ตอนที่ 12 อยากพบว่าที่มารดา
ขบวนรถม้าได้หยุดพักชั่วคราวเนื่องเพราะถูกกลุ่มโจรชั่วช้ามาดหมายว่าจะสังหารคุณหนูรองเมิ่งลู่ซือ ยามนี้ได้เดินทางต่อแล้วและทำให้เกิดความล่าช้าไปบ้าง
ซึ่งทำให้ผู้ที่รอคอยอย่างใจจดจ่อคือคุณชายใหญ่เมิ่งลู่คังหรือขุนนางเมิ่งฝ่ายกลาโหม รั้งตำแหน่งเป็นท่านผู้ช่วยของเสนาบดีขั้นหนึ่งเจ้ากรมกลาโหม ตำแหน่งแม้จะดูเล็กแต่ไม่อาจดูเบาได้
ด้วยความสามารถเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลม ทำให้ใต้เท้าเมิ่งเป็นที่นับหน้าถือตาและได้รับความ ไว้วางใจจากท่านเสนาบดีอยู่เสมอ ซ้ำยังเป็นที่หมายปองของบรรดาสตรี บุตรสาวของเหล่าขุนนางทั้งหลาย นั่นเพราะว่า เมิ่งลู่คัง หล่อเหลาคมคายยิ่งนัก แม้ว่าผิวพรรณของเขาจะดูคล้ำไปบ้างก็ตามที
“ขอรับท่านผู้ช่วย” ชายผู้นี้ตอบกลับคำสั่งของผู้เป็นนาย พร้อมกับกระโดดขึ้นไปนั่งบนอาชา จากนั้นจึงได้ใช้เท้ากระทุ้งท้องของมันเบา ๆ มือหนาทั้งสองข้างจับสายบังคับเอาไว้ แล้วจึงได้เร่งให้อาชาตัวใหญ่ มุ่งหน้าออกจากประตูเมืองหลวง
เมิ่งลู่คังเดินวนเวียนอยู่ด้านหน้าของทางเข้าประตูเมืองหลวง ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนซึ่งแห่แหนกันมาร่วมงานชมบุปผางามในเมืองหลวง อีกสองราตรีข้างหน้าจะถึงวันงานแล้ว เขาไม่อยากให้มีอันใดผิดพลาด เกรงว่าจะกระทบกระเทือนถึงหน้าที่การงานของตน แล้วยังเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาวทั้งสอง
หญิงสาวผู้ถูกกล่าวถึงได้ส่งจดหมายไปยังตระกูลฝ่ายมารดา เพื่อบอกกล่าวว่าระยะนี้นางจะพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่กับท่านยายในเมืองหลวง โดยมีเสี่ยวชิงติดตามดูแลไม่ห่าง ส่วนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาอีกนาง คงต้องพักอยู่ในเรือนรับรองของผู้เป็นพี่ชายคนโต
“ช่วงนี้คลื่นลมในวังหลวงไม่สงบนัก ข้าเกรงว่าวันงานอาจเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่” เมิ่งลู่ซือคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า เพราะแหล่งข่าวที่นางได้รับมาล้วนเชื่อถือได้
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ” เสี่ยวชิงสบตาด้วยความสงสัย คิ้วเรียวสวยงดงามดั่งกิ่งหลิวยามเมื่อขมวดเข้าหากันคล้ายเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก
ผู้เป็นนายสาวยกนิ้วขึ้นมาคั่นกลางระหว่างหัวคิ้วของสาวใช้ ระบายยิ้มอ่อนก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “อย่าเอาตัวเองเข้าไปเป็นหมากของคนพวกนั้นก็เป็นพอ แต่...ข้ากลายเป็นหมากในมือขององค์ชายสามแล้วนี่นา”
หญิงสาวดวงตาหมองหม่นลงมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ ซ้ำร้ายยังมีลูกติดอีกด้วย นางกลายเป็นมารดาเลี้ยงไปทันใด ยังไม่ทันพบหน้าค่าตา
