ตอนที่ 6 จับดาบ
ตอนที่ 6 จับดาบ
หญิงสาวรีบก้าวพรวด ๆ ออกจากเรือนด้านหน้า พร้อมกับเป่านกหวีดหยกที่ทำขึ้นมาเพื่อสั่งการหรือรวมพลหน่วยทหารลับเท่านั้น ยามนี้นางไม่มีแม้เวลาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ด้วยเพราะว่าบิดากำลังตกอยู่ในอันตราย
หญิงสาวนางนี้คือคุณหนูรองนามว่าเมิ่งลู่ซือ ผู้คนส่วนมากในแดนเหนือพบโฉมหน้าของนางนับครั้ง และเป็นที่ร่ำลือกันว่านางเจ็บป่วยตั้งแต่เยาว์วัย
สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจากท่านแม่ทัพเมิ่งสร้างเรื่องโป้ปด เพราะหวั่นเกรงว่าบุตรีจะมีเภทภัยมาเยือนเสียก่อน หากมีผู้ใดรู้ความจริงว่าบุตรีของเขานั้นฉลาดเฉลียว ซ้ำยังเก่งกล้ามากความสามารถ ใครเล่าจะไม่ปรารถนาในตัวนางเพื่อถ่วงดุลอำนาจในวังหลวง
กระนั้นยังมีราชโองการให้บุตรสาวของเขาหมั้นหมายกับองค์ชายสาม เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำได้แค่ยื้อเวลาเอาไว้มิยอมให้บุตรสาวได้อภิเษกเสียที แม่ทัพเมิ่งทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม วาดฝันให้ลูกสาวมีแต่ความสุขสงบ มิตกเป็นเครื่องมือของผู้ใดเข้าให้ หรือเพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้กับใคร
“ท่านหัวหน้า” บรรดาทหารลับหน่วยจิ่นหรงสวมชุดหนัง ใบหน้าพวกเขามีหน้ากากสีดำอำพราง แขนเสื้อข้างซ้ายปักลายพยัคฆ์โผบิน
“พวกเรามากันครบแล้วขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงนกหวีดก็รีบรุดหน้ามายังจุดรวมพลทันที
“แบ่งออกเป็นสามทาง กลุ่มหนึ่งไปโอบด้านหลัง อีกกลุ่มโอบล้อมด้านข้าง ที่เหลือตามข้ามา” หญิงสาวกำชับเพียงเท่านี้ ที่เหลือก็ปล่อยให้คนของนางจัดการ มิต้องให้นางพูดให้มากความนัก
ชายหนุ่มอาภรณ์สีฟ้า เขานั่งอยู่บนอาชาตัวใหญ่ มือข้างหนึ่งถือพัดไว้ อีกข้างจับเชือกม้าเอาไว้อย่างมั่นคง เขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปกับคุณหนู”
“ไม่ได้ เจ้าจะต้องไปกับกลุ่มที่หนึ่ง ข้าจะต้อนพวกมันไปให้พวกเจ้าเอง” หญิงสาวเอ่ยหนักแน่น มิเคยหวาดกลัวกลุ่มโจรหรืออันตรายอันใด อย่างมากก็ตายอีกครั้ง
“แต่ว่าท่านแม่ทัพกำชับให้ข้าคอยติดตามดูแลคุณหนู” ชายหนุ่มน้ำเสียงเศร้า เกรงว่าหากปล่อยให้เจ้านายคนสวยไปเพียงลำพังแล้วเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า
“วางใจเถอะ ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก” เมิ่งลู่ซือแม้จะมีใบหน้าเรียบเฉยแต่กลิ่นอายสังหารนั้นแรงกล้ามากโข ชาตินี้นางมีครอบครัวที่อบอุ่น แม้บิดาจะมีภรรยาเอกซึ่งมิใช่มารดาของนาง เช่นนั้นแล้วเมิ่งลู่ซือย่อมเข้าใจว่าแคว้นจินมีธรรมเนียมเช่นไร
