บทที่๗...พยายามเท่าไหร่จะได้ใจ (๑)
บทที่๗...พยายามเท่าไหร่จะได้ใจ
การกลับมาบ้านครั้งนี้ทุกคนสังเกตได้ถึงความแตกต่าง บนโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยการพูดคุยต่างพากันเงียบเสียงเมื่อไรวินทร์ตักอาหารให้ภรรยาอย่างเอาใจใส่ สาวน้อยว่าที่คุณหมอฟันตาโตแล้วรีบหันมองฝาแฝดของตัวเองทันที
คุณศรัณอมยิ้มคิดภาพเอาไว้ว่าอีกไม่นานคงจะมีหลานให้อุ้มแน่ ขณะที่คนถูกดูแลอย่างดีกลับทำหน้าไม่ถูก พยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ทั้งที่แก้มนวลแดงปลั่ง ไม่ค่อยชินกับสามีในเวอร์ชั่นอ่อนโยนสักเท่าไหร่เพราะแค่วันแรกที่เจอกันก็ปะทะฝีปากแล้ว
ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเปลี่ยนเขาได้ขนาดนี้เลยเหรอ สงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณแล้วรับประทานอาหารด้วยความเงียบ
“อะแฮ่ม ไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์มาเป็นยังไงบ้างคะ หวานกันน่าดูเลย” คำพูดของน้องสาวทำให้เขาคิดถึงค่ำคืนสุดท้ายก่อนจะกลับบ้าน ความหวานที่ได้ชิมทำเอาจำขึ้นใจจนอยากจะลองอีกสักครั้ง แต่เพราะงานที่รัดตัวกลับบ้านก็ค่ำจึงไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาว่าคืนนี้ก็น่าจะดี...
“พี่มีของฝากให้ด้วยนะ ว่าจะให้วันก่อนก็ลืม” เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว จนเรรินมั่นใจว่าต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองแน่
รับประทานอาหารเสร็จก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง รชานนท์ขับรถสปอร์ตออกจากบ้านไปยังบริษัทของตนเอง หลายคนสงสัยว่ารวยขนาดนี้ทำไมถึงมาทำงานเป็นลูกจ้าง ก็ได้รับคำตอบว่าก่อนจะเป็นใหญ่ก็ต้องรู้ระบบงานก่อน เขาเรียนรู้เอาไว้เผื่อวันหนึ่งจะไปเปิดบริษัทของตนเอง
“เท้าหายเจ็บแล้วเหรอ” เดินมาส่งสามีที่โรงรถใต้ดินก็ถูกถามขณะที่เขากำลังจะขึ้นรถ หล่อนพยักหน้ามองเท้าของตนเอง ดีที่แผลไม่ได้ลึกมากแค่ล้างและทำความสะอาด ติดพลาสเตอร์เอาไว้ไม่กี่วันก็หาย
“อือ” พยักหน้าก่อนจะถอยออกมาเล็กน้อย วันนี้หล่อนทำงานที่บ้าน อาจด้วยสายงานไม่จำเป็นต้องไปทำที่บริษัท เพียงแค่หากมีงานใหญ่เจ้านายก็จะเรียกเพื่อไปรับทราบงาน หรือถ้าเสร็จงานตามกำหนดก็ไปแจ้งรายละเอียดแก่ลูกค้า
ตอนนี้เธอกำลังคิดจะลาออกจากงานแล้วมาทำฟรีแลนซ์คนเดียว อย่างไรก็มีฐานลูกค้าที่ชอบในผลงานอยู่แล้ว ไม่ต้องขึ้นตรงต่อบริษัทด้วย แต่เสียดายเงินเดือนแต่ละเดือนที่จะได้รับจนต้องมาคิดอีกรอบว่าจะทำอย่างไรดี
ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ในใจจะบอกให้ลาออกก็ตาม
“ไปสิ” มองหน้ากันไม่มีใครพูดอะไร หล่อนจึงบอกให้เขาขึ้นรถได้แล้ว ทว่าร่างสูงกลับก้าวมาหอมแก้มคนตัวเล็กอย่างรวดเร็วเล่นเอาไม่ทันตั้งตัว
“ไว้เจอกันตอนเย็น” แทบจะกรีดร้องอยู่ตรงนั้น เป็นครั้งแรกที่มาส่งเขาที่รถและชายหนุ่มก็หอมแก้มเธอไม่มีปี่มีขลุ่ย แบบนี้มันเกินไปแล้ว หัวใจไม่ไหวจะรับหรอกนะ มันเต้นดังจนแทบทะลุออกมานอกอก ทำได้แค่มองตามรถซีดานที่เคลื่อนออกจากโรงรถ
“นี่ฉันตายหรือยัง ยังหายใจอยู่ใช่ไหม” เอามืออังจมูกตนเอง จับชีพจรที่ข้อมือเห็นว่าหัวใจยังเต้นก็เบาใจ
ไม่เคยชนะไรวินทร์เลย เหมือนเกิดมาก็แพ้เขาตลอด มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น เป็นอย่างนี้มานานแล้วถึงอยากเกลียดก็ทำไม่ได้
หลงรักสามีเข้าเต็มเปา...
