ตอนที่ 9 เทียบเชิญ
ตอนที่ 9 เทียบเชิญ
ผู้ถูกกล่าวถึงกำลังทอดกายรับสายลมเย็น ๆ ที่พัดเอื่อยผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านหน้าต่างพลิ้วไหวยามเมื่อสายลมนั้นพัดผ่านเข้ามา ในใจของหญิงสาวกำลังวุ่นวายสับสนยิ่งนัก เกรงว่าการลอบเข้ามาของแคว้นจ้าวย่อมมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นแน่
แล้วคือผู้ใดกันเล่า!
“คุณหนูเจ้าคะ” เสี่ยวชิงสาวใช้คนสนิทรีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้องของนายสาว เมื่อเข้ามาแล้วเมื่อเข้ามาแล้วนางกระหืดกระหอบซ้ำยังกิริยาไม่สำรวมสักนิด
เมิ่งลู่ซือหันหน้ามายังต้นเสียง “เหตุใดรีบร้อนเพียงนี้ มีเรื่องอะไรกันแน่”
“คือว่าจดหมายจากองค์ชายสามเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงรีบยื่นจดหมายแผ่นนั้นทันใด ผู้รับจดหมายเปิดซองกระดาษออกมา พร้อมกับอ่านตัวอักษรที่บรรจงเขียนมาอย่างดงาม พลางยกยิ้มเยาะเล็กน้อย จากนั้นจึงได้ยื่นกระดาษไร้ค่านั้นคืนให้สาวใช้
“นำไปให้ท่านพ่อกับท่านแม่” นางมิอยากเรื่องมาก ไยจะต้องจัดพิธีอันใดมากมาย ในเมื่อชาตินี้นางตั้งใจเอาไว้แล้วว่า
จะไม่มอบหัวใจให้ชายใด
เพราะชาติที่แล้วนางเจ็บปวดใจเหลือเกินถึงแม้จะไปไหว้พระบนบานเอาไว้ว่า ขอให้พบเนื้อคู่ที่ดี แต่สุดท้ายดวงวิญาณของนางก็ถูกดึงเข้ามาในแคว้นจินที่ไม่ได้อยู่ส่วนไหนของลูกโลก เป็นโลกคู่ขนาดกระมัง หรือว่าอาจเป็นเมืองโบราณที่ไม่มีในจาลึกประวัติศาสตร์
“คุณหนูทำไมสีหน้าไม่สู้ดีนักเจ้าคะ อย่านั่งรับลมเลยเจ้าค่ะ เข้าห้องนอนพักดีกว่า” เสี่ยวชิงประคองเจ้านายแสนสะสวย ทว่ากลับถูกคุณหนูส่งสายตาดุดันมอบให้ “ข้ากลัวว่าคุณหนูจะล้มป่วยอีก บาดแผลยังไม่หายดีนี่เจ้าคะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี แต่ว่ามันมีเรื่องที่ข้ายังมองไม่ออก เหตุใดแคว้นจ้าวจู่ ๆ จึงบุกเข้ามาได้ หากไม่ใช่ว่ามีผู้ใดส่งข่าว รวมถึงไม่มีคนหนุนหลัง และคนผู้นั้นย่อมมากด้วยอำนาจ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดไม่จางหายถึงแม้จะเจ็บปวดบาดแผลมากมาย กระนั้นสิ่งนี้ทำให้นางวิตกกังวลยิ่งนัก
“...” เสี่ยวชิงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก นั่นเพราะเรื่องเช่นนี้ย่อมเหลือบ่ากว่าแรงนางมาก แค่อ่านออกเขียนได้ก็หนักหนาแล้ว
“รีบนำจดหมายไปมอบให้ท่านพ่อเถิด แล้วบอกแค่ว่าให้ทำตามรับสั่งขององค์ชายสาม” ใจดวงนี้มิปรารถนารักเพราะเจ็บปวดชอกช้ำจนเกินไป ขอให้ชาตินี้ของนางอยู่อย่างเรียบง่าย แต่เหมือนว่าโชคชะตาของนางถูกกำหนดให้พบเจอแต่ความยุ่งยากลำบากสินะ
