บท
ตั้งค่า

บทที่๑...เมรีขี้เมา (๑)

บทที่๑...เมรีขี้เมา

กระดุมที่แขนเสื้อเชิ้ตถูกติดเม็ดสุดท้าย ก่อนที่ร่างสูงจะสำรวจตนเองในกระจกอีกครั้งว่าเรียบร้อยหรือไม่ ผมสีเข้มถูกจัดให้เป็นระเบียบ ไม่ได้ดูเนี้ยบเกินไปแต่เรียงเสมอกันพร้อมเสริมลูกเล่นเล็กน้อยทำให้ใบหน้าคมชวนมองมากขึ้น

เสื้อเชิ้ตเนื้อดีสีอ่อนถูกทับด้วยสูทสีเข้มสั่งตัดเป็นพิเศษให้พอดีตัวจากห้องเสื้อชั้นนำของประเทศ เข็ดขัดคาดทับกางเกงสแลคแล้วค่อยหันมาหยิบนาฬิกาโรแล็กซ์ราคากว่าแปดแสนบาทมาใส่ รุ่นนี้หายากไม่ผลิตแล้ว หากขายตามท้องตลาดราคาก็ยิ่งแพงขึ้น นาฬิกาแบรนด์นี้ก็เป็นเหมือนทองที่ซื้อไว้ยิ่งสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวของมันเอง

ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วร่างสูงจึงออกจากห้องแต่งตัว แล้วมาหยิบของสำคัญอย่างโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์มาใส่กระเป๋าเสื้อสูทไว้ ค่อยออกจากห้องนอนของตนเองแล้วเดินไปยังบ้านใหญ่เพื่อรับประทานอาหารเช้า

ยังไม่ทันถึงโต๊ะอาหารก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวที่อ้อนคนเป็นแม่ มุมปากยกยิ้มอย่างนึกเอ็นดูยามเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายบึ้งตึงเพราะถูกขัดใจ

“โธ่แม่ขา ฟ่างอยากขับรถไปเรียนเอง เวลาไปไหนกับเพื่อนจะได้เป็นส่วนตัว แถมไม่ต้องถูกมองว่าเป็นคุณหนูคอยแต่ให้คนอื่นรับใช้ แม่บอกพ่อให้หน่อยนะคะ" มาถึงห้องอาหารที่บริเวณชั้นสองของบ้านก็เลื่อนเก้าอี้ซึ่งเป็นที่ประจำของตนเองออก แล้วนั่งลงข้างน้องสาวตัวแสบ

“พ่อไม่อนุญาต ครั้งนั้นเราหลับในจนขับรถชนต้นไม้ ดีที่ระบบป้องกันรถดีไม่อย่างนั้นพ่อคงไม่เห็นลูกสาวของตัวเองมานั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้หรอก” ปฏิเสธเสียงแข็งเล่นเอาคุณหนูคนสวยของบ้านถึงกับไปไม่เป็น

ยอมรับว่าวันนั้นอ่านหนังสือที่มหาวิทยาลัยจนดึก ยังขับรถกลับมาบ้านอีก ด้วยความเพลียสะสมทำให้หลับในจนขับรถชนต้นไม้ ดีที่ไม่บาดเจ็บแต่รถก็บุบไปครึ่งคันจนถูกยึดใบขับขี่และกุญแจรถทุกคันโดยคนเป็นบิดา

“พ่ออ่ะ ต่อจากนี้ฟ่างจะระวัง ไม่ประมาท..” กำลังให้คำสัญญาแต่ก็ถูกขัด

“พ่อบอกว่าไม่ก็คือไม่” สิ้นเสียงนั้นหล่อนก็หันไปมองมารดาที่นั่งตรงข้าม พยายามทำหน้าอ้อนสุดฤทธิ์แต่ผลก็คือท่านส่ายศีรษะ เธอถอนหายใจแล้วมองพี่ชายของตนเอง กำลังจะเอ่ยปากขอให้ช่วยพูดกับบิดาทว่ากลับโดนขัด

“พี่คิดเหมือนพ่อ” ถูกดักแบบนี้หล่อนจะทำอะไรได้ ก็จำต้องยอมให้คนขับรถไปส่งและรับกลับบ้านที่มหาวิทยาลัยทุกวัน