ผู้จัดการฝ่ายการตลาดค้อมศีรษะให้คนในแผนกเมื่ออีกฝ่ายยกมือไหว้ กำลังจะเดินเข้าห้องของตนเองขณะฮัมเพลงมีความสุข ขาไปกับขากลับจากฮันนีมูนความรู้สึกต่างกันลิบลับ จากที่เกลียดก็ลดลงมาจนแทบไม่หลงเหลือ พอได้เรียนรู้กับพรณัชชาไม่กี่วันทำให้รู้ตัวตนของหล่อนมากขึ้น
คนที่ทำอาหารไม่เป็นแต่ก็ยอมเข้าครัวเพียงเพราะเห็นว่าเขาชอบกินข้าวผัดสับปะรด ชอบถ่ายรูปตลอดทั้งทริปแต่ก็อาสาถ่ายให้เขาด้วยแถมจัดแจงท่าทางให้ต่างหาก หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงสำอางเท่าไหร่จากที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ก็ดูแลตัวเองดีไม่แปลกใจทำไมนวลเนียนไปทั้งตัว
“คุณต้นคะ มีแขกมารอพบอยู่ในห้องค่ะ” เลขาหน้าห้องบอกด้วยใบหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก
“ฉันพยายามห้ามแล้วนะคะแต่เธอบอกเป็นเพื่อนสนิทของคุณ” เจ้านายพยักหน้าพลางยิ้มให้เล็กน้อยเพื่อเธอจะได้คลายกังวล
“ไม่เป็นไรครับ” ร่างเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนปิดลงเสียงเบาแล้วหันมาเผชิญกับแขกที่เข้ามารอก่อนหน้าแล้ว
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร ด้านซ้ายมีโซฟายาวรับแขกและโต๊ะเล็กเข้าคู่กัน ซึ่งมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยจับจอง เมื่อเห็นเขาก็ฉีกยิ้มสดใสที่เคยเขย่าใจชายหนุ่ม พลางลุกขึ้นเดินเข้ามากอดราวเป็นเรื่องปกติ
แต่ที่ไม่ปกติเป็นเขาเพราะอ้อมกอดของร่างบางเปรียบเสมือนของร้อน รีบแกะมือหล่อนออกแล้วก้าวถอยหลังเว้นระยะห่างเอาไว้จนคนมาใหม่หน้าเสีย ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะทำกับตนแบบนี้ แววตาว่างเปล่ามันน่ากลัวเกินไป
“ไม่คิดถึงกันหรือไง ไม่เจอตั้งนาน” ทำหน้าเศร้าแต่คนรู้จักกันมานานรู้ดีว่ามันเป็นแค่การแสดงของหล่อนเท่านั้น
ดวงกมล วิลาศประภา หญิงสาวผู้เป็นรักแรกของเขา สอนให้รู้จักคำว่าเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวัง และยังให้ความหวังมาหลายปีทั้งที่ไม่เคยหยิบยื่นสถานะแฟนให้เลยสักครั้ง
รอจนท้อ ตอนนี้จึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าให้เธออยู่ในสถานะเพื่อน เขาแต่งงานแล้วคงไม่เหมาะถ้าจะมีหญิงอื่น ถือเป็นการไม่ให้เกียรติภรรยา ถึงแม้ว่าครั้งแรกคิดจะอยากหย่ากับพรณัชชาทว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว
ที่จริงเขาก็คิดมาสักพักแล้วว่าอยากตัดความรักที่ไม่สมหวังให้ขาดสะบั้น ไม่ต้องเหลือเยื่อใยหรือกระทั่งความเป็นเพื่อน...
