ตอนที่ 2 ขอพรท่านแชกง
ตอนที่ 2 ขอพรท่านแชกง
หนูยิ้มได้ขอพรวัดหวังต้าเซียนแล้ว เธอจึงเดินทางด้วยเรือเพราะว่าเธออยากไปสักการะท่านแชกงสักครั้ง เพราะได้เดินทางมาเยือนฮ่องกงเป็นครั้งแรก
หญิงสาวเดินทางคนเดียวซ้ำยังตื่นเต้นมากอีกด้วย ใบหน้าแสนน่ารักเส้นผมถักเปียทั้งสองข้าง สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนแล้วสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของเธอ
การแต่งกายล้วนทะมัดทะแมงบวกกับใบหน้าที่แสนน่ารัก หากเธอแย้มยิ้มก็ดูเด่นสะดุดตาเป็นไหน ๆ แต่ทว่ามันมีเรื่องน่าเศร้าใจเกิดขึ้นเพราะเมื่อหลายวันก่อน เธอเดินทางไปห้องพักของแฟนหนุ่ม เพียงเปิดประตูเข้าไปก็พบภาพที่สุดแสนสะเทือนใจยิ่งนัก
“พวกคุณทำอะไรกัน” รู้ทั้งรู้แต่หนูยิ้มก็ยังถามเขา ด้วยเพราะเห็นภาพของคนทั้งคู่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงนอน สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น คงไม่ใช่กำลังพูดคุยกันอยู่ แต่พวกเขากำลังจ้ำจี้ เล่นผีผ้าห่ม หญิงสาวไม่ใช่คนโง่ที่มองไม่ออกว่ามันคืออะไรกัน
“ก็เห็นไม่ใช่หรือไงว่าพวกเรากำลังทำอะไร” ปานิตาเพื่อนรักของหนูยิ้มเอ่ยสวนขึ้นทันควันแล้วยังจีบปากจีบคอเล่นลิ้นกับเพื่อนรักอีกด้วย เพราะอยากสั่งสอนผู้หญิงหมั้นหน้าและถือตัวเย่อหยิ่งอย่างอีกฝ่าย
“นิตาไม่น่าทำกับเราได้ลงคอ ทั้ง ๆ ที่เราไว้ใจเธอขนาดนั้น” หนูยิ้มไม่ร้องไห้โวยวายเสียดายของไร้ค่า แต่ภายในอกนั้นปวดร้าวยิ่งนัก มันเจ็บปวดมากจนเกินกว่าจะร้องไห้แล้วทำให้เธอดูน่าเวทนา หากเป็นเช่นนั้นมิสู้ให้เธอไร้น้ำตา ไร้ความเสียใจยังจะดีกว่ามาร้องไห้ฟูมฟายกับผู้ชายมักมาก
“หนูยิ้มกลับไปเถอะถือว่าผมขอร้องล่ะ” เรื่องมันแดงขนาดนี้แล้วกรวิชญ์รู้สึกเสียหน้าด้วยเพราะถูกหนูยิ้มจับได้ เขาไม่สะทกสะท้านหรือสำนึกผิด
เขาจึงต้องเลือกระหว่างผู้หญิงที่มอบความสุขบนเตียงให้เขา กับผู้หญิงที่เหมือนเย็นชาและเฉยเมยอย่างหนูยิ้ม แน่นอนว่าเขาย่อมเลือกปานิตา เพราะลีลาบนเตียงของเธอเร่าร้อนเหมือนเปลวเพลิง ตอบสนองความต้องการของเขาได้ดี
“กลับแน่ค่ะ ขอให้พวกคุณไปลงนรกทั้งคู่ ขอให้คุณกลายเป็นชู้ของเธอก็แล้วกันนะคะ” เธอหันหลังไร้น้ำตาสักหยด แม้จะเจ็บปวดใจก็ตามที แต่ก็ยังโชคดีที่เธอไม่หลวมตัวนอนกับผู้ชายเส็งเคร็งคนนี้
ทว่าเธอหยุดฝีเท้าลง พลางหันกลับไปอีกครั้ง เหยียดยิ้มดวงตาวาววับเต็มไปด้วยความชิงชัง “คุณมันก็แค่ผู้ชายห่วย ๆ ที่หาเมื่อไรก็ได้ ผู้ชายเส็งเคร็งก็ย่อมคู่กับผู้หญิงสำส่อนแบบนี้นั่นแหละถึงจะเหมาะสม ผีเน่ากับโลงผุย่อมคู่กันดีทีเดียว!”
