๒.๓ เงื้อมมือราชสีห์
“เชิญค่ะ” บุหงาไม่ต่อความ พูดสั้นๆ แล้วเดินนำลงบันไดไป
เมื่อลงไปถึงชั้นล่าง ปลายฝนก็เห็นว่ามีอาหารสองสามเมนูวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว แต่เธอไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าเลย สายตากลับกวาดมองหาเจ้าของบ้าน ทว่าไร้วี่แววอย่างสิ้นเชิง จึงต้องถามหาเขากับคนที่ไปเชิญเธอลงมา
“แล้วนายหัวล่ะคะ”
“นายหัวยังไม่กลับมา คุณทานก่อนเลย”
จบประโยคของบุหงา สาวใช้ก็ตักข้าวใส่จานให้ปลายฝนทันที ทำให้เธอจำต้องนั่งลงและใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากอย่างไม่ค่อยรู้รส เพราะมัวแต่หมกมุ่นกับความคิดของตัวเองจนเกิดความเครียด ก็จะไม่ให้เครียดได้อย่างไร เมื่อเช้าเธอยังอยู่กับครอบครัวที่แวดล้อมไปด้วยความอบอุ่น แต่จู่ๆ ก็ต้องมาอยู่บ้านคนอื่น ซ้ำคนที่พาเธอมายังทิ้งเธอไว้ท่ามกลางคนแปลกหน้าตามลำพังอย่างไม่คิดจะไยดี
คำว่า ‘ถูกทิ้ง’ และ ‘ไม่ไยดี’ ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ แล่นมาจุกในคอ อาหารที่กินอยู่จึงยิ่งฝืดคอมากขึ้นกว่าเดิม ปลายฝนจึงฝืนกินไม่ไหวอีกต่อไป
“อาหารไม่ถูกปากเหรอคะ” บุหงาถามขึ้นหลังจากปลายฝนรวบช้อน ทั้งที่เพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำ
“อาหารอร่อยมากค่ะแม่บุหงา แต่ฉันไม่ค่อยหิว”
“จะรับอย่างอื่นมั้ยล่ะคะ ฉันจะได้ไปบอกพวกในครัวให้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันอิ่มแล้วจริงๆ ถ้ายังไงฉันขอตัวไปเดินเล่นก่อนนะคะ” ปลายฝนพยายามจะฝืนยิ้ม อีกทั้งไม่อยากให้คนอื่นต้องมายุ่งยากกับเธอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ใช่เจ้านายของพวกเขา จึงปฏิเสธและขยับตัวลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วก้าวเท้าออกไปทางหน้าบ้านทันที
ตั้งใจว่าจะเดินเล่นไม่นาน แต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทำให้ปลายฝนต้องเดินไปนั่งตรงม้านั่งใต้ต้นลีลาวดีที่อยู่ข้างๆ สระน้ำ ก่อนจะกดรับสายเมื่อเห็นว่าคนที่โทร.มาคือปานระพีนั่นเอง
“ฮัลโหลค่ะพี่ป่าน” เสียงหวานเอ่ยทักทายพี่สาวหลังจากกดปุ่มรับสาย
“ปลายเป็นยังไงบ้าง นายหัวสิงห์ทำอะไรปลายหรือเปล่า อาเก้าให้พี่โทร.มาถาม ทุกคนเป็นห่วงปลายมากเลยนะ”
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกพี่ป่าน เขาพาปลายมาทิ้งไว้ที่บ้านเขา บอกว่าพรุ่งนี้จะให้เริ่มงาน แล้วเขาก็ไปไหนไม่รู้ นี่ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย” ปลายฝนตอบพี่สาวกลับไปตามความจริง โดยไม่รู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองแฝงความแง่งอนเอาไว้ด้วย
“ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่นายหัวสิงห์บอกหรือเปล่า ว่าพาป่านไปด้วยทำไม”
