บทที่ 4 (2)
ราชนิกุลผู้หล่อเหลาตรัสถามองครักษ์เอกอย่างใจร้อน ไม่รู้ว่าพระองค์ทำเวลาได้ดี อย่างที่อัสรัสส์ได้เอ่ยบอกหรือเปล่า
อัสรัสส์ก้มลงมองตัวเลขเวลา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบเจ้าเหนือหัว “ฝ่าบาททรงใช้เวลาไป 1นาทีกับอีก 50 วินาทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ดีเท่าไรเลยอัสรัสส์ เราต้องการทำเวลาให้ได้แค่นาทีเดียว ไม่เช่นนั้นเราอาจแพ้คนอื่นได้”
พระพักตร์คมเข้มของมกุฎราชกุมารฟารีสต์ เผยให้เห็นริ้วรอยแห่งความไม่พอใจ ดังที่ได้เอ่ยออกมา พระองค์ต้องทำเวลาให้ได้ดีกว่านี้ หากต้องการเอาชนะบรรดาเจ้าชายจากรัฐอื่น ที่จะมาเข้าร่วมพิธีสถาปนาพระองค์ให้เป็นประมุขแห่งอัสดารานส์
ตามประเพณีดั้งเดิมของประเทศอัสดารานส์ ในวันราชาภิเษก สถาปนามกุฎราชกุมารให้ขึ้นนั่งราชบัลลังก์ ราชนิกุลหนุ่มผู้ถูกชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นเจ้าแผ่นดิน จะต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วทั้งแผ่นดิน ด้วยการควบเจ้าอาชาไนยไปคว้ากริชทองคำ ซึ่งปักเด่นอยู่บนแท่นไม้ มามอบให้กับชีคพระองค์เดิม ซึ่งในการแข่งขันจะมีเจ้าชายจากรัฐอื่นๆ ที่ถูกเชิญมาร่วมเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ได้เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ด้วย ซึ่งมกุฎราชกุมารฟารีสต์ จำเป็นต้องฝึกฝนกุมบังเหียนให้ อาชาไนยคู่ใจทำเวลาให้ดีที่สุด ดีพอที่จะไปคว้ากริชทองคำมามอบให้กับพระบิดาของพระองค์ให้ได้
องครักษ์อัสรัสส์ตบเบาๆ ไปบนลำตัวเจ้าเพกาซัส ราวกับต้องการให้เจ้าอาชาไนยรู้ว่ามันได้ทำดีแล้ว จากนั้นก็ได้เอ่ยบอกเจ้าเหนือหัวในสิ่งที่ตนเองได้แอบไปสืบทราบมา
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททำเวลาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะเท่าที่กระหม่อมได้ส่งลูกน้องให้แอบไปลอบสังเกตเจ้าชายจากรัฐอื่น ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประลองชัยกับฝ่าบาท ไม่มีเจ้าชายพระองค์ใด ที่ทำเวลาได้ดีขนาดนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เราไม่อยากประมาทนะอัสรัสส์ เราอยากทำเวลาให้ได้แค่นาทีเดียว หากเราแพ้เจ้าชายจากรัฐอื่น เราจะต้องถูกเยาะเย้ยไปอีกหลายวัน ท่านพ่อเองก็ต้องเสียพระพักตร์ ที่เราไม่สามารถคว้าชัยชนะไปมอบให้กับพระองค์ได้”
มกุฎราชกุมารผู้หล่อเหลาได้ตรัสบอกองครักษ์ พร้อมกันนั้นก็กระทุ้งเท้าไปบนสีข้างของตัวม้า แล้วบังคับบังเหียนให้เจ้าเพกาซัสหันหัวไปทางจุดเริ่มต้น เพื่อที่จะออกเริ่มตะกุยพื้นดินอีกครั้ง
องครักษ์รีบวิ่งไปดักหน้าไม่ให้เจ้าเพกาซัสออกเดินไปข้างหน้า จากนั้นก็ได้เอ่ยขอร้องผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัว
“ฝ่าบาท พักก่อนไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ฝ่าบาททรงขี่ม้าตั้งแต่เช้าแล้ว ฝ่าบาทน่าจะพักสักนิด จะได้ให้เจ้าเพกาซัส พักเหนื่อยด้วยน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อองครักษ์ได้เอ่ยเตือนแกมขอร้องไปในตัว เจ้าแห่งทะเลทรายผู้องอาจ ก็ทรงก้มลงมองอาชาไนยคู่กาย ที่พระองค์ทรงนั่งเด่นสง่าอยู่บนหลังและพามันออกตะกุยพื้นทรายออกวิ่งมาหลายชั่วโมงแล้ว พระหัตถ์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเมตตา ซึ่งได้มอบให้แก่มวลราษฎรในแผ่นดินทะเลทราย รวมทั้งเจ้าสัตว์สี่เท้าที่ทรงเลี้ยงไว้ ได้ลูบเบาๆ ไปตามลำแผงคอของเจ้าเพกาซัส ก่อนจะพึมพำตรัสบอกเจ้าอาชาไนยเบาๆ
“เพกาซัส อีกรอบเดียวเท่านั้น เราจะพาเจ้าตะกุยพื้นทรายอีกแค่รอบเดียว แล้วเราจะให้เจ้าไปพักผ่อนตามที่เจ้าต้องการ”
ราวกับเจ้าเพกาซัส อาชาไนยที่แสนเชื่องจะฟังคำสั่งของเจ้าแผ่นดินที่มันอาศัยอยู่ออก เพราะหลังสิ้นพระสุรเสียงของราชนิกุลหนุ่มแล้ว มันก็ออกวิ่งทันที โดยที่มกุฎราชกุมารฟารีสต์ ไม่ทันได้กระทุ้งเท้าส่งสัญญาณให้มันรู้ด้วยซ้ำไป
“เพกาซัส เจ้าเป็นม้าที่เชื่องที่สุด เท่าที่ข้าเคยเห็นมา”
องครักษ์อัสรัสส์พึมพำออกมาเบาๆ ขณะมองตามเจ้าอาชาไนยสีดำราวกับนิล ที่ทะยานวิ่งออกไปข้างหน้าโดยไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย
มกุฎราชกุมารฟารีสต์ พาเจ้าเพกาซัสออกวิ่งได้แค่เพียงครึ่งทาง ก็ทรงออกคำสั่งให้อาชาไนยตัวใหญ่ได้หยุดวิ่ง เมื่อพระองค์ได้หันไปเห็นพระบิดา ซึ่งกำลังเดินตีสีพระพักตร์เคร่งเครียด มายังลานประลองความเร็ว พระองค์ได้กระโดดลงจากหลังเจ้าเพกาซัส ก่อนจะเดินเร็วๆ เกือบเป็นวิ่งไปหาพระบิดา ด้วยทรงรับรู้ได้ถึงกระแสแห่งความตึงเครียด ที่แผ่ออกมาจากพระพักตร์ของพระบิดา โดยมีองครักษ์อัสรัสส์เดินตามมาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
“ท่านพ่อ มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นโอรสถามอย่างใจร้อน ทันทีที่ได้เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของผู้ที่เป็นพระบิดา
“พ่อคิดว่าเป็นเช่นนั้นฟารีสต์” ชีคฟาซิซต์ตรัสตอบสั้นๆ ก่อนจะทรุดพระวรกายนั่งลงบนเก้าอี้หน้าพระวิหารศักดิ์สิทธิ์
“เมฆร้ายกำลังปกคลุมแผ่นดินอัสดารานส์”
มกุฎราชกุมารฟารีสต์เอ่ยออกมาลอยๆ เริ่มรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในแผ่นดินที่พระองค์ได้ปกครองอยู่
ผู้ที่เป็นพระบิดาได้ถอนหายใจยาว ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระพักตร์ขององค์เอง ก่อนจะตรัสตอบด้วยน้ำเสียงติดเครียดๆ
“ชีคอะเดลากับโอรสและธิดาแสดงสีหน้าสงบนิ่งยิ่งนัก ตอนที่พ่อได้เอ่ยปฏิเสธความต้องการของเขา แต่พ่อรู้ดีว่าลึกๆ นั้นทั้งสามคนกำลังปะทุเดือดด้วยไฟโทสะ และหากเดาไม่ผิด ทันทีที่พ่อเดินออกมาจากแผ่นดินอะเดลา ทั้งสามคนคงได้ระบายอารมณ์โกรธออกมาอย่างเต็มที่”