ใจจริงแล้วหนูยิ้มอยากเดินเข้าไปทึ้งหัวของปานิตาเหลือเกิน แต่หักห้ามใจเอาไว้นั่นเพราะมิใช่ว่าหวาดกลัว เธอไม่อยากให้มือของตนแปดเปื้อนครบสกปรกของพวกเขาทั้งคู่
“ชาตินี้เธอยังคิดจะหาผัวอีกเหรอ ฉันว่าชาติหน้าแกคงจะได้สักคนละว้า” ปานิตาตะโกนไล่หลัง เธอไม่ยอมให้หนูยิ้มต่อว่าเพียงฝ่ายเดียว ยังถือดีลุกพรวดลงจากเตียงนอน ทั้ง ๆ ที่สวมเพียงชุดนอนบาง ๆ เอาไว้ และมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับปานิตาที่จะลงมือทำร้ายหนูยิ้มเพราะแค้นใจที่ถูกต่อว่าแบบนี้
ข้อมือของหนูยิ้มถูกกระชากเข้าไปในห้องอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อครู่ได้ก้าวเท้าออกมาจากห้องสกปรกโสโครกนั้นแล้ว เธอหันขวับมองมายังข้อมือซึ่งถูกผู้หญิงหน้าด้านซึ่งแทงข้างหลังกันได้ลงคอ “ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือนนะ”
หนูยิ้มไม่ได้ข่มขู่แต่คิดจะเอาจริงทีเดียว
“ถุย!” ปานิตาถุยน้ำลายด้วยความถือดี “อย่าปากเก่งอย่างเดียวสิ เมื่อกี้แกว่าใครสำส่อนกันฮะอีแม่ชี”
ปานิตาเดือดดาลพานโมโห ด้วยเพราะไม่อยากให้กรวิชญ์ ชายหนุ่มที่เธอควบเอาไว้แก้ขัด เกรงว่าเขาจะรู้ธาตุแท้ของเธอจากปากของหนูยิ้ม
“อยากรับก็รับไปสิ แกมั่วผู้ชายมากี่คน ฉันก็ไม่เคยพูด แล้วไอ้ผู้ชายคนสุดท้ายที่แกขี่อยู่มันคือแฟนของฉัน รู้ทั้งรู้แต่ก็อยากได้ มันเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะเธอมันร่าน ทอดสะพานให้คนอื่นเขาเอาไปทั่ว ระวังเอดส์จะถามหาสักวัน”
เมื่อหมดความอดทนหนูยิ้มจึงไม่ละฝีปาก ซ้ำยังจับข้อมือของหานิตาเอาไว้แน่น จ้องเขม็งเหมือนจะฉีกร่างเพื่อนรักให้ตายคามือ
“ลองดูสิ ถ้ามึงตบกูถีบ” เธอไม่ได้ขู่แต่เอาจริง หนูยิ้มมีดีกรีไม่ธรรมดาหมัดมวยเธอออกจะโดดเด่นในตอนสมัยที่ยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยม
“เอ่อ กูตบมึงแน่อียิ้ม มึงจะกลายเป็นอีเยินก็คราวนี้แหละ” ปานิตายกมือขึ้นมาคิดว่าจะตวัดฝ่ามือฟาดหน้าของหนูยิ้ม แต่เธอทำได้เพียงยกมือค้างไว้กลางอากาศเท่านั้น สิ่งที่รวดเร็วจนเธอตั้งรับไม่ทันนั่นก็คือกำปั้นของหนูยิ้มกระแทกเข้ามายังท้องน้อยของเธอจนทำให้เธอหงายหลังลงไปในที่สุด
กรวิชญ์ดวงตาเบิกกว้าง คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่คล้ายเย็นชาเหมือนไม่เคยสนใจใครมาก่อน กลับมือไวเท้าไวเช่นนี้ กำปั้นของหนูยิ้มชกเข้าที่ท้องของปานิตาอย่างจัง แล้วเท้าของเธอยังเตะเสยปลายคางจนทำให้คนที่ล้มลงไปนอนแน่นิ่ง
“อยากโดนอีกคนไหม บอกหนูยิ้มได้นะเดี๋ยวจะจัดให้อย่างงาม” เมื่อกล่าวจบเธอก็สะบัดหน้าเดินออกมาพลางยกมือขึ้นปัดเศษเสนียดจัญไรออกจากมือของเธอทันที
“เห้อ” เธอถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ชีวิตของฉันมันจะมีอะไรดีบ้างไหมนะ” เธอพูดกับตัวเองไม่ได้อยากพูดคุยกับใคร เรื่องเมื่อครู่ก็ปล่อยมันผ่านไปถือเสียว่าที่ผ่านมานั้นมีแค่หมาตัวหนึ่งมันเข้ามาในชีวิต จะว่าเป็นลูกหมาก็ไม่ได้เพราะมันจงรักภักดีกับเจ้าของ
แต่สำหรับกรวิชญแล้วหนูยิ้มจะเปรียบเปรยเขาเป็นอะไรดีล่ะ “อ้อ ไอ้งั่ง ไอ้คนเฮงซวย!”