“เขายังไม่ได้บอกเลยค่ะ แต่คงไม่ได้ทำอะไรรุนแรง เพราะถ้าจะทำคงทำไปแล้ว ว่าแต่พี่ปอกับคุณชาร์ลกลับกรุงเทพฯ ไปหรือยังคะ” ถามถึงพี่สาวอีกคน พลางคิดว่า ถ้าไม่มีเรื่องเมื่อเช้า ป่านนี้เธอคงอยู่ในหอพักที่กรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็คงต้องคิดเรื่องสมัครงาน แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอวางแผนไว้มันผิดเพี้ยนไปหมด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังไม่รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไร
“กลับแล้วจ้ะ งั้นพี่ไม่กวนล่ะนะ แต่มีอะไรต้องรีบโทร.บอกพี่ เข้าใจหรือเปล่า” ปานระพีสั่งกำชับด้วยความเป็นห่วงจนปลายฝนรู้สึกได้
“ค่ะพี่ป่าน”
“ทุกคนที่นี่รักปลายนะ”
“ปลายก็รักทุกคนเหมือนกันค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ปลายจะดูแลตัวเอง มีอะไรจะโทร.หาทันที”
“ยังไงก็รีบนอนนะ พรุ่งนี้อาจมีเรื่องหนักๆ รอปลายอยู่” พูดแค่นั้นปานระพีก็วางสายไป
ปลายฝนถอนหายใจเบาๆ คิดถึงบ้านพอๆ กับพะวงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง แต่ที่แน่ๆ เรื่องที่เธอกลัวมันคงไม่เกิดขึ้น เพราะคนที่พาเธอมานั้นช่างทำตัวห่างเหินและเย็นชากับเธอมากเหลือเกิน แม้เธอไม่เคยสนิทสนมกับเขามาก่อนก็ตาม แต่เมื่อก่อนเขายังไม่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอื่นสำหรับเขาแบบนี้
ภาพความทรงจำตอนที่เขาไปดักรอเธอที่หน้าหอพักสามสี่ครั้งผุดพรายขึ้น ตามมาด้วยการเจอกันครั้งสุดท้ายที่เขาแอบแต๊ะอั๋งเธอในงานแต่งงานของปอไหม ก่อนที่เขาจะออกจากงานไปพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปหน้าตาก็ละม้ายคล้ายกับคนชื่อดารินอยู่ไม่น้อย เพียงแต่อาจจะคนละวัย เพราะเหมือนรูปนั้นจะถ่ายไว้นานมากแล้ว
“ทำไมถึงยังไม่นอน”
เสียงดุๆ ที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังจมอยู่กับภวังค์ตัวเอง หันขวับไปมอง ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะโผล่มา
“นายหัว!”
“ฉันถามว่าทำไมเธอถึงยังไม่นอน ออกมาเดินเล่นค่ำๆ มืดๆ แบบนี้ไม่กลัวหรือไง”
“ยังหัวค่ำอยู่นี่คะ ปกติปลายไม่นอนเร็ว อีกอย่างที่นี่เป็นบ้านของนายหัว มีอะไรต้องกลัวเหรอคะ” นอกจากเจ้าของบ้านที่น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด ปลายฝนพูดประโยคท้ายแค่ในใจ แต่สายตาที่มองเขามันพูดแทนทั้งหมด
“ถึงจะเป็นบ้านฉัน เธอก็ไม่ควรจะไว้ใจใครหรือสถานการณ์อะไรง่ายๆ แบบนี้ โดยเฉพาะเธอเป็นผู้หญิง บทเรียนก็น่าจะมีแล้ว หรือเธอลืม”
อยากบอกว่าไม่เคยลืม แม้จะพยายามลืม อยากบอกว่าจำได้ทุกอย่าง แม้ไม่อยากจำสักนิด และคนที่ให้บทเรียนนั้นแก่เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้านี่เอง ถ้าจะมีใครสักคนที่ลืม ก็มีแต่เขานั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำหน้าดุใส่เธอแบบนี้
ใบหน้าสวยหวานเชิดขึ้น รู้สึกเกลียดท่าทีแข็งกระด้างเย็นชาของเขา เกลียดสายตาว่างเปล่าที่ไม่เผยความรู้สึกใดๆ ของเขาเหลือเกิน
“ก็ถ้านายหัวกล้าทิ้งปลายให้อยู่คนเดียวได้ แสดงว่าที่นี่ไม่มีใครหรือสถานการณ์อะไรที่น่ากลัวหรอกค่ะ”
