ตอนที่ 5 คุณหนูรอง
ตอนที่ 5 คุณหนูรอง
สิบเจ็ดปีผ่านมา
เมิ่งลู่ซือเติบโตขึ้นเป็นสาวสวยสะพรั่ง ทว่ามีเรื่องหนึ่งซึ่งนางมิเข้าใจอยู่ เหตุใดกันบิดาจึงรับราชโองการเรื่องการหมั้นหมายของนางกับองค์ชายสาม ที่ทุกคนต่างขนานนามว่าเป็นบุรุษเสเพล มิหนำซ้ำยังมีลูกติดอีกด้วยช่างเป็นเวรกรรมของนางยิ่งนัก
“พี่รองอย่าได้กลัดกลุ้มใจไปเลยเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านเป็นคู่หมั้นกับองค์ชายสามแล้ว ย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ ตำแหน่งพระชายาเอกย่อมตกเป็นของท่านเพียงผู้เดียว” เด็กสาวอายุน้อยกว่าเมิ่งลู่ซือสามปีจีบปากจีบคอกล่าวกระทบกระทั่งผู้ซึ่งเป็นพี่สาวต่างมารดา
“ใครจะโชคดีเหมือนเจ้าเล่า” เมิ่งลู่ซือมิอยากถือสาเด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม นางเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกนามของนางคือเมิ่งหลันเซียน คุณหนูเล็กของจวนตระกูลเมิ่ง
“สาวหามนัก ช่างเก่งกล้าต่อปากต่อคำกับนางเชียวรึ เป็นเพียงลูกฮูหยินรอง กล้ากำแหงเยี่ยงนี้” แม่นมเจินอายุห้าสิบปีกว่า ๆ นางมีหน้าที่ดูแลคุณหนูสาม มิให้ผู้ใดกล้าข่มเหงรังแกได้ ยามนี้นางมิพอใจคุณหนูรองยิ่งนักที่กล้าพูดจากระทบกระทั่งเจ้านายน้อยของนางเช่นนี้
“เจ้าก็เป็นแค่แม่นม มีสิทธิ์อันใดเอ่ยสอดเรื่องของเจ้านายกัน!” เมิ่งลู่ซือยังคงมีท่าทีสงบเยือกเย็น สีหน้าเรียบเฉยดวงตาคู่งามของนางไร้ความเกรงกลัวต่อใคร ๆ ด้วยเพราะฝีมือกระบี่ของนาง รวมถึงวรยุทธ์นั้นอยู่ในขั้นสูงสุดก็ว่าได้ นางได้รับพรจากท่านเทพที่ได้ไปสักการะเมื่อชาติที่แล้ว
“พี่รองแม่นมเจินแค่ล้อเล่นเท่านั้น อย่าได้ถือสาเลยนะเจ้าคะ” เมิ่งหลันเซียนเห็นท่าไม่ดีจึงได้รีบร้อนเอ่ยทัดทานขึ้นมา หากบิดาทราบเข้ามีหวังนางคงจะถูกตำหนิเหมือนเช่นเคย เพราะบิดามักเอนเอียงเข้าข้างพี่สาวผู้นี้ยิ่งนัก
“ข้าไม่ถือสาก็ได้” นางเชิดหน้าเล็กน้อย พลางลุกขึ้นยืนหลังจากเมื่อครู่ที่นั่งจิบชาดับกระหายเพราะกำลังฝึกกระบี่ จู่ ๆ แม่นมเจินก็หงายท้องโดยไม่ทันได้ตั้งตัว สร้างความตื่นตกใจแก่เมิ่งหลันเซียนจนผงะถอยหลัง สีหน้าและแววตาจดจ้องไปยังพี่สาวต่างมารดา
จากนั้นเมื่อได้สติคุณหนูสามจึงประคองแม่นมของนางขึ้นมา ริมฝีปากของแม่นมเจินมีโลหิตไหลซึมออกมา นางจึงผินหน้าจดจ้องเขม็งพี่สาวอีกครั้ง ด้วยความแค้นเคืองเต็มเปี่ยมอยู่บนใบหน้าที่บิดเบี้ยว
“พี่รอง เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้เจ้าคะ” นางตวาดแผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราดขึ้น ทั้งยังยกนิ้วชี้ไปยังใบหน้าของเมิ่งลู่ซือ
“ข้าไม่ถือสา แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่สั่งสอนบ่าวที่คิดกำเริบเสิบสานกับเจ้านายนี่นา” ผู้ถูกกล่าวหายังคงตีสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็เล่นลิ้นกับผู้เป็นน้องสาวซึ่งนางมิชอบหน้า นับตั้งแต่ฮูหยินเอกตั้งครรภ์มักจะใส่ร้ายมารดาของนางบ่อยครั้ง แล้วมีหรือที่นางจะไม่ผูกใจเจ็บ
ขณะนั้นเองโม่ผิงอันกำลังชื่นชมดอกไม้งาม และกำลังสนทนาพลางโอ้อวดเครื่องประดับที่นางสวมใส่ ทว่ากำลังพูดคุยกับบรรดาฮูหยินขุนนางได้ไม่นาน จู่ ๆ ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงได้รีบรุดมาดู เมื่อมาถึงก็พบว่า เมิ่งลู่ซือกำลังกระทำกิริยาข่มเหงรังแกแม่นมเจินของนาง