“มีธุระอะไรหรือเปล่า” ตัดบทรวดเร็ว ไม่อยากจะเสวนามากกว่านี้ รู้ว่าที่เธอกลับมาก็เพราะเขามีหญิงคนอื่น คงกำลังรู้สึกว่าจะเสียของตายถึงได้กลับมาให้รู้สึกว่ามีคุณค่า
ทั้งที่สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกรับเลือกเหมือนเดิม
“ทำไมพูดห่างเหินจัง อินจะมาหาไม่ได้เลยใช่ไหมถ้าไม่มีธุระ ทีแต่ก่อนไม่เห็นเหมือนตอนนี้ อินจะเรียกตอนไหนต้นก็มาหาตลอด” ตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
ไรวินทร์เรียนกฎหมายส่วนหล่อนเรียนนิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ชายหนุ่มตามรับตามส่งตลอด ขนาดไปเดทกับผู้ชายคนอื่นยังไปนั่งเฝ้า แต่ทำไมตอนนี้ถึงไร้เยื่อใยเพียงนี้ ดวงตากลมโตมีน้ำใสคลอซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันคือความจริงภายในใจหรือการแสดงกันแน่
“เราแต่งงานแล้วอิน ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว” นางแบบสาวส่ายหน้า หล่อนไปตามล่าความฝันโดยไม่คิดว่าเพื่อนคนนี้จะมีใครใหม่ เชื่อมั่นเสมอว่าจะมีเขาอยู่ข้างกายเรียกเมื่อไหร่ก็มา ทว่าทุกอย่างกลับพังทลายลงหลังได้ทราบว่าไรวินทร์แต่งงานจดทะเบียนสมรสเรียบร้อยแล้ว
ทำไมคนที่เคยเป็นที่หนึ่งมาตลอดอย่างเธอต้องปล่อยให้ชายหนุ่มเป็นของคนอื่นด้วย ไม่มีทางยอมเด็ดขาด ใบทะเบียนสมรสจะมีความหมายอะไรในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แต่งงานด้วยความเต็มใจสักหน่อย เธอถามรมิตาจนได้ความว่าเขาถูกบังคับให้เข้าพิธี
แล้วมันจะผิดอะไรกับการแย่งคนที่เคยเป็นของหล่อนกลับมา
“อินคือรักแรกของต้นไม่ใช่เหรอ ทำไมล่ะ” เงยหน้าจ้องดวงตาคม ซึ่งมองมาไม่หลบเช่นเดียวกัน
“อินปฏิเสธเราแล้วไม่ใช่หรือไง ตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไรอีก มันสายไปแล้ว” บอกตามตรงไม่อ้อมค้อม ความรู้สึกที่มีเขาไม่เคยปิดบัง รักก็คือรักทว่าหล่อนเองที่เหยียบย่ำมันซ้ำๆ จนระบมไปหมด หากจะเลือกเดินออกไปเพื่อรักษาใจจะผิดตรงไหน
เขาต้องการเริ่มใหม่กับผู้หญิงคนอื่น ไม่ใช่คนที่เอาแต่คิดถึงตัวเอง มาหาเขาเพียงแค่เวลาเหงาหรือยามไม่มีใคร
ไม่อยากเป็นแค่คนแก้เหงาของดวงกมลอีกแล้ว
“ต้น อินขอโทษ เราเริ่มกันใหม่ได้ไหม ต้นไม่ได้แต่งงานด้วยความเต็มใจไม่ใช่เหรอ ต้นยังรักอินอยู่ใช่ไหม” กอดเอวสอบเอาไว้แล้วอ้อนเสียงสั่น ไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลยที่กำลังจะสูญเสียคนตรงหน้าไป หล่อนคิดเอาว่าเขาเป็นของตนเองมาตลอด
ไม่มีทางที่ไรวินทร์จะคบใครใหม่ แล้วทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครที่กล้าแย่งผู้ชายที่ภักดีต่อเธอไปเป็นของตนเอง
“เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ พูดไปอินก็ไม่รับฟังอยู่ดี มีธุระแค่นี้ใช่ไหมเราจะได้ทำงาน” เดินเลี่ยงไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง ปล่อยให้ร่างบางมองตามด้วยแววตาหม่น