แต่เหมือนว่าจะมีความอลม่านเข้ามาเสียแล้ว เกิดมาไม่เคยเลี้ยงเด็ก และเด็กคนนั้นนิสัยดื้อรั้นหรือไม่ เมิ่งลู่ซื่อปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เกรงว่าสิ่งที่นางกังวลใจจะเป็นจริงขึ้นมา
“คุณหนูหลับแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้เงียบปากทันที เมื่อนายสาวพยักหน้าหงึก ๆ
ทางด้านหน้าคือท่านรองหัวหน้าไป๋เฟยเทียน หัวเสียยิ่งนัก ด้วยเพราะอาภรณ์อันแสนงดงามเลอะเทอะไปด้วยคราบโลหิตที่กระเด็นมาเปรอะเปื้อนชุดราคาแพงแสนแพงของเขา
ชายหนุ่มยังคงควบม้า ด้วยท่าทางองอาจ แม้ว่าชุดของเขาจะสกปรกก็ตามที ไม่อาจลดทอนความสง่างามของชายผู้นี้ได้
เมิ่งหลันเซียนกำหมัดแน่น ดวงตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ข่มความเคียดแค้นเอาไว้ในอก เมื่อเหล่าชายชุดดำกลุ่มโจรชั่วช้านั่นซึ่งถูกจ้างวานมาสังหารพี่สาวต่างมารดา กลับถูกสังหารจนสิ้น
เห็นทีว่าพี่สาวผู้นี้ดวงแข็งยิ่งนัก แล้วจะไม่ให้นางมิพอใจได้อย่างไรกัน นางซ่อนความเดือดดาลแทบจะไม่ไหว อยากกรีดร้องโวยวายจวนเจียนแทบคลั่ง
“เหตุใดมันดวงแข็งเยี่ยงนี้นะ เป็นเพราะเจ้าบ้านั่นแน่ ๆ ช่างเสนอหน้าช่วยเหลือ” เมิ่งหลันเซียนสบถขึ้นมาทันใด ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกมากมายนัก สาวใช้ที่นั่งข้างกายรีบยกมือขึ้นมากอบกุมมือของนายสาวเอาไว้
“คุณหนูหน้าต่างมีหู พวกเราควรเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะเจ้าคะ หาไม่แล้วเกรงว่าคุณหนูรองคงจะเล่นงานพวกเราเป็นแน่เจ้าค่ะ” นางคิดเช่นนั้นจริง ๆ มีหรือลูกพยัคฆ์จะออกมาเป็นลูกแมวถอดเขี้ยวเล็บ คุณหนูรองย่อมมีเขี้ยวเล็บและพิษสงรอบด้าน จนทำให้คุณหนูของนางคาดไม่ถึงทีเดียว
“เฮอะ!” เมิ่งหลันเซียนแค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ “ข้าละอยากให้นางตายจริง ๆ เมื่อไรนางจะตายเสียที” ด้วยเพราะบิดาไม่รักและเอ็นดูนางเหมือนพี่สาวต่างมารดา ทำให้นางกลายเป็นเด็กขาดความรักเยี่ยงนี้
“คุณหนู” สาวใช้อุทานออกมาอีกครั้ง ยกมือขึ้นป้องปากว่า “พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลยเจ้าค่ะ เกรงว่าคนของคุณหนูรองจะได้ยิน หาไม่แล้วพวกเราคงไม่อาจได้ร่วมงาน อีกอย่างฮูหยินกำชับกับข้าว่า...”
“อันใดกันแน่ ท่านแม่บอกอะไรกับเจ้า” เมิ่งหลันเซียนจ้องเขม็งยังสาวใช้ ด้วยต้องการคำตอบเสียเดี๋ยวนี้
นางยกมือขึ้นป้องปากอีกครั้งว่า “ฮูหยินให้ข้าลอบวางยาองค์ชายสามแล้วพาคุณหนูสวมรอยเป็นคุณหนูรองเจ้าค่ะ ตำแหน่งพระชายาเอกจะไปไหนเสีย”
“จริงนะรึ” มุมปากของเมิ่งหลันเซียนยกยิ้มร่าขึ้น แววตาเป็นประกายวาววับ “เช่นนั้นแล้ว อนาคตย่อมเป็นข้าที่นางจะต้องก้มหัวกราบกรานข้าเป็นแน่ เมิ่งลู่ซือถึงเวลาที่ข้าจะเหนือกว่าเจ้าแล้ว”