บรรดาฮูหยินเดินตามแผ่นหลังของโม่ซื่อ ทอดสายตาเคลือบแคลงไม่น้อยนัก เดิมทีพวกนางล้วนคิดว่าคุณหนูรองเจ็บป่วยร่างกายมิแข็งแรง แต่เหตุใดกันเล่าถึงได้ดูสง่างามเยี่ยงชนชั้นสูงเช่นนี้ พวกนางล้วนคาดไม่ถึงวันนี้ช่างทำให้พวกนางทั้งหลายได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
“เจ้ากล้าทำร้ายแม่นมของข้ามีโทษเยี่ยงไร แม้แต่กวนอวี้เหยาก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้” นางแผดเสียงตวาดก้องใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย การกระทำเช่นนี้มิเท่ากับตบหน้าของนางหรืออย่างไรกัน
ซ้ำยังตะคอกอีกหนึ่งคำรบมอบให้เมิ่งลู่ซือ “ไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดหน้าศาลบรรพชนเสีย”
เมิ่งลู่ซื่อเหยียดยิ้มนับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำครั้งเก่ามิเคยเลือนหาย ตลอดเวลาสิบเจ็ดปีมานี้ นางร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ มากมาย แม้กระทั่งวรยุทธ์ยังรุดหน้าได้รวดเร็วเหนือกว่าผู้ใด
หากแต่นางมิได้โอ้อวดใครต่อใครเท่านั้น แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้นางมีหรือจะยินยอม นางเป็นไม้เบื่อไม้เมากับมารดาผู้นี้นับตั้งแต่ที่นางพูดเป็นภาษาได้ สีหน้าเย่อหยิ่งจองหองของนางทำให้โม่ซื่อมิชอบหน้ายิ่งนัก เหมือนดั่งในเวลานี้ที่สีหน้าของนางยังคงเย่อหยิ่งไม่น้อย ซ้ำยังไม่สลดต่อคำดุด่าของโม่ผิงอันอีกด้วย
“ท่านแม่ใหญ่ โปรดคิดให้ดี ๆ นะเจ้าคะ” เดิมทีมิได้อยากวุ่นวายกับผู้ใด ทว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะสตรีผู้นี้เป็นต้นเหตุ
“พี่รอง เหตุใดไม่สำนึกผิดอีกเจ้าคะ เป็นถึงว่าที่พระชายากลับทำตัวต่ำช้าเช่นนี้” ฝีปากของผู้เป็นน้องสาวเราะร้ายไม่แพ้ผู้ใด เมิงลู่ซือไม่เคยมีน้ำตาสักครั้ง กระทั้งเสียงสะอึกสะอื้นก็มิเคยได้ยิน
ยามนี้คนพวกนี้ต่างก็สุมหัวกันกลั่นแกล้งนางและมารดา เป็นเช่นนี้แล้วนางมิยอมอย่างเด็ดขาด ฝ่ามือของนางกางออกใช้พลังปราณบางส่วนเท่านั้น ดวงตาจ้องเขม็งอย่างโกรธเกรี้ยวไปยังสองแม่ลูกที่มีจิตใจต่ำช้าสกปรก
ก้อนหินหลายก้อนที่อยู่บนพื้นลอยขึ้นมา เมื่อนิ้วมือทั้งห้ายังคงกางอยู่เช่นนั้น เมิ่งลู่ซื่อกำลังใช้พลังปราณ หมายให้ก้อนหินที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศพุ่งไปยังเป้าหมายซึ่งได้กำหนดเอาไว้
“หยุดนะ ซือเอ๋อร์แม่บอกให้เจ้าหยุด” น้ำเสียงของมารดาทำให้เมิ่งลู่ซือจำเป็นต้องปล่อยวางเรื่องทั้งหมดลงเมื่อมารดาเดินมาจนถึงตัวนางแล้วจับมือกุมมือเอาไว้ ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไรลูกแม่ แม่จะต้องทวงความเป็นธรรมให้เจ้า” ก้อนหินที่ลอยขึ้นมาเมื่อครู่ได้ลงไปอยู่บนพื้นเหมือนไม่เคยถูกดึงให้ลอยเคว้งกลางอากาศมาเสียอย่างนั้น
“คารวะฮูหยินรอง” บรรดาเหล่าฮูหยินทั้งหลายเมื่อพบว่าสตรีที่เดินเข้ามาภายหลังคือใคร ผู้ที่อายุน้อยกว่าย่อมต้องเอ่ยทักทายตามมารยาท ถึงแม้ฐานะของสตรีผู้นี้เป็นเพียงฮูหยินรอง ทว่าอำนาจฝั่งมารดาสตรีผู้นี้มิธรรมดา