ไรวินทร์ วิมานมรกตในวัย 27 ปี หันมองน้องสาวก่อนจะอมยิ้ม เขาค้อมศีรษะให้แม่บ้านแล้วรับข้าวต้มปลามารับประทานเป็นอาหารเช้า หนุ่มนักกฎหมายผันมาเรียนบริหารธุรกิจในระดับปริญญาโทเพื่อสานต่อกิจการของครอบครัว

เริ่มด้วยการเป็นพนักงานฝ่ายการตลาดตามที่ตนเองถนัด หลายคนปรามาสเอาไว้เพราะเข้ามาทำงานด้วยเส้นที่ใหญ่ แต่เมื่อประจักษ์ด้วยสายตากับการทำงานของชายหนุ่มทำให้เริ่มยอมรับ และตอนนี้เขาก็เลื่อนขั้นมาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด

ทั้งยังถือหุ้นในบริษัทดริ้งสยาม 4.33% ในนามของตนเอง เขาซื้อด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มีไม่ใช่การได้รับจากคุณปู่หรือบิดาแต่อย่างใด ทำให้รายชื่อของไรวินทร์ วิมานมรกตอยู่ในลิสต์ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เนื่องจากบิดามีหุ้นกว่า 55.13% ซึ่งถือว่าเยอะมาก แทบไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้เหล่ากรรมการบริหารจัดการก็ได้

ทว่าท่านยังคงลงมาดูแลเองทุกอย่าง ความสามารถของคุณศรัณเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ มีรางวัลนักธุรกิจมากมายที่ตั้งโชว์ไว้ยังตู้กระจก ก่อนจะถูกเก็บเข้าห้องทำงานเพราะเจ้าของรางวัลไม่อยากเห็นสักเท่าไหร่ บอกเหตุผลเพียงไม่เข้ากับการจัดแต่งของบ้าน

“หาว มีอะไรกินบ้างครับ” น้องชายคนเล็กเดินเข้ามาร่วมโต๊ะอาหารด้วยชุดนอนที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นชุดทำงาน

“วันนี้ไม่ได้ไปทำงานเหรอลูก” คุณรวิสุดาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ไม่ครับ วันหยุด” หล่อนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หยุดที่ไหนกันในเมื่อเป็นวันพุธแท้ๆ

“หยุดเองล่ะสิ อย่างนี้แหละตัวขี้เกียจออกมายึดร่างกายและจิตใจ” พี่สาวพูดแทรกพลางยิ้มลอยหน้าลอยตายามน้องชายฝาแฝดมอง

เรริน วิมานมรกตและรชานนท์ วิมานมรกตครบอายุ 23 ปี ทว่าน้องชายเรียนจบและทำงานมาได้ปีกว่าแล้วเนื่องจากเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนพี่สาวนั้นเรียนทันตแพทยศาสตร์ อยู่ชั้นปีที่ห้าค่อนข้างยุ่งกับการขึ้นคลินิก

“พูดมากน่ะฟ่าง” เอ็ดฝาแฝดของตนพลางทำหน้าดุ แต่มีหรือที่คนรู้จักนิสัยใจคอกันมากว่ายี่สิบสามปีจะกลัว กลับทำหน้าทำตาใส่แล้วร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดังในอดีต

“อกหักอีกครั้งยังไม่ตาย” รชานนท์ถลึงตาทันที

“อะไร โดนสาวหักอกเหรอเรา” พี่ชายถามขึ้นขณะที่แม่บ้านยกข้าวต้มมาให้คุณหนูคนเล็กของบ้าน ทุกสายตาจ้องมองไปยังหนุ่มวิศวกรเป็นตาเดียว เล่นเอาเลิกลักทำตัวไม่ถูก

“อะไร ใครอกหัก ข้าวฟ่างมั่วแล้วจะไปเชื่ออะไรกับคนจำวันพุธเป็นวันศุกร์ ไม่พูดแล้วกินข้าวดีกว่า โอ้โห หอมน่ากินแม่เป็นคนลงครัวเองใช่ไหมครับ” หันไปประจบมารดาที่นั่งข้างตนเอง ทุกคนรู้ทันทีว่ากำลังถูกเปลี่ยนเรื่องก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร

จะมีก็แต่เรรินที่จ้องจับผิดฝาแฝดของตนเอง ก่อนมองนาฬิกาแล้วเบิกตากว้าง รีบหยิบกระเป๋าสะพายและอุปกรณ์สำหรับขึ้นคลินิกมาถือไว้

“อ่ะ ปั้นอย่าลืมนะ พรุ่งนี้ต้องไปเป็นเคสให้ด้วย” ย้ำอีกครั้ง ขึ้นปีห้าก็ยังต้องหาเคสคนไข้เพื่อดูแลฟัน แน่นอนว่าปากของทุกคนในบ้านผ่านมือหญิงสาวมาหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ฝาแฝดที่เอาแต่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมไปสักที

“ไม่ว่าง” ตอบยังไม่ทันได้บอกเหตุผลก็โดนขัดเสียก่อน

“ว่าง ฟ่างดูตารางงานแถมโทรไปถามเพื่อนปั้นแล้วด้วย อย่ามาอ้างฟังไม่ขึ้น พรุ่งนี้เดี๋ยวจะให้ลุงป้างไปรับอยู่ที่ทำงานนะจ๊ะฝาแฝด พ่อแม่พี่ต้น ฟ่างไปเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” ยกมือไหว้สวยงามแล้วเดินแกมวิ่งออกไปที่รถยนต์ซึ่งจอดรออยู่หน้าประตูบ้าน

พอลับหลังฝาแฝดชายหนุ่มก็ถอนหายใจ ไม่อยากอาหารเสียแล้วแต่ต้องกินเนื่องจากท้องร้องประท้วง พ่อกับแม่แล้วก็พี่ต้นไปทำฟันกับข้าวฟ่างเพราะแค่ขูดหินปูน แต่เขาต้องถอนฟันคุดและแน่นอนว่าเจ็บอย่างไม่ต้องสงสัย

“ไปช่วยพี่เขาหน่อยน่า ไม่เจ็บหรอกแม่ไปทำมาแล้ว” พยายามปลอบบุตรชาย

“ถอนฟันคุดนะแม่ ของแม่แค่ขูดหินปูนเอง” ทำหน้าบูดแล้วตักข้าวเข้าปาก เล่นเอาไรวินทร์หัวเราะกับท่าทางของน้องชายทำตัวราวกับเด็กทั้งที่ได้ทำงานอยู่บริษัทก่อสร้างใหญ่โตอย่างวิจิตร จำกัด(มหาชน) กว่าจะเข้าได้ต้องสอบแข่งขันกับผู้คนนับพัน ไม่ใช่เรื่องเล่นสักนิดและไม่สามารถใช้เส้นสายที่มีได้

แต่ที่จริงรชานนท์ก็ไม่อยากใช้เส้น เขาอยากเข้าเพราะความสามารถของตัวเองที่จบคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาโยธาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เห็นเรียนไปเล่นไปไม่อยากเชื่อว่าจะได้กับเขาเหมือนกัน สร้างความภาคภูมิใจให้ครอบครัวจนต้องถ่ายรูปติดข้างฝาผนัง

“ไม่เจ็บหรอก ข้าวฟ่างเก่งจะตายมือเบามาก” ช่วยพูดให้คลายกังวล

“เก่งจะตายหรือจะทำคนไข้ตายกันแน่ก็ไม่รู้” บ่นงุบงิบอยู่คนเดียวค่อยกินข้าวแล้วหยิบครัวซองต์มาฉีกเข้าปาก

“วันนี้มีประชุมการตลาดใช่ไหม” ประมุขของบ้านหันมาถามลูกชายคนโตซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการตลาด ภาระบนบ่าก็หนักขึ้นตามจนแทบไม่มีเวลาให้ตัวเอง

“ครับ พ่อจะมาฟังด้วยไหม” บางครั้งประธานบริษัทก็เข้าฟังประชุม ทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด จะวางมือเลยก็ได้แต่ศรัณไม่รู้ว่าหากเลิกทำงานแล้วจะทำอะไร ภรรยาก็ยังดำรงตำแหน่งเลขาช่วยสามีถึงจะถูกขอร้องให้กลับมาอยู่บ้านก็ไม่ยอม

หล่อนทำงานจนชินเสียแล้ว เจอคุณศรัณที่ไหนเป็นต้องเจอคุณรวิสุดาที่นั่น ไม่ห่างกันเลยจนกลายเป็นที่อิจฉาของเหล่าพนักงานในความรักอันหวานชื่น