เมื่อนางกล่าวจบ ก็เริ่มทะยานออกไปยังจุดที่บิดาถูกเหล่าโจรชั่วช้าของแคว้นจ้าวบุกเข้าโจมตี คาดไม่ถึงว่าแผนการของนางที่วางเอาไว้นั้นถูกอีกฝ่ายล่วงรู้เข้าให้ ก็คงมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น เกลือเป็นหนอนอย่างแท้จริง และคนผู้นั้นเป็นใครกันเล่า
บรรดาทหารของหน่วยจิ่นหรงต่างก็รีบเร่งควบม้า ไปยังจุดที่เจ้านายสั่งการเอาไว้ แต่ละคนทำหน้าที่ของตนเอง แม้กระทั่งชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีฟ้า เขารวบพัดเก็บไว้ที่สายคาดเอว แม้สีหน้าเศร้าสลดมิได้เดินทางดูแลผู้เป็นนาย กระนั้นจึงดึงสายบังคับม้าแล้วออกคำสั่งขึ้นกับกลุ่มของตนทันที
“เร่งม้าไปให้ถึงเร็วที่สุด”
ทางด้านผู้ที่ถูกดักซุ่มโจมตีก็คือแม่ทัพเมิ่ง สีหน้ามิได้หวาดหวั่นต่อผู้ใด ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีกองกำลังมากกว่า อย่างมากก็สู้จนตัวตาย ทว่ามีหรือบุรุษเฉกเช่นแม่ทัพแดนเหนือจะเสียเปรียบจนต้านทานผู้ที่รุกรานดินแดนเหนืออย่างเช่นแคว้นจ้าว
“นึกไม่ถึงว่าแคว้นจ้าวจะลอบกัดเหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่หวาดกลัวราชสีห์อย่างแคว้นจิน” แม่ทัพเมิ่งยิ้มเหี้ยมซ้ำยังส่งเสียงคำรามกึกก้องมอบให้แม่ทัพแคว้นจ้าว
“อย่าพูดมากนักแม่ทัพเมิ่ง ยามนี้ท่านบาดเจ็บสาหัส ถ้าอย่างไร ข้าให้โอกาสท่านก็แล้วกัน” ชายผู้นี้มีหนวดเครายาวลงมาถึงลำคอ เส้นผมนั้นถูกถักเปียรวบขึ้นสวมชุดเกราะ แล้วยังกล้าหาญมากอีกด้วย เขาคือแม่ทัพแห่งแคว้นจ้าว คู่ต่อกรที่ฝีมือนั้นสูสีกับแม่ทัพเมิ่งมากที่สุด
“ข้าผู้แซ่เมิ่ง มิเคยกลัวความตาย” เมิ่งลู่หานเหยียดหยันอีกฝ่ายผ่านทางแววตา “ข้าอยากรู้นักว่าสุนัขตัวไหนมันคาบข่าวบอกเจ้ากันแน่” เมิ่งลู่หานย่อมแจ้งแก่ใจแล้วว่าแผนการของบุตรีนั้นไม่มีข้อผิดพลาด วันนี้เขาเป็นผู้นำออกลาดตระเวน และจึงได้เกิดเรื่องขึ้นมา หากไม่มีหนอนบ่อนไส้แล้วจะเป็นอย่างอื่นไปได้เยี่ยงไร
“ดี วันนี้ย่อมเป็นวันตายของเจ้า” แม่ทัพแคว้นจ้าว ยกมือขึ้นเป็นการสั่งทหารที่ได้ติดตามตนมาเกือบห้าร้อยนาย ลงมือสังหารทหารของแคว้นจินเสีย แล้วยึดเมืองหน้าด่านเอาไว้เป็นอันดับแรก
ไม่ถึงอึดใจ เกิดการต่อสู้ เสียงของแข็งกระทบกระทั่งกัน เสียงร้องเจ็บปวดทรมานดังขึ้น กลิ่นคาวเลือดลอยเหม็นคลุ้ง พื้นดินนั้นอาบไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมานก่อนจะสิ้นในสนามรบขนาดย่อม ก่อนถึงภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง
“ท่านพ่อ” เมิ่งลู่ซือ กระโดดจากอาชาสีขาว ทะยานเข้าไปในวงล้อมของศัตรูเพื่อช่วยบิดาของนาง ซึ่งกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้แก่คู่ต่อสู้ นางยืนจังก้าในมือถือกระบี่คมกริบกำเอาไว้แน่น แววตามีแต่ความเกรี้ยวกราด จ้องเขม็งไปยังแม่ทัพอีกฝ่ายอย่างไม่หวาดกลัว
