ตอนที่ 8 ถูกพิษ
ตอนที่ 8 ถูกพิษ
ยามนี้เมิ่งลู่ซือกำลังนอนซมเพราะพิษร้าย บริเวณที่ถูกเข็มพิษนั้นปักลงมากลางหน้าอกด้านขวา เป็นรอยดำและนูนเด่นยิ่งนัก สีหน้าของนางซีดเซียวริมฝีปากกัดผ้าเอาไว้แน่นด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
เมื่อท่านหมอลงมีดกรีดบริเวณกึ่งกลางของบาดแผล เป็นผลให้โลหิตสีดำคล้ำไหลออกมาเขารีบนำผ้ามาซับโลหิตสีคล้ำนั้นอย่างรวดเร็ว การรักษาเบื้องต้นนี้ ทำได้แค่ช่วยประคับประคองมิให้พิษนั้นกระจายเข้ากระแสโลหิตของนาง ยับยั้งเอาไว้ได้ไม่นานนัก
เมื่อจัดการบาดแผลนี้แล้ว พร้อมกับให้สาวใช้นำผ้ามาพันแผลให้คุณหนูรอง ชายชรายกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมา พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะมีสายตาหลายคู่จับจ้องเขา หากทำอันใดผิดพลาดไป เกรงว่าชีวิตของตนคงจะไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แล้ว
หญิงสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียงกว้างมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าสะสวย ทว่ายามนี้กลับซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด แววตาของนางทั้งอ่อนล้าและเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กัน ทำให้บิดารู้สึกผิดยิ่งนัก ที่ตนเสียเปรียบเพลี่ยงพล้ำอีกฝ่ายจนทำให้ลูกสาวตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
“พ่อผิดเองซือเอ๋อร์” แม่ทัพเมิ่งยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ยังคงสวมชุดเกราะเอาไว้เช่นเดิม แม้เขาจะบาดเจ็บหลายแห่ง แต่ก็มิได้ทำให้เขาเจ็บปวดเมื่อพบว่าลูกสาวนั้นถูกพิษร้ายแรงเยี่ยงนี้
“ท่านพ่ออย่าได้กล่าวโทษตนเองเลยเจ้าค่ะ เป็นลูกเองที่คิดว่าเก่งกาจเอาชนะศัตรูได้” เพราะมิอยากให้บิดากล่าวโทษตนเอง นักรบย่อมมีบาดแผล
แล้วเหตุใดกันนางจะไม่มีแผลบ้างเล่า ฝึกฝนกระบี่ตั้งแต่สี่หนาว มีรอยฟกช้ำดำเขียวก็มาก แต่รอยบาดแผลลึกขนาดนี้มันมิเคยเกิดขึ้นกับนาง และนี่เป็นครั้งแรก บทเรียนราคาแพงซึ่งอาจเอาชีวิตครั้งที่สองของนางไปได้ทุกเมื่อ
“จะไม่ให้พ่อโทษตัวเองได้อย่างไรกัน เจ้าเป็นสตรีแล้วมีบาดแผลย่อมไม่เป็นผลดี” แม่ทัพเมิ่งกลัดกลุ้มใจนัก แผลนี้อาจกลายเป็นแผลเป็นก็ได้ แล้วหากองค์ชายสามพบเข้าจะไม่ชิงชังนางหรือ
“เหตุใดสตรีจึงมีบาดแผลไม่ได้ ท่านพ่ออย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ แผลเล็ก ๆ แค่นี้เอง” แม้เจ็บปวดเพียงใดนางย่อมต้องฝืนยิ้มเพื่อให้บิดาคลายความกลัดกลุ้มใจ พลันมารดารีบร้อนเดินพรวดพราดเข้ามา ผู้เป็นลูกสาวแสร้งหลับตาเกรงว่าจะถูกมารดาดุด่าจึงรีบปิดเปลือกตาทันควัน