“เจ้าค่ะ เสี่ยวชิงรีบไปจะรีบกลับเดี๋ยวนี้” สาวใช้รีบขานรับแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้องด้านนอกของนายสาว เร่งฝีเท้าอย่างรีบร้อนระหว่างทางเดินไปเรือนใหญ่ได้พบกับแม่นมเจินโดยบังเอิญ หญิงชรายื่นแขนทั้งสองข้างขวางมิให้เสี่ยวชิงเดินไปได้ง่าย ๆ
“หลบไปนะ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจคนแก่” เสี่ยวชิงปากไวยิ่งนัก มิยินยอมให้หญิงชราเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ผู้ถูกต่อว่าลดมือลงพลางยกขึ้นเท้าเอวทั้งสองข้างแทน สีหน้ากรุ่นโกรธมากโข “ปากดีจริง ๆ ข้าไม่อยากเสียเวลากับสาวใช้อย่างเจ้านักหรอกนะ ฮูหยินให้เจ้าไปพบ”
“ข้ายังไม่ว่าง อีกเดี๋ยวค่อยไป” ในมือยังคงถือจดหมายเอาไว้ นางรักษายิ่งกว่าชีวิตของนาง ด้วยเพราะเป็นคำสั่งของคุณหนู นางจะเพิกเฉยได้อย่างไรกัน ย่อมให้ความสำคัญกับเจ้านายตนมากกว่าผู้อื่นที่จ้องแต่จะหาเรื่องเจ้านายของนาง
“ช่างกล้านักนะ!” เมิ่งหลันเซียนเดินเตร่รอคอยเสี่ยวชิงมาเกือบหนึ่งก้านธูป เพราะเห็นว่ารีบร้อนวิ่งพรวด ๆ ไปยังเรือนของพี่สาวต่างมารดา คาดว่าย่อมมีสิ่งใดเป็นพิเศษแน่ ๆ นางจึงได้มาดักรออยู่เช่นนี้ รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครา
“คุณหนูเล็ก” เสี่ยวชิงยอบกายลงเล็กน้อย เก็บจดหมายเข้าไปในปลายแขนเสื้อกว้าง มิอยากให้ผู้อื่นได้เห็นถ้อยคำนั้นในจดหมายและนางก็ไม่ทราบว่าในกระดาษแผ่นนี้เขียนอะไรกันแน่
“อย่าเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงร้องทักท้วงขึ้น เมื่อเมิ่งหลันเซียนเข้ามาแล้วกำลังยื้อแย่งจดหมาย นางหลบหลีกทว่าถูกแม่นมเจินจับแขนทั้งสองข้างเอาไว้ แม้ว่าพยายามขัดขืนดิ้นหนีแต่ก็ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายที่มากกว่านางได้
ในที่สุดจดหมายได้ถูกเปิดออกโดยเมิ่งหลันเซียน บุตรสาวของท่านแม่ทัพเมิ่งแย่งชิงไปได้ในที่สุด “อะไรจะสาแก่ใจข้าเช่นนี้” เมื่อได้อ่านตัวอักษรในกระดาษแผ่นนี้นางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ซ้ำยังยิ้มเยาะและส่งสายตาดูแคลนเสี่ยวชิง
“ไร้พิธีการใด ๆ นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้สมรสก็ถูกองค์ชายสามหมางเมินเสียแล้ว” เมิ่งหลันเซียนกระแทกกระดาษแผ่นนั้นใส่หน้าอกของเสี่ยวชิง “ช่างอาภัพยิ่งนัก”
เมื่อกล่าวจบนางจึงเดินกลับไปรายงานมารดาให้ทราบ แม่นมเจินปล่อยแขนของเสี่ยวชิงแล้ว
เสี่ยวชิงเพิ่งรู้ความจริงสีหน้าของนางเจื่อนไปพร้อมกับน้ำตา ไหลมาเอ่อคลอในกระบอกตาทั้งสองข้าง คาดไม่ถึงว่าองค์ชายสามผู้นี้ จะกล้าหยามเกียรติเจ้านายของนางเยี่ยงนี้ และต่อไปนี้จะทำเช่นไรดีเล่า แม้จะกระวนกระวายใจแทนนายสาว
แต่เสี่ยวชิงยังไม่ลืมสิ่งที่คุณหนูของนางเคยย้ำเตือนเสมอ นางจึงได้เดินไปยังเรือนด้านหน้า แม้สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก เดินคอตกเหงาหงอยไม่แย้มยิ้มสักนิด