ท่าทางของเมิ่งหลันเซียนช่างโอหังอวดดียิ่งนัก ในเมื่อยามนี้นางเป็นรองพี่สาว แต่หากอนาคตนางอยู่เหนือกว่า ย่อมจะทำอันใดก็ย่อมได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงนางจะให้อีกฝ่ายได้รับรู้เสียบ้างว่า ใครกันแน่คือผู้ชนะ
ยามนี้องค์ชายสามเดินทางถึงวังหลวงแล้ว แต่ยังไร้วี่แววคู่หมั้นสาว ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่านางจะตอบตกลงหรือไม่ กระนั้นจึงมิได้สนพระทัยนัก ยกเว้นเพียงแค่เจ้าหัวผักกาดจอมวุ่นวาย นั่นก็คือพระโอรสนามของเขาคือ จินจื่อหมิง
“ท่านพ่อขอรับ เมื่อไรข้าจะได้พบกับนางเสียที” ขบวนรถม้าของเขาเคลื่อนมายังวังหลวง แล้วพำนักอยู่พระตำหนักอันใหญ่โตแต่กลับกลายเป็นว่าการรอคอยนั้นช่างเนิ่นนานยิ่งนัก เขาจึงอดไถ่ถามมิได้
ผู้ถูกถามเงยหน้าละจากจอกสุรา ใบหน้าแดงก่ำเพราะมึนเมาเข้าให้เสียแล้ว “จะไปรู้ได้อย่างไร นางมาถึงเมื่อไรแล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าด้วยเล่า”
“ท่านพ่อ!” เจ้าเด็กตัวเล็กยืนกอดอกขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ น้ำเสียงห้วน ๆ แข็งกร้าวยิ่งนัก
“นางคือว่าที่มารดาของข้า จะไม่ให้ข้าร้อนใจอยากพบหน้าได้อย่างไร” ประเดี๋ยวหากพบนางจะหลงลืมพวกนางกำนัลเป็นแน่ เพราะว่าเมิ่งลู่ซือทั้งงดงามและอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาจึงชมชอบนางยิ่งนัก มิเหมือนบิดาที่วัน ๆ เอาแต่ร่ำสุราร้องเพลงอยู่กับบรรดานางกำนัลทั้งหลาย มิสนใจสิ่งใด
กระทั่งเขาเป็นบุตรชายแท้ ๆ ยังไม่มีเวลาสอนสั่ง อีกทั้งสอนวรยุทธ์ให้เขาก็ยังไม่เคย เช่นนี้แล้ว หากเขามีมารดาซึ่งเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จะไม่ใช่โชคดีของเขาหรืออย่างไรกัน เรื่องนี้ย่อมต้องยกย่องความดีความชอบมอบให้ท่านปู่ฮ่องเต้ ที่มีสายตาเฉียบแหลมมองหามารดาให้เขาได้อย่างยอดเยี่ยม
“เจ้าตัวแสบยังจะชักสีหน้าใส่ข้าอีก ไปเดินเล่นข้างนอกโน่นไป” องค์ชายสามหงุดหงิดใจยิ่งนัก
แต่ทว่าเจ้าลูกชายตัวดีอยากมีมารดาใหม่ใจจะขาด ลงมือมารดาที่แท้จริงไปได้เช่นไรกัน
กลับกันแล้วเขายังเฝ้าถวิลหานางทุกลมหายใจเข้าออก แม้ว่านางจะไปเยือนปรโลกแล้วก็ตาม
“ก็ได้ขอรับ” องค์ชายน้อยเดินคอตกออกไปจากตำหนักด้านในทันที ข้างกายมีองครักษ์อยู่ถึงสองคนด้วยกัน ชายผู้หนึ่งสูงกว่าเขามากใบหน้าคมสันจมูกโด่ง ดวงตาเรียวเล็ก ริมฝีปากหยักได้รูป นิสัยพูดน้อย เน้นทำงานรักษาความปลอดภัยให้เขา
ส่วนชายอีกผู้หนึ่ง นิสัยเย็นชาคล้ายว่าไร้ความรู้สึก แต่กลับว่องไวและรู้ใจเขาเป็นสุด ชายผู้นี้สูงกว่าบิดาของเขา อายุราว ๆ เกือบสามสิบปีเห็นจะได้ ใบหน้าคมคาย จมูกโด่ง ผิวขององครักษ์ผู้นี้คล้ำไปนิด แต่รวม ๆ แล้วก็รูปงามไม่เบา
