ตอนที่ 3 เมิ่งลู่ซือ
ตอนที่ 3 เมิ่งลู่ซือ
ขณะที่หนูยิ้มเดินทางกลับนั้นได้โดยสารเรือข้ามฟาก หล่อนทอดสายตามองทิวทัศน์รู้สึกเพลิดเพลินนัก สายลมพัดผ่านปะทะเข้าใบหน้าของเธอ กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความน่ารักของเธอลดลงสักนิด ที่นั่งข้าง ๆ มีชายชราผู้หนึ่งนั่งเคียงคู่กับเธอ บอกกล่าวเล่าประวัติต่าง ๆ ให้เธอฟัง
หนูยิ้มนั่งฟังคุณตาจนเคลิบเคลิ้มว่าเมื่อสมัยโบราณนั้นมีกี่แคว้นกันแน่ที่เจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งมายังแคว้นจินที่ไม่ได้อยู่ในส่วนใดของโลกใบนี้ หนูยิ้มแปลกยิ่งนักด้วยความอยากรู้จึงได้เอ่ยสอบถามให้หายข้องใจ
“แคว้นจินหรือคะคุณตา” หนูยิ้มดวงตาเป็นประกายวาววับเพิ่งจะค้นพบว่าแคว้นนี้ไม่มีจดบันทึกเอาไว้ แล้วมันอยู่ส่วนไหนกันเล่า
“ใช่แล้วหนู แคว้นจินเป็นแคว้นที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ แต่เป็นแคว้นที่เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ทว่าก็ยังมีฆ่าศึกมารุกราน หมายปองอยากครอบครองแคว้นนี้อยู่หลายแคว้นทีเดียว” ชายชราใบหน้าเหี่ยวย่นกล่าวขึ้น ดวงตาอบอุ่นราวยิ่งนัก
“แล้วทำไมไม่มีจดบันทึกเอาไว้ละคะ” หนูยิ้มยังคงสอบถามต่อ เธอไม่ทราบข้อมูลอะไรมากนัก และไม่ได้ศึกษาตำรามากมาย แค่การเรียนบัญชีในแต่ละวันก็ทำให้เธอเหนื่อยแสนเหนื่อย เมื่อจบมาก็ได้ทำงานเป็นนักบัญชีเลย เรียกได้ว่าจบปุ๊บทำงานปั๊บ
ส่วนครอบครัวของเธอไม่มีใครเหลือแล้ว เธอเป็นเด็กกำพร้า บิดามารดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ส่วนคุณยายที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่แปดขวบเพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อต้นปีที่แล้ว
ดังนั้นแล้วตอนนี้หนูยิ้มจึงไร้ญาติขาดมิตรแทบทั้งสิ้น ฐานะของเธอแค่พอมีพอกินและการเดินทางครั้งนี้เธอได้นำเงินเก็บนั้นออกมาแล้วก็เดินทางมายังฮ่องกงแห่งนี้ โชคดีที่ค่าใช้จ่ายไม่ถึงสามหมื่นบาท เงินในบัญชีของเธอยังคงเหลืออีกสองหมื่น หากกลับไปก็พอใช้จ่ายได้ อยู่แบบประหยัดสุด ๆ สำหรับพนักงานนักบัญชีตัวเล็ก ๆ
“เอาไว้ถ้าหนูไปถึงที่นั่นแล้วจะรู้เอง” ชายชรากล่าวจบจู่ ๆ ร่างบอบบางของหนูยิ้มคล้ายว่าถูกกระแทกเข้าอย่างจัง ทำให้พลัดตกลงไปในน้ำ ความรู้สึกของเธอไม่แม้แต่จะตะเกียกตะกาย ร่างไร้เรี่ยวแรงค่อย ๆ ดำดิ่งลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแสนน่ารักกลับมาราบเรียบมิได้ตระหนกตกใจ ดวงตาคู่สวยปิดเปลือกตาแน่น
ไม่ถึงอึดใจดวงวิญญาณลูกกลม ๆ ส่องแสงสว่างวาบวางอยู่บนฝ่ามือของชายชรา จุดจบของหนูยิ้มจึงได้จบลง ณ แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากน้ำเย็นเหยียบแทบขาดใจ แต่ทว่าหนูยิ้มไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมาน กลับรู้สึกอบอุ่นจนบอกไม่ถูก
ทางด้านจวนตระกูลเมิ่ง ฮูหยินรองกำลังปวดท้องอย่างทรมานแทบจะสิ้นใจก็ว่าได้ บรรดาสาวใช้วิ่งเข้าออกห้อง ตระเตรียมน้ำร้อนหวังให้ฮูหยินรองปลอดภัย นายท่านเมิ่งผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพแดนเหนือ นั่งอยู่ด้านนอก เขาเฝ้ามองประตูอยู่มิได้ละสายตา
“เมื่อไรฮูหยินจะคลอดเสียที” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น ด้วยเป็นห่วงภรรยามากมายเกรงว่าฮูหยินของตนไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ กระนั้นยังมีเจ้าก้อนแป้งในครรภ์อีกด้วย