กวนอวี้เหยาทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ แววตาของนางมีแต่ความหม่นหมอง ฝ่ามือหนาของผู้เป็นสามีจับไหล่ของนางพลางปลอบประโลมภรรยาที่แสนรักแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เหยาเอ๋อร์ อย่าได้ร้อนใจไป”
“จะไม่ให้ข้าร้อนใจได้อย่างไร ลูกสาวของข้าทั้งคนนะเจ้าคะ” นางใช้ถ้อยคำรุนแรงกับสามีไปบ้าง เขาไม่ถือสากับภรรยารัก ถึงแม้นางจะโกรธเกรี้ยว ซ้ำยังตะคอกเขาบ่อยครั้ง นั่นก็เพราะนางรักและเป็นห่วงบุตรียิ่งกว่าชีวิตของนางเสียอีก
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาแผลนางให้หายดี” ฝ่ามือหนาเลื่อนจากไหล่ลงมากุมมือของภรรยา ทว่านางชักมือกลับมาอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าลูกสาวนอนซมเพราะพิษร้าย ซ้ำยังมีบาดแผลอีกด้วย มารดาเช่นนางจะนิ่งนอนใจได้อีกหรือ
“ท่านพี่ หากซือเอ๋อร์เป็นอันใดขึ้นมา ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน” ถ้อยคำนี้ทำให้สามีนิ่งชะงักงัน ไร้คำพูดใด ๆ ออกจากปากเขา
ยามที่เห็นภรรยารักโศกเศร้าถึงเพียงนี้ มีหรือเขาจะไม่เจ็บปวดใจ และลูกสาวต้องมารับเคราะห์ก็เป็นเพราะเขาไม่เอาไหน จึงได้แต่ตำหนิและกล่าวโทษตนเองซ้ำไปซ้ำมา
กวนอวี้เหยารู้สึกผิดยิ่งนักเมื่อครู่ตำหนิสามีไปด้วยความไม่ตั้งใจ นางเงยหน้าสบตาผู้เป็นสามี ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำนุ่มนวลมิได้ดุดันเหมือนเมื่อครู่นี้อีก “ข้าขอโทษเจ้าค่ะท่านพี่”
นางมองบาดแผลของเขานึกก่นด่าตนเองที่เอาแต่ใจ “ท่านพี่ไปทำแผลก่อนดีกว่านะเจ้าคะ”
เมิ่งลู่ซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมารดาใจเย็นลงมาบ้าง ทั้งยังจับจูงบิดาเดินออกจากห้องนอน คงไปทำแผลให้บิดาของนางเป็นแน่ เช่นนั้นแล้วจึงได้ค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงนอน ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ชายผู้หนึ่งทะยานเข้ามาในห้องของนางแล้วหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ อย่างถือวิสาสะ แม้เจ้าของห้องยังไม่เอ่ยปากอนุญาต เขาทอดสายตามองหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
“ข้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่าจะไปด้วย” เขามิได้ตำหนิหญิงสาวด้วยถ้อยคำรุนแรง ทว่ามีแต่ความห่วงใยทั้งนั้น ซ้ำแววตาของชายหนุ่มมีแต่ความกลัดกลุ้มยิ่งนัก ทำให้นางได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้
แล้วเขาจะมีหน้าไปพบกับพี่ใหญ่ของนางได้อย่างไรกัน เพราะว่าเมิ่งลู่คังฝากฝังนางไว้กับเขา ให้เขาดูแลนางให้ดีอย่าให้มีกระทั่งรอยขีดข่วน แต่ยามนี้กลับมีแผลลึกจนน่าหวาดกลัว