“พ่อครับ ศุกร์นี้ผมขอจองคลับชั้นบนของพ่อหน่อยนะ จะเลี้ยงฉลองให้เพื่อนที่จบปริญญาเอก” ขออนุญาตท่านก่อนเนื่องจากเป็นคลับของบิดา

“ใครล่ะ ชั้นบนพอเหรอเดี๋ยวพอปิดทั้งคลับให้เลยเอาไหม” คนฟังรีบปฏิเสธทันที

“ไม่ต้องครับ แค่ชั้นบนก็พอแล้ว เดี๋ยวเสียรายได้กันพอดียิ่งเป็นวันที่คนไปเยอะด้วย” ประธานบริษัทพยักหน้าเข้าใจไม่ขัดลูก

ยินดีที่ไรวินทร์จะออกไปสังสรรค์บ้างเพราะร้อยวันพันปีเอาแต่คลุกอยู่บ้าน ไม่งั้นก็ทำงานในห้องไม่ค่อยได้พบปะผู้คนรุ่นเดียวกันสักเท่าไหร่ ทำตัวเป็นพี่ใหญ่ของน้องจนบางครั้งก็อยากให้หาความสุขใส่ตัวเองบ้าง

“ว่าแต่ เพื่อนคนไหนเหรอต้น” คุณรวิสุดาเอ่ยขึ้น บุตรชายเงยหน้ามองมารดาก่อนจะอมยิ้มเล็กน้อยยามนึกถึงเพื่อนที่จบปริญญาเอก

“ไอ้เหน่งครับ” พูดชื่อจบคนมากกว่าวัยทั้งสองถึงกับอึ้ง จำได้ว่าเหน่งนั้นเป็นเด็กที่ค่อนข้างเกเร อีกฝ่ายคือลูกชายเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง นิสัยเป็นที่กล่าวขานของแวดวงสังคม

ทั้งต่อยตีจนขึ้นโรงขึ้นศาลบ่อยครั้ง โดดเรียนจนเกือบจะไม่จบมารดาต้องขอร้องอ้อนวอน ไหนจะเล่นยาจนเป็นข่าวหน้าหนึ่งเกือบโดนจับแต่รอดมาได้เพราะเม็ดเงินของครอบครัว เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงตัวเองหลังเสียเสาหลักไป พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยซ้ำ

“เต็มที่เลยลูก อยากสั่งอะไรตามใจเลย พ่อเลี้ยงเอง ฝากยินดีกับเหน่งที่จบเอกด้วยนะ” ร่างสูงหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินอย่างนั้น พยักหน้ารับคำก่อนรับประทานอาหารต่อจนหมด

คราวแรกเขาก็เกือบโดนสั่งให้เลิกคบเพื่อนคนนี้ทั้งที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอดรู้นิสัยใจคอของอีกฝ่ายว่าทำตัวเกเรประชดครอบครัวเท่านั้น พอเสียบิดาไปก็เริ่มสำนึกได้แล้วกลับมาใฝ่เรียนจนกลายเป็นด็อกเตอร์ตั้งแต่อายุยังน้อย

แล้ววันเลี้ยงฉลองก็มาถึง ลูกชายเจ้าของคลับมาก่อนใครเพื่อเตรียมงานจนเวลาล่วงเลยแล้วเพื่อนที่เรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยมก็เดินขึ้นมายังชั้นสองของคลับ

‘Lucky way’ คลับที่ค่อนข้างโด่งดังในหมู่นักท่องราตรี จุดเด่นคือดีเจชื่อดังที่เปิดเพลงได้มันจนต้องออกไปเต้นให้เหงื่อไหลสักหน่อย ชั้นหนึ่งจะเปิดให้ขาจรหรือบุคคลทั่วไปได้เข้ามาสนุก โดยจะแบ่งโต๊ะตามเรทราคา

ส่วนชั้นสองค่อนข้างเป็นส่วนตัว มีห้องคาราโอเกะขนาดกว้างไว้คุยงาน และโต๊ะแบบโซฟามองเห็นบรรยากาศโดยรอบของชั้นหนึ่ง ซึ่งเขาจองโซนนี้ไว้ให้เพื่อนโดยเฉพาะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel