ตอนที่ 11 เดินทาง
ยามนี้ขบวนรถม้าของคุณหนูรองและคุณหนูเล็ก เดินทางออกจากแดนเหนือเป็นเวลาเกือบสี่วันแล้ว ส่วนมากพวกนางนั่งอยู่ในรถม้า และพักยังโรงเตี๊ยม ยังมีเหล่าผู้ติดตามดูแลอีกจำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือบุรุษอาภรณ์สีฟ้า ในมือมักถือพัดเล่มโปรดเอาไว้เสมอ ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลาก็ได้ งดงามดั่งสตรีก็คล้ายเช่นเดียวกัน
ส่วนหญิงสาวมีตำแหน่งเป็นท่านหัวหน้าหน่วยจิ่นหรง ยามนี้กำลังเอนศีรษะพิงกับขอบหน้าต่าง มีหมอนนุ่ม ๆ รองศีรษะเอาไว้ ป้องกันการกระแทกระหว่างเดินทาง เบาะรองนั่งของนาง บุด้วยฟูกหนาชั้นดีความหนาและแน่น ทำให้การนั่งและการเดินทางครั้งนี้ ไม่ปวดเมื่อยสักนิด ซ้ำยังมีเก้าอี้ตัวเล็ก สำหรับพาดขาอีกด้วย
ทว่าความอ่อนล้าของการเดินทาง แม้ในกายจะมีพิษร้ายจากแคว้นจ้าวอยู่ ในระยะนี้ยังคงประคับประคองอาการมิให้กำเริบขึ้นมาได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น แต่หลังจากนี้พิษจะกำเริบขึ้นมาเมื่อไรไม่อาจทราบล่วงหน้าได้เลย
ส่วนผู้เป็นน้องสาวนั่งรถม้าอีกคัน โดยมีสาวใช้คนติดตามดูแลสองคน ซึ่งมากกว่าผู้เป็นพี่สาวต่างมารดา ยามนี้ใบหน้าของเมิ่งหลันเซียนเบิกบานขึ้นมากด้วยเพราะเมื่อวานนี้ ได้พบกับชายหนุ่มรูปงาม เขาเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงด้วย
เมิ่งหลันเซียนยิ้มไม่หุบ เพราะถูกใจชายหนุ่มรูปงามผู้นั้น “เจ้าว่าเขาจะชอบข้าหรือไม่” นางเอียงอายขวยเขินจนใบหน้าแดงก่ำ มือเรียวบิดผ้าเช็ดหน้าไปมาด้วยความเขินอาย
สาวใช้นั่งดูแลอยู่ในรถม้า ละจากการก้มหน้าเงยขึ้นมองนายสาว แล้วนางจึงอมยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยประจบประแจงเอาใจนายสาวของตน
“ชายใดได้ยลโฉมคุณหนูแล้ว มีหรือจะไม่ชมชอบได้เจ้าคะ คุณหนูของข้าออกจะน่ารักอ่อนหวานเรียบร้อยถึงเพียงนี้ มิใช่สตรีแก่นแก้วกระโดกกระเดกเหมือนดั่งคุณหนูรองเสียที่ไหนเจ้าค่ะ” กล่าวจบนางระบายยิ้มอ่อนมอบให้ผู้เป็นนาย
ผู้ถูกกล่าวชมถึงขั้นม้วนอายมากขึ้น ผ้าเช็ดหน้าเกือบขาดเพราะดึงไปดึงมาด้วยความเขินอาย “จริงรึ ข้าน่ารักกว่าพี่รองจริง ๆ ใช่หรือไม่” นางย้ำอีกครั้ง เพราะบิดามักเปรียบเทียบนางกับผู้สาวต่างมารดาเสมอ
“จริงสิเจ้าคะ คุณหนูของข้าน่ารักที่สุดเจ้าค่ะ” สาวใช้ยังประจบประแจงต่อไป ด้วยเพราะรู้นิสัยใจคอคุณหนูเล็กเป็นอย่างดี อย่าได้พูดจาอันใดไม่เข้าหูอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วอาจถูกโบยหรือถูกขายออกก็เป็นได้ หากโชคร้ายก็คงจะถูกตีจนตาย นางจึงรู้จักหลบหลีกเลี่ยงภัยที่จะเกิดขึ้นกับตัว
“เจ้าพูดจาได้ดีเช่นนี้ เอาไว้กลับไปแล้ว ข้าจะมอบรางวัลให้เจ้า” เมิ่งหลันเซียนคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจ พลันฉุกคิดขึ้นได้ว่า “อายุของเจ้าก็มากกว่าข้าพอ ๆ กับพี่รอง สมควรจะมีสามีได้แล้วนี่นะ เช่นนั้นข้าจะให้ท่านแม่หาชายหนุ่มที่เหมาะสมกับเจ้าดีหรือไม่เล่า”
“คุณหนู” นางอุทานอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ นางจึงรีบร้อนเอ่ยขึ้นทันใด “ข้ายังอยากรับใช้คนหนู ยังไม่อยากมีสามีเจ้าค่ะ”
“ข้ารึอุตส่าห์...ว๊าย!” พลันร่างแน่งน้อยถลาลงกองบนพื้น เมื่อรถม้าหยุดกะทันหัน โดยที่หญิงสาวทั้งสองนาง ไม่ได้ได้ตั้งตัวจึงทำให้คุณหนูเล็กนอนใบหน้าแนบอยู่บนพื้นเสียแล้ว ส่วนสาวใช้นั้นถลาทับร่างของเมิ่งหลันเซียนพอดิบพอดี
“ขออภัยขอรับคุณหนู ข้างหน้ามีกลุ่มโจรดักปล้นชาวบ้านขอรับ” สารถีวัยกลางคนรีบเปิดม่านน้ำเสียงตื่นตกใจ
“ลุกไปสิเร็ว ๆ เข้า ปิดหน้าต่างอย่าให้พวกมันพบหน้าของพวกเรา” คุณหนูเล็กรีบสั่งการเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างท่วมท้น ในใจภาวนาขอให้เป็นแผนของมารดานาง หวังให้พี่สาวผู้น่าตายนั่น ได้ตายในวันนี้ให้สมใจ
“เจ้าคะคุณหนู” อาหมิงรีบทำตามคำสั่งอย่างทันใด พวกนางทั้งสองซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้า ได้ยินเสียงของแข็งกระทบกันดังเป็นระยะ พวกนางยิ่งหวาดผวาเนื้อตัวสั่นจนกอดกันกลม
ด้านหน้ามีกลุ่มโจรป่าดักซุ่มผู้คน ซึ่งกำลังเดินทางเข้าเมืองหลวง พวกเขาได้รับรายงานมาว่า ในรถม้ามีสาวงามมีฐานะเป็นคู่หมั้นขององค์ชายสาม และยังมีค่าหัวของนางอีกด้วย มีหรือที่พวกเขาจะไม่รับเงินมาแล้วไม่ทำงาน ค่าหัวของสตรีผู้นี้มากมายยิ่งนัก
เมิ่งลู่ซือยังคงเอนศีรษะปิดเปลือกตาแน่น นางได้ยินเสียงของแข็งกระทบกันหลายครั้งหลายหน ชายหนุ่มอาภรณ์สีฟ้ามักถือพัดเอาไว้ในมือ ยามนี้กำลังยืนอยู่บนหลังคาของรถม้า มองไปยังเบื้องหน้าเพื่อประเมินสถานการณ์ว่าเขาสมควรลงมือหรือไม่
“ท่านหัวหน้าพวกมันมีราว ๆ หกสิบคนเห็นจะได้ ฝีมือเก่งกาจไม่เบา สังหารคนของเราไปได้สามคน ส่วนพวกมันตายไปแล้วสิบคน แล้วยังมีคนบาดเจ็บอีกสามคนขอรับ” ท่วงท่าของชายหนุ่มผู้นี้ดูองอาจไม่เบา แววตาคมกริบจดจ้องไปยังภาพเบื้องหน้าซึ่งกำลังเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือด
“แล้วเจ้ามัวรออะไรอยู่ จับตัวหัวหน้ามันเอาไว้ ส่งทางการเสีย” หญิงสาวตอบกลับทั้งที่เปลือกตาของนางปิดสนิท เสี่ยวชิงค่อย ๆ บรรจงเช็ดใบหน้าให้นายสาว ด้วยเพราะจู่ ๆ พิษร้ายได้กำเริบขึ้นมาอีกหน ใบหน้าจึงซีดเซียวและมีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผากมนเป็นจำนวนมาก
“คุณหนูอดทนอีกนิดนะเจ้าคะ หากผ่านไปได้อีกหนึ่งชั่วยามคาดว่าน่าใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงร้อนใจยิ่งนัก เห็นอาการของคุณหนูเป็นเยี่ยงนี้ย่อมต้องกระวนกระวายใจ อยากให้ถึงเมืองหลวงเสียที การเดินทางมาครั้งนี้มีจุดประสงค์อันใดแอบแฝงกันแน่ มีหรือที่เสี่ยวชิงจะไม่รู้
“อืม ว่าแต่เจ้าบ้านั่นจัดการไปถึงไหนแล้ว” หญิงสาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาอันแสนหนักอึ้งขึ้น นางจึงยกมือขึ้นเปิดม่าน มองไปยังเบื้องหน้าที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด กลิ่นคาวโลหิตลอยคลุ้งทันใด เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดค่อย ๆ ดังขึ้น เสียงเหล็กกล้ากระทบกันยังคงดังอยู่เช่นนั้น
“คุณหนูเจ้าคะ จะทำอย่างไรดี ดูท่าพวกนั้นเป็นยอดฝีมือแน่ ๆ เจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงหวาดกลัวยิ่งนัก ถึงแม้ว่านายสาวของนางจะมีวรยุทธ์อันแก่กล้า แต่ยามนี้ถูกพิษร้ายเล่นงาน ทำได้เพียงนั่งอยู่ในรถม้าเท่านั้น
“รออาเทียนจัดการคนพวกนั้น” ไม่นานเสียงของแข็งกระทบซึ่งดังสนั่นอยู่เมื่อครู่ได้หายไปทันใด หลงเหลือแค่ศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นดินพร้อมกับสายโลหิตที่ค่อย ๆ ไหลออกจากร่างของผู้ถูกฟัน
ไป๋เฟยเทียนนั่งทับส้นเท้าอาภรณ์สีฟ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตสาดกระเซ็นเลอะเทอะชุดอันงดงามของชายหนุ่ม เขาล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของหนึ่งในกลุ่มโจร พบบางอย่างจึงได้ลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังกลับมายังรถม้าคันเดิม
“ท่านหัวหน้า” ไป๋เฟยเทียนมอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้สาวงาม
ผู้ถูกเรียกขานเปิดหน้าต่างยื่นมือรับกระดาษแผ่นนั้นมา ตัวอักษรในกระดาษแผ่นนี้มีเพียงแค่คำว่าสังหาร มือเรียวขยำกระดาษในมือทิ้งทันใด “ใครกันแน่ที่กล้าลงมือกับข้าเยี่ยงนี้ หวังว่าคงไม่ใช่โม่ซื่อหรอกนะ”
“ข้าคิดว่าอาจใช่ก็ได้นะเจ้าคะ” เสี่ยวชิงปักใจเชื่อเช่นนั้นด้วยนิสัยของฮูหยินเอกย่อมต้องวางแผนการมาเป็นอย่างดี “คงเกรงว่าหากคุณหนูได้เป็นพระชายาขึ้นมาจริง ๆ ละก็ คุณหนูเล็กจะ...”
เสี่ยวชิงรีบยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อถูกหางตาของผู้เป็นนายสาวมองมา นางก้มหน้าลงมองปลายเท้าด้วยความรู้สึกผิด เรื่องเช่นนี้มิสมควรเอ่ยขึ้นเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะว่านางไม่ชอบคุณหนูเล็กต่างหาก จึงได้เอ่ยวาจาเช่นนั้นออกไปโดยไม่ทันระวัง
“เรื่องนี้อย่าได้พูดออกไปเชียว หากท่านพ่อรู้เข้าเจ้าคงถูกลงโทษเป็นแน่ ถึงยามนั้นต่อให้ข้าคุกเข่าขอร้อง ท่านพ่อคงไม่ยอม เสี่ยวชิงเจ้ารับใช้ข้ามาหลายปีแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือว่าเป็นคนเช่นไร” เมิ่งลู่ซือเอ่ยถามน้ำเสียงแหบแห้ง
“คุณหนูข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปนี้ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก” เสี่ยวชิงก้มหน้าสำนึกผิด
ไป๋เฟยเทียนเปิดประตูม่านรถม้า เขาโผล่หน้าเข้ามา ใบหน้าของชายหนุ่มได้เช็ดจนสะอาดหมดจดแล้ว เหลือเพียงแค่ชุดที่เปรอะเปื้อนของเขาที่ยังไม่อาจถอดเปลี่ยนได้ “ท่านหัวหน้าได้เรื่องอย่างไรขอรับ”
“โม่ผิงอัน คิดสังหารข้า นางคงคิดว่าข้าถูกพิษใกล้ตาย อยากเร่งวันเร่งคืนให้ข้าตายสมใจสินะ”
“เช่นนั้นจะจัดการอย่างไรดี” ไป๋เฟยเทียนขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
หญิงสาวเผยรอยยิ้มที่มุมปากแววตาเย็นเยียบช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก “ปล่อยนางไปก่อน รอข้ากลับไปจะถลกหนังนางเอง โม่ผิงอันเจ้าเล่นผิดคนแล้ว!”