แม่ทัพแคว้นจ้าวยกยิ้มที่มุมปากขึ้น เมื่อพบว่าเป็นสตรีรูปร่างอรชร มือของนางถือกระบี่เอาไว้ ดวงตาคู่สวยมีแต่ความโหดเหี้ยมซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น “ช่างเป็นลูกสาวที่น่ารักจริง ๆ หากเจ้ายอมแพ้ข้าจะรับเจ้ามาเป็นเมียข้าอีกคนดีหรือไม่เล่าแม่สาวน้อย”
“ไอ้แก่บ้ากามอย่าอยู่เลย” เมิ่งลู่ซือสบถด้วยภาษาที่บิดามิเข้าใจ กระทั่งแม่ทัพแคว้นจ้าวยังงุนงงว่านางพูดสิ่งใดกันแน่ เขายกยิ้มไม่เอ่ยอันใด ตั้งรับสตรีตัวเล็กทะยานเข้ามาหา เขาถือทวนเล่มยาวปลายของมันคมกริบตัดแม้กระทั่งเล็กกล้าให้ขาดออกจากกันได้
เมิ่งลู่ซือไล่ต้อนทหารของแคว้นจ้าวไปทางเส้นหลังของหุบเขาจิ่งซาน หวังว่าสหายของนางจะเดินทางอ้อมมาถึงได้ทันการณ์ ด้วยเพราะทหารของแคว้นจ้าวมีจำนวนที่มากกว่า
หน่วยจิ่นหรงของนางมีกำลังพลไม่ถึงหนึ่งร้อยคน แต่ละคนมีวรยุทธ์เป็นเลิศแทบทั้งสิ้น เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือคงไม่กล่าวเกินความจริงนัก
แม่ทัพจ้าวโกรธแค้นยิ่งนักจนแทบกระอักเลือดออกมาก็ว่าได้ เมื่อเขาถูกสตรีเล่นงานแล้วมีบาดแผลจากการถูกแทงหลายแห่ง ยังโชคดีที่เขาหลบเลี่ยงจุดสำคัญเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นเขาคงถูกบุตรีของแม่ทัพเมิ่งแห่งแคว้นจินสังหารเป็นแน่
“พวกเราถอยทัพ” ชายอายุมากมิได้หวั่นเกรงต่อผู้ใด ภารกิจครั้งนี้เพื่อหยั่งเชิง หากโชคดีได้ยึดหัวเมืองเหนือเอาได้ย่อมมีคุณูปการมากล้น
“จะหนีหรือตาแก่ รนหาที่ตาย” น้ำเสียงดังก้อง ทว่ามิมีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูรองเอ่ยสิ่งใดกันแน่ แต่แฝงไปด้วยพลังอันแกร่งกล้า ดวงตาดุดันเต็มไปด้วยความโกรธแค้น นางพุ่งทะยานเข้าไปหมายจะปลิดชีพของแม่ทัพแคว้นจ้าว
ทว่าแม่ทัพเมิ่งส่งเสียงห้ามขึ้นมาทันใด “จับเป็น อย่าให้มันตายเร็วเสียก่อน” ด้วยเพราะอยากจับชายผู้นั้นไปทรมาน หวังให้แม่ทัพแคว้นจ้าวเป็นตัวประกัน ชายผู้นั้นมิใช่ชนชั้นสามัญทั่วไป เขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่งของแคว้นจ้าว น้อยคนนักที่จะทราบความจริงข้อนี้
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” เมิ่งลู่ซือรับปากผู้เป็นบิดา นางทะยานเข้าไปในมือยังถือกระบี่เอาไว้ ดวงตาคู่สวยของนางจ้องเขม็งไปยังชายรูปร่างสูงใหญ่ หนวดเครายาวลงมาถึงลำคอ
ด้านหลังของหุบเขา ยามนี้มีคนของนางล้อมเอาไว้แล้ว เมิ่งลู่ซือเหยียดยิ้มขึ้น พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง นางยืนอยู่บนโขดหินซึ่งมันยื่นออกมาจากภูเขา ทอดสายตามองมายังเบื้องล่าง โดยที่แม่ทัพแคว้นจ้าวกำลังหัวเสีย