“พี่สาว ความจริงเป็นเช่นไรท่านย่อมรู้ดี หรือว่าจะให้ท่านพี่เป็นคนตัดสิน อีกอย่างแม่นมเจินเป็นคนปากสุนัข ย่อมต้องนำภัยมาให้เจ้านายสักวัน” นางถือดีวางท่าเย่อหยิ่ง ด้วยเพราะเติบโตในชนชั้นสูง วาจาของนางจึงมีแต่หลักการหาได้ใส่ความผู้ใดไม่
“ก็ใช่นะสิ แม่นมเจินเป็นคนของข้า หาใช่สาวใช้ของเจ้าไม่ ยามนี้เจ้ากำลังหยามเกียรติข้า ซึ่งมีฐานะเป็นฮูหยินตราตั้ง มิใช่ฮูหยินรองเช่นเจ้า”
โม่ผิงอันมิยอมความ แววตาของนางมีแต่ประกายมืดดำอำมหิต สีหน้าแดงก่ำภายในอกเดือดดาล แทบอยากตวัดฝ่ามือฟาดใบหน้าของกวนอวี้เหยาสั่งสอนให้รู้เสียบ้าง ว่าอย่าได้วางท่าใส่นางราวกับเป็นฮูหยินเอกอีกคน
“ข้ามิเคยหยามหน้าหรือไม่ให้เกียรติผู้ใดทั้งนั้น ว่ากันตามความจริงเป็นแค่สาวใช้ กล้าต่อปากต่อคำเจ้านายได้หรือ หากถ้าทำได้เช่นนั้น...ข้าจะให้มู่เสียงสั่งสอนคุณหนูสามให้รู้ความเสียหน่อยได้หรือไม่เล่า” ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน บรรดาฮูหยินทั้งหลายต่างก็หน้าชากันหมดคล้ายว่าถูกก่นด่าไปด้วย
“...” โม่ผิงอันหน้าถอดสี คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้นับวันจะกำแหงมากขึ้น หากมิใช่เพราะตระกูลของนางมีอิทธิพลกว้างขวาง แล้วยังหนุนหลังผู้เป็นสามีได้
ถ้าเกิดว่าไม่มีอิทธิพลของตระกูลกวนหนุนหลังแล้วละก็ป่านนี้สตรีผู้นี้คงถูกนางจัดการไปนานแล้ว มิให้ปล่อยมายืนโต้เถียงเช่นนี้เป็นแน่
“ท่านแม่รองอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยเจ้าค่ะ” เมิ่งหลันเซียนพลิกลิ้นกลับดำเป็นขาวเข้าให้ เมื่อครู่เป็นนางที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แต่ยามนี้กลับกลายเป็นว่าฮูหยินรองเป็นฝ่ายผิดเสียอย่างนั้น
“ข้านะรึ” กวนอวี้เหยาแสยะยิ้มขึ้น คาดไม่ถึงว่าลูกสาวของอีกฝ่ายจะพลิกลิ้นเก่งกาจเช่นนี้ นิสัยใจคอช่างเหมือนมารดามิผิดเพี้ยน
“ท่านแม่ไปเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้ต่อปากกับพวกไร้จิตสำนึกเลยเจ้าค่ะ” เมิ่งลู่ซือเอ่ยขึ้นจับจูงมารดาเดินเข้าไปข้างใน หลังจากที่พวกนางเดินเข้าได้เพียงไม่กี่ก้าวจู่ ๆ ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้วขอรับ ท่านแม่ทัพถูกลอบโจมตี ยามนี้อาการบาดเจ็บสาหัส” นายทหารรีบกล่าวรายงาน ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตสีแดงฉาน ชุดเกราะถูกแทงเข้ามาเป็นบาดแผลทางยาวด้านชายโครงข้างซ้าย นับว่าโชคดีนักไม่บาดเจ็บสาหัส
เมิ่งลู่ซือตวาดเสียงดังลั่น ดวงตาคู่งามของนางมีเปลวเพลิงพิฆาตซ่อนอยู่ แม้ใบหน้าของนางจะสะสวยราวกับเป็นเทพธิดาน้อยบนสวรรค์ชั้นฟ้า แต่ความโหดเหี้ยมของนางมิได้ปรานีผู้ใด
“ใครกันมันช่างกล้าหาญเยี่ยงนี้ คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง”
“คุณหนูรอง หน่วยจิ่นหรงรอคำสั่งอยู่ขอรับ” ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งที่เดินตามมาภายหลังเอ่ยขึ้น ใบหน้าของชายผู้นี้งดงามราวกับสตรีในมือถือพัดโบกเบา ๆ ไปมา ท่วงท่าคล้ายสตรีมากกว่าบุรุษเสียด้วยซ้ำ
น้ำเสียงเหี้ยมใบหน้าขึงขังเอ่ยสั่งการอย่างหนักแน่น “วันนี้ข้าจะจับดาบออกศึกอีกครั้ง ใครหน้าไหนมันกล้าทำร้ายบิดาข้าย่อมไม่ละเว้นชีวิต!”