เมื่อพบกับฮูหยินรองนางก็แทบจะร่ำไห้ กระนั้นจึงเก็บความเศร้าเสียใจเอาไว้ แม่ทัพเมิ่งกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในห้องรับรอง และยังมีชายแปลกหน้าผู้หนึ่งนั่งกอดอก จ้องเขม็งไปยังท่านแม่ทัพเพื่อรอคำตอบ
“ออกไปได้แล้ว ดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี” แม่ทัพเมิ่งกรุ่นโกรธอยู่ในอก เพราะได้รับรู้ข่าวขององค์ชายสามจากปากคนสนิทของตน เสี่ยวชิงยกมือขึ้นกระซิบเบา ๆ ที่ใบหูของฮูหยินรอง
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถิด” กวนอวี้เหยาปวดใจนัก บุตรจะสมรสทั้งทีแต่กลับกลายเป็นว่าองค์ชายสามมีรับสั่งเช่นนี้ออกมา แล้วนางและสามีจะกล้าขัดขวางได้อย่างไรกัน เห็นทีว่าจะต้องส่งจดหมายลับมอบให้มารดาของนางซึ่งพำนักอยู่ในเมืองหลวง
“ท่านพี่ซือเอ๋อร์ยินดีจะทำตามรับสั่ง แต่ข้าไม่ยินยอมนะเจ้าคะ” การแต่งงานของลูกสาวจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่องค์ชายสามกลับหยามหน้า และมิให้เกียรติตระกูลกวน ซ้ำยังกล้าหักหน้าตระกูลเมิ่ง ที่ปกปักรักษาแดนเหนือมาหลายสิบปี
“ข้าก็ไม่ยอม เหตุใดองค์ชายสามจึงคิดเยี่ยงนี้ หาไม่แล้วก็ถอนหมั้นไปเลยจะดีเสียกว่า กลับมาหักหน้าข้าได้อย่างไรกัน!” แม่ทัพเมิ่งหัวเสียยิ่งนักใบหน้าคมคายนั้นประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดงเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่สุมอกในยามนี้
“จะให้ข้าน้อยช่วยเช่นไรขอรับ ข้าก็จนปัญญาเหมือนกัน” จะให้เขากดดันองค์ชายสามดูไม่เข้าท่า เพราะอีกฝ่ายเป็นถือเชื้อพระวงศ์ แม้จะเสเพลชมชอบความสำราญแต่ฐานันดรนั้นสูงส่งยิ่งนัก
หากเป็นชาวบ้านชนชั้นสามัญมีหรือจะกล้าหักหน้าแม่ทัพเมิ่งเช่นนี้ ไม่รู้ว่าองค์ชายสามคิดอ่านอันใดกันแน่ ถึงได้กล้าเหยียบหน้าท่านแม่ทัพเมิ่งแห่งแดนเหนือ
ปัง!
เสียงฝ่ามือฟาดลงบนโต๊ะ จนมันหักกลาง มิหนำซ้ำกาน้ำชาและขนมรับรอง ยังตกพื้นเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย สร้างความตระหนกตกใจให้กับกวนอวี้เหยายิ่งนัก “ท่านพี่ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ” นางยกมือขึ้นลูบบ่าของสามี ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น
“ข้าก็เห็นด้วยกับฮูหยินรองขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยว่าเลื่อนงานออกไปก่อน อีกอย่างวันนี้ข้ายังมาส่งเทียบเชิญให้กับคุณรอง” ชายหนุ่มไม่ลืมส่งเทียบเชิญสีแดงยื่นให้กับแม่ทัพเมิ่ง
เมื่อครู่เขาตกใจไม่แพ้กัน คาดไม่ถึงว่าไอสังหารของท่านแม่ทัพรุนแรงถึงเพียงนี้ แม้จะบาดเจ็บจากการถูกซุ่มโจมตี แต่ดูเหมือนว่ายังแข็งแรงไม่บาดเจ็บสาหัสอย่างที่ทุกฝ่ายกังวลใจ
ฮึ!