“เธอเองเป็นคนไม่อยากให้ฉันอยู่ใกล้ไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นเมื่อก่อนคงไม่ทั้งหนีทั้งเล่นตัวแบบนั้นหรอก หรือว่าตอนนี้อยากแล้ว”
แก้มนวลแดงก่ำขึ้นท่ามกลางแสงไฟสีส้มข้างสระว่ายน้ำ เมื่อเขาเน้นคำว่า ‘อยาก’ จนชวนให้คิดถึงเรื่องบางเรื่อง ปลายฝนจึงรีบสวนกลับเพื่อกลบเกลื่อนความหวั่นไหวและร้อนรนของตัวเอง
“ปลายจะไม่ยอมให้ตัวเองพลาดพลั้งแบบนั้นอีกเด็ดขาด และได้โปรดจำไว้ด้วยนะคะ ว่าปลายไม่เคยอยากและไม่คิดจะอยากให้นายหัวอยู่ใกล้”
“งั้นก็ขึ้นไปนอน ไม่อย่างนั้นฉันจะทำยิ่งกว่าอยู่ใกล้เธอ” เขาไม่แค่ขู่แต่ยังสาวเท้าเข้ามาใกล้ ทำให้กลิ่นไอความเป็นบุรุษแผดมาโอบล้อมร่างบางจนเจ้าตัวสั่นสะท้าน จนต้องรีบถอยหลังหนีอย่างเป็นอัตโนมัติ
“นี่นายหัวกำลังขู่ปลายเหรอคะ”
“คนอย่างฉันไม่เคยขู่ใคร ถ้าเธอยังต่อปากต่อคำกับฉันอีก แม้แต่ประโยคเดียว ฉันจะปิดปากเธอด้วยปากของฉัน ถ้าอยากลองก็เอา”
ปลายฝนอ้าปากค้างปนแก้มร้อนกับคำขู่ที่แสนร้ายกาจนั้น เธออยากจะลองดี อยากจะท้าทายให้มันรู้ดำรู้แดงไปข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่พร้อมเสี่ยงกับผลที่จะตามมา ดูตาเขาสิ วาววับเอาเรื่องขนาดนั้น ไม่ได้บ่งบอกว่าพูดเล่นเลยแม้แต่นิด สิ่งเดียวที่เธอควรทำในตอนนี้ก็คือ รีบเผ่นหนีขึ้นข้างบนซะ แม้ว่าจะไม่ชอบให้ใครบังคับก็ตาม
ถึงแม้ความคิดจะบอกว่าควรหนี แต่ทว่าขากลับไม่ยอมก้าวไปไหน กระทั่งร่างสูงใหญ่ก้าวมาชิดอีกครั้ง นั่นแหละปลายฝนจึงได้สติ ร่างบางสะดุ้งโหยง ตามมาด้วยเสียงกรี๊ด เมื่อมือหนาเอื้อมาแตะข้อศอกของเธอ
“ปลายฝน”
“กรี๊ดดด อย่าทำอะไรปลายนะ”
“จะกรี๊ดทำไม”
“แล้วนายหัวจะทำอะไรปลายล่ะ”
“ฉันก็แค่เรียกสติ เธอไม่รู้ตัวหรือไงว่ายืนอ้าปากค้าง หรือว่าที่ทำแบบนี้ก็เพราะอยากอ่อยให้ฉันเอาปากประกบจริงๆ” นายหัวสิงห์ก้มลงกระซิบถาม ทำให้ปลายฝนรีบสะบัดตัวออกห่างอีกรอบ
“อย่ามาดูถูกปลาย ปลายไม่เคยคิดจะอ่อยผู้ชายคนไหน”
“งั้นก็ขึ้นไปนอนซะ อย่าให้ฉันคิดว่าการกระทำกับคำพูดของเธอมันสวนทางกัน”
“ช่วยบอกเหตุผลหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมปลายต้องรีบนอน”
“ก็เพราะฉันไม่ได้พามาที่นี่เพื่อให้เดินเล่นหรือให้อยู่บ้านเฉยๆ เป็นนกน้อยในกรงทอง เธอมีหน้าที่ต้องทำงานเพื่อชดใช้ในสิ่งที่คนงานของอาเธอทำ หรือถ้าไม่อยากทำก็บอก ฉันจะได้พาเธอกลับไปส่ง และไปเอาเรื่องอาเธอแทน”
คำพูดนั้นทำให้ปลายฝนโกรธแสนโกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองเขาอย่างตัดพ้อแล้วหมุนตัววิ่งเข้าบ้าน เท้าเล็กย่ำถี่ๆ ขึ้นไปยังชั้นบน เปิดและปิดประตูห้องนอนลงเพื่อกันตัวเองออกจากโลกภายนอก ร่างบางยืนพิงหลังกับประตู ใบหน้าแหงนมองเพดานด้วยหัวใจที่ร้าวรานปวดหนึบ ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องรู้สึกเช่นนั้น เมื่อเผชิญกับความจริงที่ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับคนที่พรากความสาวไปจากเธออีกแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดจาเย้ยหยัน ดูถูกดูแคลน และวางตัวห่างเหินเย็นชากับเธอขนาดนี้