป็นสตรีชั้นสูงคล้ายถูกจับขังกลายร่างเป็นนกน้อยในกรงทองมาโดยตลอด
ยามนี้แม้มีฐานะต้อยต่ำแต่การเจอจ้าวฉีเสวียนที่ใจกว้าง กลับทำให้นางเสมือนนักโทษที่ถูกปลดปล่อยโซ่ตรวนจากการจองจำในคุกหลวง
คนย่อมชมชอบการออกเที่ยวบ้างตามประสา
หญิงสาวปรารถนาป่าวประกาศว่าตัวเองคือสตรีหนึ่งเดียวที่ยามนี้ได้เดินเคียงข้างซื่อจื่อจ้าวฉีเสวียน การได้ท่องหล้ากับเขา ย่อมทำให้ฝันนางเป็นจริง
ความคิดฝันอันเตลิดเพ้อพกของหวงลี่ฟางถูกมองเห็นจนทะลุปรุโปร่ง จ้าวฉีเสวียนเหยียดยิ้ม พูดดับฝันนางอย่างไม่ไยดี
“ข้างกายข้ามิใช่อยากเดินเคียงก็เดินได้ ควรอยู่ในที่ของเจ้า เมืองผิงโจวขึ้นชื่อว่าปลอดภัยไร้อันตรายต่อเด็กและสตรีทุกคน หากเจ้าอยากออกเที่ยวย่อมไปคนเดียวได้ ข้าเติมเงินใส่หีบให้แล้ว หน้าที่เจ้าเพียงรอปรนนิบัติข้าที่นี่ อย่าได้เรียกร้องอะไรมากกว่านี้”
หวงลี่ฟางที่ฝันสลายยังจะกล่าวสิ่งใดได้อีก เพียงหลุบตาพยักหน้าเท่านั้น
“เจ้าค่ะ”
จ้าวฉีเสวียนปล่อยอ้อมแขนจากร่างนิ่มนวลบอบบาง นำทางความอุ่นซ่านให้หายไปกับร่างหวงลี่ฟาง
“ข้าหิวข้าวแล้ว เข้าครัวกันเถอะ”
บุรุษผู้หนึ่งแม้สูงศักดิ์แต่กลับชอบการเข้าครัว เรื่องนี้นอกจากจวนชินอ๋องก็มีเพียงหวงลี่ฟางในคฤหาสน์หนิงเทียนที่ได้รับสิทธิ์ล่วงรู้
นางพยักหน้าอีกครั้ง แต่รอยยิ้มที่เลือนหายไปกับฝันสลายเมื่อครู่พลันกลับมาประดับบนใบหน้าอ่อนหวาน
“เจ้าค่ะ”
ในครัว
คนที่บอกหิวข้าวแล้วกลับเลือกที่จะไล่สาวใช้ทุกคนออกไป จากนั้นก็ปิดประตูหน้าต่าง ช้อนร่างนุ่มนิ่มของหวงลี่ฟางขึ้นวางบนโต๊ะใหญ่กลางห้องครัว เครื่องเทศทั้งหลายถูกมือหนากวาดลงไปจนเกลี้ยง
“ซื่อจื่อ!” หวงลี่ฟางเบิกตาโต รีบชี้นิ้วไปทางโต๊ะอีกฝั่ง “ข้าวอยู่ทางนั้นเจ้าค่ะ มิใช่ทางนี้เสียหน่อย”
แม้เคยเกิดขึ้นมาแล้วแต่นางไม่เคยชินเสียที
ใบหน้างามบัดนี้จึงแดงฉานด้วยความเขินอาย ทว่ากลับอ่อนหวานหยาดเยิ้มดั่งจะคั้นออกมาเป็นน้ำผึ้งเดือนห้าได้กระนั้น
ดวงตาคมกริบสีดำจัดทอประกายเข้มลึก “แต่ข้าอยากกินเนื้อนุ่มๆ หอมๆ ก่อนได้หรือไม่?”