“ข้ายังไม่ตายเสียหน่อยแค่ถูกพิษแค่นี้เอง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงนักเลย” เมื่อครู่ไม่ได้ถูกมารดาซักไซ้ก็จริง ทว่าเจ้าหมอนี่ยังตำหนิ ถึงแม้ว่าเขาห่วงใยนางถึงเพียงนี้ ทว่านางก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ อายุของนางหากรวมชาติที่แล้วก็ยังแก่กว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นสิบหรือยี่สิบปีก็ว่าได้
“จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไรกัน ข้า...” ชายหนุ่มชะงักไปอึดใจหนึ่ง “ข้าจะบอกพี่ใหญ่เจ้าได้อย่างไรกัน ข้ารับปากพี่ชายเจ้าเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลเจ้าให้ดี แล้วยามนี้เล่า”
“อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ อย่าได้เฝ้าโทษตนเองเลย เป็นข้าเองที่ประมาทคู่ต่อสู้มากจนเกินไป” เมิ่งลู่ซือฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย อยากให้เขาสบายใจ สีหน้าของไป๋เฟยเทียนหม่นหมองไม่น้อยนัก
“แต่เจ้าก็ตัดแขนของแม่ทัพแคว้นจ้าว ป่านนี้ชายผู้นั้นคงบาดเจ็บสาหัสและต้องมีแผนร้ายมาอีกเป็นแน่” ไป๋เฟยเทียนไม่คลายความกังวลใจ เกรงว่านางจะต้องถูกปองร้ายจากนักฆ่า หวังล่าค่าหัวจากแคว้นจ้าวเป็นแน่
“อีกอย่างพิษของเจ้าจะทำเยี่ยงไร”
“พิษนี้ยังไม่มียาถอนพิษ จะต้องเป็นแคว้นจ้าวเท่านั้น อีกอย่างช่วงนี้ก็ดูแลหน่วยให้ดี อย่าให้พวกเขาเสียขวัญไปเล่า” นางตอบกลับใบหน้าราบเรียบ ริมฝีปากยังคงซีดเซียวเหมือนเดิม “อ้อ...ทีหลังหัดเข้าทางประตูนะ ไม่ใช่หน้าต่างเหมือนพวกหัวขโมย”
“หน้าตาเช่นข้านี่นะ! จะเป็นหัวขโมยไปได้!” ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้น พร้อมกับทำตาโตเมื่อถูกนางกล่าวหาเช่นนี้ “ออกจะหล่อเหลาปานนี้ ท่านช่างไม่เห็นค่า” เขาช้อนสายตาด้วยความขุ่นเคืองใจ
“รู้แล้วน่า ออกไปได้แล้วเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า ข้าจะถูกครหาเอาได้” ธรรมเนียมแคว้นจินมิได้เหมือนกับประเทศที่นางได้จากมา การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในคราบคุณหนูในห้องหอช่างเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก
แต่ทว่าหนูยิ้มทำได้เพราะมีท่านแม่ที่น่ารักและเอาใจใส่ซ้ำยังเลี้ยงดูนางมาอย่างดี ได้รับความรักและเมตตาจากบิดาเป็นเรื่องที่น่ายินดีถึงเพียงนี้
แล้วยังมีพี่ชายต่างมารดา ทั้งเอ็นดูรักใคร่นางเสียยิ่งกว่าสิ่งใดอีก ในชาตินี้ถือว่าหนูยิ้มได้พบแต่ความสุขแล้ว ถึงบิดาจะมีภรรยาเอกแล้วก็ตามที ทว่าบิดารักใคร่มารดาของนางยิ่งนัก
จึงทำให้โม่ผิงอันไม่พอใจอยู่เสมอ แล้วพานโกรธเกลียดชิงชังนางเข้ากระดูกดำ และวันนี้นางถูกพิษร้ายแรงเจียนตาย ป่านนี้สองแม่ลูกคงนั่งหัวเราะชอบใจแล้วกระมัง
ผู้ที่ถูกกล่าวถึงคือโม่ผิงอัน ฮูหยินเอกของท่านแม่ทัพ ยามนี้กำลังจิบชาดับกระหาย พร้อมกับนั่งเท้าคางด้วยความเหม่อลอย แววตาของนางทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