แม่ทัพเมิ่งแค่นหัวเราะ “ลูกสาวข้าบาดเจ็บ คงไปร่วมงานไม่ได้ เจ้ากลับไปทูลฮองเฮาก็แล้วกันว่า นางร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรัง เกรงว่าการเดินทางไกลจะทำให้อาการกำเริบขึ้นมา”
“ท่านพ่อ ข้าไปได้เจ้าค่ะ” เมิ่งลู่ซือคิดไม่ตก แผนการของแคว้นจ้าวย่อมมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง แล้วเป็นผู้ใดกันแน่ นางจะต้องรู้ความจริงให้ได้
นางจึงฝืนเดินออกมาจากเรือนแม้จะบาดเจ็บและใบหน้ายังซีดเซียวไร้สีเลือดอยู่ เพราะความอยากรู้จึงจำเป็นต้องเดินทางไปสืบข่าวด้วยตนเอง ฐานะคู่หมั้นขององค์ชายสามย่อมมีดีมากกว่าร้าย สถานที่คือเมืองหลวงและวังหลวง ย่อมทำให้นางกระจ่างแจ้งในครานี้
“แต่เจ้าบาดเจ็บอยู่เช่นนี้” ผู้เป็นบิดาส่งเสียงเข้ม เกรงว่าการเดินทางจะมีผลเสียมากกว่าผลดี
“ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าไปได้สบายมากเจ็บแค่นี้เองเจ้าคะ ลูกก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ พูดคุยโต้ตอบท่านพ่อได้ ย่อมแสดงว่าลูกยังทนไหว” เมิ่งลู่ซือย่อมทราบดีว่า บิดาและมารดาเป็นห่วงนางยิ่งนัก
นางเองก็เช่นเดียวจึงคิดปกป้องครอบครัวให้รอดปลอดภัย ถึงแม้จะเป็นสตรีรูปร่างบอบบางผ่ายผอม แต่นางมิได้อ่อนแอโรครุมเร้าเหมือนดังข่าวลือ ซึ่งบิดาของนางเป็นคนปล่อยข่าวนั้นเอง
เพื่อสิ่งใดกันเล่า นอกเสียจากว่า นางคือหมากแห่งอำนาจ!
“ช่างหัวแข็งนัก” แม่ทัพเมิ่งย้อนให้อีกหนึ่งคำรบ พ่นลมหายใจอย่างกรุ่นโกรธออกมาอีกหน
“แล้วข้าเหมือนใครเล่าเจ้าคะ หากมิใช่ถอดแบบท่านพ่อออกมา” มีหรือที่เมิ่งลู่ซือจะยอมให้บิดาต่อว่านางผู้เดียว นางย่อมต้องยอกย้อนด้วยเพราะอุปนิสัยใจคอนางและผู้ต่อว่าช่างคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง
“ยังจะมาเถียงอีก” เขาพ่นลมหายใจพร้อมกับยอกย้อนลูกสาวตัวดี แม่ทัพเมิ่งมิได้กรุ่นโกรธลูกสาวมากมายถึงเพียงนั้น
“ลูกจะระมัดระวังตัวให้มาก การเดินทางย่อมไม่ง่ายอย่างที่คิด ลูกจะให้ไป๋เฟยเทียนไปด้วย ท่านพ่อคงจะเบาใจได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” สิ่งใดควรมิควรเมิ่งลู่ซือย่อมกระจ่างแจ้งแก่ใจเป็นอย่างดี
นางทำทุกอย่างล้วนละเอียดรอบคอบ แววตาของนางมิเคยหวั่นสะพรึงกลัวต่อสิ่ง แม้ว่าสิ่งนั้นจะอันตรายถึงชีวิต หากนางยังมีชีวิตอยู่ เรื่องของแคว้นจ้าว นางย่อมกัดไม่ปล่อย และต้องรู้ให้ได้ว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด
ชายผู้นี้สุขุมรอบคอบและยังเป็นคนสนิทของแม่ทัพเมิ่ง ได้รับความไว้วางใจ และยังเป็นสายสืบเรื่องต่าง ๆ ให้แก่แม่ทัพเมิ่งอีกด้วย “เป็นเช่นนี้ย่อมดีมากขอรับคุณหนูรอง เช่นนั้นแล้ว ข้าจะเร่งม้าเข้าเมืองหลวงกราบทูลรายงานแก่ฮองเฮา อีกอย่างใต้เท้าเมิ่งคงจะดีใจไม่น้อยที่จะได้พบคุณหนูรองอีกครั้ง”