ว่าพลางก้มหน้าขบเม้มแก้มนวลสุกปลั่งเสียหนึ่งที สตรีผู้นี้กินเท่าไรก็ไม่เคยอิ่มไม่เคยพอ
ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มเบาๆ ด้วยมิอาจตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะมันมิใช่คำถามแต่คือคำสั่งต่างหาก
จ้าวฉีเสวียนยกยิ้มมุมปาก ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มร้ายกาจ แต่การกระทำอันร้อนแรงกลับอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่สุด
เรือนกายของหวงลี่ฟางใกล้หลอมละลายหัวใจคล้ายเหลวกลายเป็นน้ำแทรกซึมขึ้นม่านตา อาการความรักใคร่หลงใหลกระทั่งปิดบังดวงตาจนมืดบอดเป็นเช่นไร หญิงสาวล้วนกระจ่างใจ
บนโต๊ะตัวใหญ่ ชายหนุ่มเคลื่อนไหวครอบครองหญิงสาวอย่างหนักหน่วงเอาแต่ใจเนิ่นนาน
หลังจากซุกซบกันโดยไม่พูดจา เพียงคลอเคลียแผ่วเบา เพื่อรอเวลาให้ลมหายใจหอบหนักกลับมาปกติ จ้าวฉีเสวียนก็ช่วยจัดเสื้อผ้าให้หวงลี่ฟางที่ยามนี้หมดสิ้นเรี่ยวแรงจนมือสั่นเทา กระทั่งหยิบเสื้อขึ้นมายังหลุดมือร่วงหล่นอยู่หลายรอบ คนเลยต้องมีน้ำใจ
หวงลี่ฟางที่หน้าแดงซ่านทำได้เพียงกะพริบตาฉ่ำหวานมองค้อนบุรุษตรงหน้าที่เมื่อครู่ลงมือไม่ออมแรงเอาเสียเลย
วันนี้นางอยากแสดงฝีมือทำอาหารที่หมั่นฝึกฝนจนชำนาญให้เขากินเสียหน่อย จึงรีบรวบรวมพลังให้กลับคืนโดยเร็ว
“อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ กินอาหารร้อนปรุงสุกใหม่ๆ อุ่นกระเพาะจึงจะดี ซื่อจื่อรอข้าสักครู่เจ้าค่ะ รับรองอาหารมื้อนี้เป็นฝีมือข้าเต็มสิบส่วน”
ช่วยมิได้ที่นางช่ำชองเพียงศาสตร์สตรีชั้นสูงแต่ไม่ถนัดเรื่องเข้าครัวทำอาหารมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ทันแสดงฝีมือเต็มที่สักครา กลับเป็นเขาที่ทนรำคาญตาไม่ไหว ลุกขึ้นมาทำให้นางกินร่ำไป
หวงลี่ฟางรีบหันไปจัดเตรียมเครื่องปรุงอย่างไม่รอช้า ตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งเมื่อครู่ ไม่บอกก็รู้ว่าคนหิวโหยปานใด
มิใช่เขาหรอกแต่เป็นนางนี่ล่ะ ถูกคนตัวโตกลืนกินทั้งราตรี นับว่าโชคดีที่ยังมีแรงหั่นผัก
ขณะหันรีหันขวางอย่างเงอะงะหมายหยิบของจากชั้นไม้ นิ้วเรียวยาวที่ลูบคลำนางทั้งคืนพลันยื่นข้ามศีรษะขึ้นหยิบแทน
“เจ้าเชื่องช้าปานนี้ เมื่อใดจะได้กิน”
เขาดุเสียงหนึ่ง พลันจับนางให้ไปนั่งลง ม้วนแขนเสื้อขึ้นจนเผยเส้นเลือดทรงเสน่ห์ จากนั้นก็แย่งชิงทุกสิ่งไปจัดการเอง
“เจ้าอยากกินอะไร?” เขาถามโดยไม่หันมา
“ซื่อจื่อทำอะไรให้กิน ข้าล้วนชอบทั้งสิ้น”
ชายหนุ่มเพียงตอบอืมในลำคอคำหนึ่งแล้วไม่สนใจนางอีก
คนคงหิวนั่นล่ะ ปลดปล่อยพลังรังแกนางขนาดนั้น
หวงลี่ฟางที่แรกเริ่มอยากแสดงฝีมือยามนี้เพียงนั่งเท้าคางมองแผ่นหลังกว้างของบุรุษผู้กร้าวแกร่งกำลังทำอาหารให้นางกินอย่างมีความสุข
หญิงสาวแอบยิ้มจนดวงตาหรี่โค้งเป็นเสี้ยวจันทร์ สุกสกาวดั่งมีดวงดาวนับร้อยพันไหวระริกอยู่ในดวงตาคู่นั้น
ถึงขั้นอยากนั่งตีขาดุกดิกเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยเลยทีเดียว
นานเหลือเกินที่นางไม่เคยสดใสร่าเริงเหมือนวัยเยาว์ กระทั่งเจอเขา จ้าวฉีเสวียน...
[1] “พิธีบรรลุนิติภาวะ” จะจัดเมื่อชายจีนมีอายุครบ 20 ปีเต็ม และจะมีการสวม”กวาน ” (冠) หรือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะเพื่อเป็นเครื่องบอกระดับยศและสถานะ