เหมือนกับว่าได้ปล่อยคนที่แสนดีหลุดมือไปแล้ว และมันยากเหลือเกินในการจะพากลับมาเมื่อเขามีครอบครัว แต่แล้วอย่างไรเล่าเพราะการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจสักหน่อย ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรเธอก็จะทำให้เขากลับมาเป็นของตนเองให้ได้
“เดี๋ยวพรุ่งนี้อินมาหาใหม่นะ” สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ค่อยไปคว้ากระเป๋าก้าวเท้าออกจากห้องเพราะเขาไม่ตอบอะไร พอลับหลังร่างบางเจ้าของห้องก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอก
ไม่คิดว่าจะเจอปัญหาเช่นนี้ การกลับมาของดวงกลมทำให้เขารู้ว่าปัญหาต่างๆ กำลังจะตามมาอีก จากนิสัยที่ไม่ยอมใครของเพื่อนสนิทที่ตนเคยคิดไม่ซื่อด้วยคงไม่รามือง่ายๆ แน่ มือหนายกขึ้นนวดขมับหวังคลายความกลัดกลุ้ม
หลังจากนั้นจึงเริ่มทำงานในส่วนของตนเอง อีกไม่นานก็จะถึงวันประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว กำไรที่เพิ่มขึ้นไม่ค่อยมากทำให้เริ่มกังวลว่าบอร์ดบริหารจะพิจารณาอย่างไร ที่จริงก็หวังขึ้นแท่นรองประธานบริหารทว่าด้วยอายุเท่านี้คงยากที่ทุกคนจะไว้วางใจ
สิ่งที่ทำได้คือต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เล็งไว้ว่าอยากได้รางวัลนักธุรกิจดาวรุ่งของงานสังสรรค์ผู้บริหารทั่วฟ้าเมืองไทย ถึงเศรษฐกิจในประเทศจะไม่ดีเท่าไหร่จึงได้เปลี่ยนไปเน้นส่งออกนอกประเทศแทน ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์โดยดึงแอคเคาท์ที่มีผู้ติดตามเยอะโฆษณาเครื่องดื่ม
ยอดขายก็ดีขึ้นแต่เขาอยากให้มันมั่นคงมากกว่านี้ หวังตีตลาดทุกเพศทุกวัยจึงได้หารือกับเหล่าพนักงานจนหามรุ่งหามค่ำ พยายามทำให้ทุกคนเห็นว่าตนเหมาะกับตำแหน่งรองประธานด้วยความสามารถไม่ใช่ชาติกำเนิด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาครับ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นเจ้าของห้องก็อนุญาตทั้งที่ไม่เงยหน้าจากคอมพิวเตอร์ กำลังตัดสินใจเลือกโลโก้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้สนใจใครจะเข้ามาเพราะคิดว่าเป็นเลขาของตนเอง
ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นกลับต้องพบคนที่เพิ่งจากกันเมื่อเช้า ภรรยาคนสวยอยู่ในชุดเสื้อเบลเซอร์กับกางเกงสแลคทำงานทรงผู้หญิงพร้อมรองเท้าส้นสูง ในมือถือถุงผ้ามาด้วยหากเดาไม่ผิดข้างในน่าจะเป็นปิ่นโตใส่อาหาร
“พอดีข้าวที่บ้านเหลือเลยเอามาฝาก” ทำหน้าตายแล้วเดินเอาถุงผ้าไปวางไว้ที่โต๊ะเล็กสำหรับรับแขก ไรวินทร์อมยิ้มยามมองภรรยานำปิ่นโตออกมาแล้วแกะวางเรียงไว้ให้อย่างสวยงาม
“อ้อเหรอ” ทำเสียงราวไม่เชื่อ เพราะมันไม่น่าเชื่อเลยสักนิด