นางกำนัลติดตามดูแลรับใช้ข้างกาย มีอีกสองนาง แต่ละนางล้วนฝีปากจัดจ้านยิ่งนัก ส่วนมากเขามักมิค่อยพอใจสตรีเช่นนี้สักเท่าไหร่ ชมชอบผู้ที่พูดน้อยเข้าใจง่าย แต่ทว่านางกำนัลทั้งสองเป็นคนสนิทของมารดาซึ่งล่วงลับไปตั้งหลายปีแล้ว
“อีกนานหรือไม่กว่าข้าจะได้พบคุณหนูเมิ่ง” องค์ชายน้อยร้องตะโกนก้องส่งเสียงดังกังวานยิ่งนัก
นางกำนัลตกใจจึงได้เอ่ยถามขึ้น “องค์ชายเพคะ เหตุใดจึงตะโกนเช่นนี้ด้วย” หากผู้อื่นมาได้ยินเกรงว่าองค์ชายของพวกนางคงจะถูกตำหนิเป็นแน่
จินจื่อหมิงตอบกลับสีหน้าเรียบเฉย “ก็ข้าอยากพบนางนี่นา”
“เด็กที่ไหนมาร้องโหวกเหวกส่งเสียงรบกวนข้าเยี่ยงนี้” สตรีสูงศักดิ์ สวมใส่อาภรณ์สีม่วงเข้มปักปิ่นระย้าห้อยลงมาเป็นสาย สวมปลอกเล็บบนนิ้วก้อย
แล้วยังสวมแหวนหยกอยู่บนนิ้วหัวแม่มือ ใบหน้าแต่งแต้มจัดจ้าน ริมฝีปากทาสีชาดแดงเข้ม ยามที่พระนางเยื้องย่างจะมีนางกำนัลคนเดินตามเป็นขบวนยาวเหยียด
“เสด็จย่าฮองเฮา” จินจื่อหมิงเป็นเด็กฉลาดรู้จักเอาตัวรอด สตรีเบื้องหน้าส่งเสียงเขียวเข้มมาแต่ไกล ไม่ต้องบอกว่าเป็นผู้ใดกัน มีหรือที่เขาจะไม่ทราบว่าเป็นฮ่องเฮาแห่งแคว้นจิน
“หลานจินจื่อหมิงพ่ะย่ะค่ะ ขอให้ท่านย่ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และสง่างามเฉกเช่นสตรีแรกรุ่นเหมือนในเพลานี้”
มีหรือที่เขาไม่กล่าวประจบ หาไม่แล้วเขาอาจถูกสตรีผู้นี้ถลกหนังเข้าให้สักวัน
เจ้าเด็กน้อยช่างรู้ความคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของสตรีสูงศักดิ์ มือทั้งสองข้างประสานพร้อมกับก้มศีรษะเกือบติดพื้น ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นที่พอพระทัยของสตรีผู้นี้ยิ่งนัก
“ลุกขึ้นเถอะ ย่าไม่ได้พบเจ้าเสียนาน ลืมไปเสียแล้วว่าเจ้าเป็นโอรสขององค์หญิงชิงมู่ตาน” นางจีบปากจีบคอ ย่อตัวเล็กน้อยพร้อมกับประคองหลานชายนอกสายเลือดให้ลุกขึ้นยืน มือเรียวจับปลายคางของเจ้าหัวผักกาดพิจารณารูปหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“พ่ะย่ะค่ะ” จินจื่อหมิงตอบกลับสั้น ๆ สบตาเข้ากับเฉินฮองเฮา
“ว่าแต่มารดาของเจ้าสบายดี...อุ้ย! ย่าขอโทษเจ้าด้วย ลืมไปเสียสนิทเลยว่านางได้ล่วงลับไปแล้ว” เฉินเหมยฮัว มารดาแห่งแผ่นดินจะหลงลืมสิ้นได้อย่างไรกัน เพียงแต่จงใจเพียงเท่านั้น หวังให้เจ้าเด็กน้อยไร้เดียงสาสะเทือนใจ
จินจื่อหมิงแววตาดุร้ายยิ่งนัก เขาซ่อนมันเอาไว้บนใบหน้าอันใสซื่อไร้พิษภัย เขากล่าวน้ำเสียงนุ่มไพเราะน่าฟังยิ่งนัก ทว่าแฝงไปด้วยคำตัดพ้อต่อว่าอีกฝ่ายมิให้นางรู้ตัว
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะเสด็จย่า หลานเป็นผู้เยาว์จะถือโทษโกรธท่านได้อย่างไรกัน เสด็จแม่จากหลานไปหลายปีแล้ว ตอนนี้ในใจของหลานรักและเทิดทูนเสด็จย่า เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด แต่ว่าหลานนั้นต้อยต่ำเกินไปคงไม่คู่ควรให้เสด็จย่ารักและเอ็นดูพ่ะย่ะค่ะ”