ฮูหยินเอกจีบปากจีบคอมิได้รู้สึกทุกข์ร้อนอันใด ยังคงนั่งจิบชาอย่างสบายใจเมื่อนางมองใบหน้าของผู้เป็นสามี “ท่านพี่ น้องสาวย่อมต้องปลอดภัย เช่นนั้นอย่าได้ใจร้อนนักเลยเจ้าคะ” ภายในอกยามนี้กำลังแช่งชักหักกระดูกหวังให้กวนซื่อ หรือกวนอวี้เหยาเจ็บปวดจนสิ้นใจไปได้ก็ยิ่งดี
“ก็ข้าเป็นห่วงนางนี่นา ท้องแรกย่อมคลอดยากมิได้เหมือนเจ้าเสียเมื่อไรกัน” คำตำหนิติเตียนได้ออกจากปากของผู้เป็นสามี เขามิได้หวาดระแวงอันใดเพียงแต่เป็นห่วงภรรยาคนงามของตนเกรงว่าจะทรมานเจ็บปวดเจียนตายก็ว่าได้
“นายท่านเจ้าคะ ท่านหมอกำลังช่วยฮูหยินอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ” สาวใช้ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ ภายในห้องสำหรับคลอดนั้นเต็มไปด้วยไอความร้อน ข้างในมีท่านหมอตำแยอยู่สองคน กำลังช่วยฮูหยินสุดความสามารถ กระนั้นเหตุใดจึงได้ยากเย็นเยี่ยงนี้
“เหยาเอ๋อร์ อดทนหน่อยนะเพื่อลูกของเรา” เมิ่งลู่หานตะโกนเข้าไปหวังว่าจะฮูหยินของตนจะได้ยินเสียง
“อื้อ...ข้าเจ็บเหลือเกิน ลูกแม่ เจ้ารีบออกมาเร็ว ๆ เข้า” กวนอวี้เหยาเจ็บปวดยิ่งนัก ความรู้สึกนี้ทรมานแทบสิ้นใจ ปวดร้าวไปทั้งกายแล้วก็ยังเบ่งไม่ได้เสียที หมอตำแยทั้งสองยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ดวงตาของพวกนางมองมายังฮูหยินรองด้วยความสงสาร
“ฮูหยินแข็งใจอีกนิดนะเจ้าคะ” หนึ่งในหมอตำแยพยายามกำชับและให้กำลังใจ หมอตำแยอีกนางกำลังคลำที่ท้องนูนเด่นนั่นอย่างใจจดจ่อ มือทั้งสองข้างของนางคลำบริเวณท้อง คล้ายว่าเด็กนั้นกลับหัวแล้วหรือไม่
“ฮูหยินลองเบ่งอีกครั้งสิเจ้าคะ” หมอตำแยร้อนใจและกังวลไม่แพ้ท่านแม่ทัพเมิ่งที่อยู่ด้านนอก ทั้งยังได้ยินเสียงของชายผู้นั้นตะโกนเข้ามามิหยุดหย่อน พวกนางทั้งคู่เข้าใจเป็นอย่างดีว่าสามีรักภรรยาเช่นนี้มีย่อมเป็นไปตามคำร่ำลือที่เคยได้ยินมาช้านาน
“ฮูหยินเจ้าคะ เบ่งอีกเจ้าค่ะ” หมอตำแยยังคงกำชับสั่งการผู้ที่นอนบนเตียงราบ สองมือของนางดึงเชือกเอาไว้แน่น ริมฝีปากขบกัดผ้าผืนหนึ่งเอาไว้ ใบหน้าของนางมีแต่ความเจ็บปวด ดวงตารื้นแดงด้วยเพราะทรมานเหลือเกิน มือทั้งสองข้างนั้นดึงเชือกอย่างสุดแรง พยายามเบ่งตามที่หมอตำแยเอ่ยกล่าว
“อื้อ...” เสียงเบ่งของฮูหยินรอง ดังเล็ดลอดออกมามิหยุดหย่อน ท่านแม่ทัพกระวนกระวายใจไม่น้อย เขายกมือขึ้นประกบกันทั้งสองข้าง เอ่ยวิงวอนท่านเทพทั้งหลายที่ช่วยปกปักคุ้มครองแคว้นจิน ขอให้ภรรยาของตนคลอดลูกออกได้ปลอดภัยด้วยเถิด
คำวิงวอนคล้ายว่าสำเร็จลุล่วง ท่านเทพชะตาได้นำดวงวิญญาณของหนูยิ้มส่งลงมายังในท้องของฮูหยินรองกวนอวี้เหยา ไม่ถึงอึดใจ ผู้ซึ่งกำลังเบ่งคลอดใบหน้าแดงก่ำกรีดร้องอีกครั้ง และแล้วเจ้าก้อนแป้งก็คลอดออกได้อย่างปลอดภัย
แม่นมรีบช้อนร่างนุ่มนิ่มมีโลหิตเปรอะเปื้อนผิวพรรณของเจ้าตัวเล็ก นางรีบให้สาวใช้น้ำผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวให้สะอาด จากนั้นจึงได้หยิบผ้าแพรผืนงดงามสีชมพูอ่อนห่อหุ้มเด็กน้อยใบหน้าจิ้มลิ้มเอาไว้ แล้วมอบให้ผู้เป็นมารดา
“เป็นหญิงเจ้าค่ะฮูหยินรอง ยินดีด้วยเจ้าค่ะ” หมอตำแยรวมถึงสาวใช้ทั้งหลายต่างก็แสดงความยินดีและชื่นชม ด้วยเพราะท่านแม่ทัพอยากมีบุตรีเหมือนกับสหาย
แต่ทว่าฮูหยินเอกนั้นมิได้มีบุตรชายให้กระทั่งบุตรีก็มิมี เช่นนั้นแล้ว บุตรชายคนแรกของท่านแม่ทัพเมิ่งได้ถือกำเนิดมาจากสาวใช้อุ่นเตียงของฮูหยินเอก และนางรับบุตรชายของสาวใช้เป็นบุตรของนางเอง เพื่อที่ว่าอนาคตของนางจะได้มั่นคง
กวนอวี้เหยามองเจ้าตัวเล็กในห่อผ้า จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าตั้งชื่อให้นางว่าลู่ซือ เมิ่งลู่ซื่อย่อมเหมาะกับนางที่สุด”