ส่วนลูกสาวมิได้สนใจสิ่งใด นอกเสียจากจะเป็นเครื่องประดับ ที่มารดาได้มอบให้นาง มือข้างหนึ่งหยิบปิ่นปักผม อีกข้างหยิบสร้อยไข่มุกน้ำงามขึ้นมา ดวงตาแพรวพราวยิ่งนัก น้ำเสียงหวานไพเราะจับใจกล่าวขึ้นว่า
“ท่านแม่ให้ข้าหมดนี่เลยหรือเจ้าคะ” เมิ่งหลันเซียนแม้ว่าจะมีเครื่องประดับมากมาย ทว่าในหีบไม้แกะสลักที่มารดามอบให้ช่างดูหรูหรายิ่งนัก และยังเป็นเครื่องประดับซึ่งมีมูลค่าไม่น้อยทีเดียว
โม่ผิงอันได้ยินน้ำเสียงหวาน ๆ ของลูกสาว นางคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ก็ใช่นะสิ หากไม่ให้เจ้าจะไปในใครกันเล่า อีกสิบวันในเมืองหลวงจะจัดงานชมบุปผา วันนั้นเจ้าจะต้องไปร่วมงานด้วย”
“แล้วพี่รองเล่าต้องไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ” เมิ่งหลันเซียนวางเครื่องประดับใส่หีบไม้เอาไว้เหมือนเดิม
ภายในอกล้วนไม่ยินดียิ่งนัก หากว่างานเลี้ยงในวังหลวงจัดขึ้น อีกฝ่ายย่อมได้รับเทียบเชิญเป็นแน่ และหากผู้ใดได้พบโฉมหน้าของเมิ่งลู่ซือ ก็ย่อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ช่างงดงามเฉิดฉายยิ่งนัก เรื่องความงามเมิ่งหลันเซียนย่อมยอมมิได้เพราะนางเทียบผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาได้สักนิด
“นางก็ย่อมต้องเดินทางไปด้วยอยู่แล้ว แต่ว่า...อาจกลายเป็นศพระหว่างทางก็ได้ใครจะไปรู้” โม่ผิงอันเหยียดยิ้มเล็กน้อย วาดหวังให้อาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงเจียนตายได้จะดีที่สุด
“ท่านแม่” ผู้เป็นลูกสาวอุทานเสียงดังด้วยความตระหนกตกใจ “คิดจะกำจัดนางกลางทางหรือเจ้าคะ”
โม่ผิงอันมองใบหน้าของลูกสาว ส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความโง่เขลาไร้สติปัญญา หากทำเช่นนั้นจะนำภัยมาถึงตัวก็ว่าได้
“ข้าไม่โง่ขนาดนั้นหรอกนะ อาการบาดเจ็บของนางไม่สู้ดี เดินทางรอนแรมหลายวันมีหรือที่จะไม่ล้มป่วยเจียนตายเล่า” โม่ผิงอันเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย หากนางทำอันใดวู่วามไป ไม่ส่งผลดีมาถึงตัวนางเป็นแน่
“เป็นจริงดั่งท่านแม่พูดเจ้าคะ ลูกคิดว่าการเดินทางครั้งนี้ย่อมต้องมีเรื่องให้ตื่นเต้น” เมิ่งหลันเซียนเหยียดยิ้มเล็กน้อย พลางครุ่นคิดจะทำอย่างไรให้พี่สาวต่างมารดากระอักเลือดเจียนตายระหว่างทาง
ฝ่ามือนุ่มของผู้เป็นมารดายกขึ้นมาดีดหน้าผากลูกสาว “เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรเป็นอันขาด” ด้วยเพราะเกรงว่าลูกสาวที่ไม่รู้จักโตจะหาเรื่องใส่ตัวแล้วจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“แต่ว่า” นางรีบช้อนสายตาขึ้นมานึกขุ่นเคืองเล็กน้อย
โม่ผิงอันพิษสงรอบด้านและมีหรือที่นางจะไม่คิดแผนการสำรองเอาไว้ “ไม่ต้องแต่ แม่บอกเจ้าแล้วมิใช่หรืออย่างไร การเดินทางอันแสนยาวไกลเช่นนี้ ต่อให้มีปีกไหนเลยจะหนีความตายพ้น!”