“เจ้ามันช่างเป็นปีศาจยิ่งนัก คอยดูเถิดข้าจะกลับมาล้างแค้นพวกเจ้าให้ได้” เขาปรามาสและหมายหัวสตรีรูปร่างบอบบางเอาไว้น้ำเสียงดังก้องแววตาเปี่ยมไปด้วยเพลิงโทสะ ทั้งเสียหน้าและอับอายเสียท่าให้กับสตรีตัวเล็ก ๆ
“ท่านคิดว่าจะกลับแคว้นจ้าวได้รึ ยอมมอบตัวเสียเถิด ข้าจะละเว้นชีวิตของท่าน หากยังไม่ยอมฟัง ข้าจะจับตายพวกท่านทั้งหมด” นางยังคงส่งเสียงเหี้ยมพร้อมกับกลิ่นอายสังหารพวยพุ่ง
“ฮ่า ๆ” แม่ทัพแคว้นจ้าวหัวเราะเหี้ยม เขาถลกแขนเสื้อขึ้นมา ข้อมือของเขาสวมหนังสัตว์ซ่อนอาวุธร้ายเอาไว้ เขาเล็งไปยังเป้าหมายชี้ชัดว่าเป็นสตรีร่างบอบบางยืนอยู่บนก้อนหินของแนวเขา เข็มเงินนับสิบพุ่งไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งลู่ซือใช้กระบี่ตวัดกวัดแกว่งหลบหลีกเข็มเงินเหล่านั้น ทว่ามีหนึ่งเล่มที่พุ่งปักมากลางอกของนาง โชคดีที่ไม่ใช่หน้าอกด้านซ้ายของนาง ทว่าทำให้ร่างบอบบางใบหน้าซีดเซียวอย่างเจ็บปวด
นางฝืนทรงตัวเพื่อมิให้ตกลงไป ในขณะนั้นเองสหายของนางซึ่งโอบล้อมภูเขาด้านหลัง เขาตีฝ่าวงล้อมเข้ามาได้ทัน เมื่อพบว่าคุณหนูรองบาดเจ็บจึงได้เร่งทะยานกายเข้าไปช่วยนางเอาไว้ได้ทันพอดี
เมิ่งลู่ซือระบายยิ้มอย่างที่ไม่เคยแย้มยิ้มให้ผู้ใดมาก่อน นางใช้พลังเฮือกสุดท้ายฝ่ามือของนางตวัดกระบี่พุ่งไปยังแม่ทัพแคว้นจ้าวทันใด
ด้วยความคมกริบของกระบี่ทำให้แขนข้างซ้ายของชายผู้นั้น ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส ร่างของเขาร่วงหล่นจากอาชาคู่ใจ นอนเกลือกกลิ้งดิ้นไปมาอย่างทุรนทุรายแทบสิ้นใจก็ว่าได้
เพราะแขนข้างซ้ายของแม่ทัพแคว้นจ้าวถูกกระบี่เล่มนั้นตัดจนขาดวิ่น โลหิตสีแดงพวยพุ่งกระฉูดเป็นภาพที่สยดสยองเกินบรรยาย
“หากข้าเจ็บปวด เจ้าจะเจ็บยิ่งกว่าข้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า จดจำไว้ข้าคือเมิ่งลู่ซือ แคว้นจ้าวของท่านอย่าได้ริอ่านคิดมารุกรานอีก กลับไปบอกคนของพวกเจ้า หากไม่อยากตายให้ถอยทัพกลับไปเสีย มิเช่นนั้นข้าจะจับตายพวกเจ้าทุกคน”
แม่ทัพแคว้นจ้าวถูกทหารที่รอดชีวิตประคองให้ลุกขึ้นยืน พวกเขาถูกโอบล้อมเอาไว้ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ยังมีด้านหลังอีกด้วย “ท่านแม่ทัพ พวกเรากลับกันเถิด” หนึ่งในทหารชั้นผู้น้อยเอ่ยขึ้น เขาประคองท่านแม่ทัพที่มีสภาพอันน่าหดหู่พร้อมกับหวาดกลัวความโหดเหี้ยมของสตรีตัวเล็ก ๆ
เมิ่งลู่ซือถูกประคองเอาไว้ ชายหนุ่มข้างกายของนางคือสหายตั้งแต่วัยเยาว์ นางยิ้มเหี้ยมพลางเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเด็ดขาดว่า
“ช้าก่อน ใครบอกว่าให้นำแม่ทัพของพวกเจ้ากลับไป หากอยากรักษาชีวิตเอาไว้ ปล่อยเขาไว้ที่นี่ หาไม่แล้ว ข้าจะสังหารพวกเจ้าเสีย!”