เธออุทานออกจะเสียงดังสักนิด เมื่อเปรียบเทียบความเลวของชายคนนั้นที่ได้ทำร้ายน้ำใจเธออย่างเลือดเย็น เธอกลายเป็นจุดเด่นหลังจากที่เดินออกมาจากห้องพักของเขา พลันเครื่องมือสื่อสารของเธอมันขึ้นข้อความบางอย่าง ในเวลาที่ช่างประเหมาะเจาะทีเดียว
เช่นนั้นแล้วหนูยิ้มจึงไม่รอช้า ซื้อตั๋วเครื่องบินมาฮ่องกงในวันรุ่งขึ้น เธอจัดการทุกอย่างล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อย และการเดินทางก็ราบรื่นดีไม่มีติดขัดสักนิด
ตอนนี้เธอเดินทางออกจากวัดหวังต้าเซียน ขึ้นเรือข้ามฟากเพื่อไปขอพรยังวัดแชกงหมิว หวังว่าท่านจะประทานความสำเร็จร่ำรวย หากชาตินี้ไม่ได้ก็ขอชาติหน้าก็ได้
เมื่อหนูยิ้มเดินทางมาถึงวัดแล้วจึงไม่ลืมซื้อชุดธูปเทียนสีแดงเพื่อบูชาสักการะท่าน โดยจุดธูปก่อนจะหันหน้าออกมายังลานกว้าง จากนั้นจึงได้หลับตาอธิษฐานบนบานต่อเทพเจ้าแชกง แล้วต้องบอกชื่อสกุลจริงและวันเดือนปีเกิดให้ชัดเจน
จากนั้นหล่อนจึงได้นำธูปทั้งสามดอกไปเสียบในกระถางที่วางเอาไว้ หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างใน มองขึ้นไปจะพบรูปปั้นท่านมือถือดาบเอาไว้ก้มหน้ามองมายังเบื้องล่าง ตอนนี้ก็ต้องขอพรด้วยจิตใจที่แน่วแน่ไม่ว่อกแว่กเช่นนั้นสิ่งที่ขอจะไม่สำเร็จลุล่วง
คล้ายว่าได้ยินเสียงแว่ว ๆ ฟังไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ หนูยิ้มไม่สนใจยังคงลืมตามุ่งมั่นขอพรให้ตนเองร่ำรวย
“หนูชื่อหนูยิ้มวันนี้เดินทางข้ามแม่น้ำมาขอพรให้ร่ำรวยประสบความสำเร็จ หากชาตินี้ไม่ได้ แล้วถ้าหากชาติหน้ามีจริงก็ขอให้หนูเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นและร่ำรวยด้วยเถิดสาธุ”
เมื่อกล่าวจบหนูยิ้มไม่ลืมยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมแล้วยังไม่ลืมบูชาสร้อยห้อยคอรูปกังหันสี่ใบพัดมาอีกด้วย แต่ก็ยังสวมคอเลยไม่ได้เพราะมีกฎการใส่ครั้งแรกเอาไว้
เธอยกสร้อยเส้นที่เพิ่งจะซื้อขึ้นมา “เสียดายจังใส่เลยยังไม่ได้” ใบหน้าไม่ได้ยิ้มแย้มสักนิดแต่สายตาของเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสร้อยนั้นมันสวยจนเธออดใจไม่ไหว อยากจะใส่แล้วเดินเฉิดฉายออกจากวัดแชกงหมิวเหลือเกิน
“แม่หนูมาขอพร ขอให้สำเร็จลุล่วงนะ ยายเอาใจช่วย” หญิงชรากล่าวขึ้นกับสตรีเบื้องหน้าซึ่งก็คือหนูยิ้ม และทำให้เธอแปลกใจนักคล้ายว่าเคยเห็นคุณยายคนนี้ที่ไหนกันแน่ กำลังขบคิดอยู่นั้นเธอก็ไม่พบคุณยายคนเมื่อกี้อีกแล้ว แม้จะเดินตามก็ยังหาไม่พบ
“แย่จัง ยังไม่ทันได้ขอบคุณเลย หายไปอีกแล้ว” หนูยิ้มมึนงงเป็นไหน ๆ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาดขึ้นว่า ‘แม่หนูขอให้โชคดีนะ เดินทางปลอดภัย ทุกอย่างที่คิดก็สมปรารถนาก็ครั้งนี้แหละ’ เมื่อเสียงนั้นหายไปหนูยิ้มถึงขั้นอุทานออกมา “ฉิบหายแล้วผีหลอกกลางวันแสก ๆ”
ชายผู้หนึ่งรูปร่างโปร่งใสใบหน้าหล่อเหลากลับมีหนวดเครายาวลงมาถึงลำคอ สวมชุดโบราณลอยอยู่บนอากาศ กำลังอ่านรายชื่อว่าเนื้อคู่ของสตรีผู้นี้ที่ดั้นด้นมาขอพรนั้นอยู่ที่ไหน
ท่านผู้เฒ่าจันทรามิได้ตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง เพราะสตรีผู้นี้มีสัมผัสพิเศษและไม่เหมือนผู้ใด เมื่อท่านกางรายชื่อนั้นออกมาก็พบว่าเนื้อคู่ของแม่หนูผู้นี้อยู่แคว้นจิน ย้อนกลับไปอีกหลายพันปี
“ผีที่ไหนกันจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ แม่หนูคนนี้ช่างตาบอดยิ่งนัก เอาล่ะรับรองเจ้าต้องสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาครั้งสุดท้ายของเจ้าแล้วคุณหนูเมิ่ง”