เจ้าชายฟารีสต์ได้เอื้อมพระหัตถ์ไปจับพระหัตถ์ของพระบิดาได้ จากนั้นก็ตรัวย้ำให้พระบิดาได้คลายความกังวลพระทัย
“ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไป ลูกสัญญาว่าจะทำทุกอย่าง เพื่อขจัดเมฆร้ายก้อนนี้ให้ออกไปให้พ้นจากแผ่นดินของพวกเรา”
ชีคฟาซิซต์ถอนหายใจยาวอีกครั้ง พระองค์ไม่ห่วงโอรสหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องพระพักตร์ ซึ่งสามารถดูแลตัวเองให้รอดพ้นจากภัยร้าย จากองค์หญิงอลีมาได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่พระองค์กำลังเป็นห่วงในขณะนี้คือดอกไม้งามแห่งอัสดารานส์ องค์หญิงฟาติย่า ซึ่งเป็นที่ต้องการของเจ้าชายอะเดลียิ่งนัก
“ฟารีสต์...พ่อเป็นห่วงติย่า พ่อรู้ว่าเจ้าชายอะเดลีเจ็บแค้นมากที่พวกเราไม่ยกติย่าให้เป็นพระชายาของเขา หากคนรัฐโน้นไม่ชอบทำตัวเป็นหมาลอบกัด พ่อจะไม่ห่วงเลย แต่นี่ทั้งองค์หญิงอลีมาและเจ้าชายอะเดลีต่างก็มีพิษสงไม่แพ้กัน พ่อเป็นห่วงติย่าเกรงว่าจะถูกเจ้าชายอะเดลีลอบมาฉุดไป”
ผู้เป็นพระบิดาคาดเดาว่าคนที่ใจโฉดอย่างเจ้าชายอะเดลี คงไม่นั่งนิ่งเฉยอย่างที่พระองค์เห็นในวันนี้อย่างแน่นอน และพระองค์คิดว่าเจ้าชายผู้นี้คงจะทำทุกวิธีทาง เพื่อให้ได้ครอบครองดอกไม้งามแห่งอัสดารานส์
เจ้าชายฟารีสต์พยักพระพักตร์เห็นด้วยกับคำพูดของพระบิดา ด้วยรู้สันดานของเจ้าชายอะเดลีว่าทรงไม่ยอมให้ใครหักหน้าง่ายๆ อย่างนี้แน่
“ลูกจะสั่งให้องครักษ์เฝ้าติดตามดูแลติย่าเป็นพิเศษ ยังไงๆ ลูกก็จะไม่ยอมให้เจ้าชายอะเดลีมาทำให้ดอกไม้แสนสวยดอกนี้ต้องบอบช้ำ”
“ระวังอย่าให้ติย่ารู้ตัวว่าถูกองครักษ์ติดตามทุกฝีก้าว ไม่เช่นนั้นแล้วติย่าคงได้อาละวาด จนองครักษ์เผ่นหนีแทบไม่ทันแน่”
ชีคฟาซิซต์ไม่ลืมที่จะย้ำเตือนในเรื่องนี้ เพราะทรงรู้ดีว่าธิดาของพระองค์ไม่ชอบให้องครักษ์คอยเฝ้าติดตามอารักขาความปลอดภัย ฟาติย่ามักจะบอกเสมอว่าตนเองนั้นเป็นถึงแชมป์ยูโดของประเทศ ใครก็เข้าใกล้ตัวเธอไม่ได้ง่ายๆ แต่ธิดาแสนสวยของพระองค์มักลืมไปว่าแรงของอิสตรีเพศ หรือจะสู้แรงของบุรุษชายฉกรรจ์ได้ ยิ่งเป็นพวกหมาลอบกัดอย่างเจ้าชายอะเดลีด้วย ฟาติย่ายิ่งไม่มีทางสู้ได้แม้แต่นิดเดียว
“ลูกจะพยายามไม่ให้น้องรู้ตัวว่าถูกติดตามตลอด 24 ชั่วโมงพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นโอรสได้ตรัสบอกพระบิดาอีกครั้ง จากนั้นก็เผยความในใจ ที่พระองค์อยากจะทำในยามที่แผ่นดินกำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยเมฆร้าย
“ท่านพ่อ ถ้าเป็นไปได้ ลูกอยากออกคำสั่งกักบริเวณให้ติย่าอยู่แต่ภายในตำหนัก ภายในพระราชวัง ลูกไม่อยากให้ติย่าออกไปตะลอนๆ เยี่ยมราษฎรอย่างที่ทำอยู่ในทุกวันนี้”
“ฮึๆ” ประมุขแห่งอัสดารานส์ทรงหัวเราะขำกับความคิดของโอรสหนุ่ม จากนั้นก็ได้ตรัสตอบกลั้วหัวเราะ “หากฟา
รีสต์ออกคำสั่งเช่นนั้น พ่อเชื่อว่าลูกคงได้เจอฤทธิ์แม่เสือสาวอย่างฟาติย่า อาละวาดจนพระราชวังแตกแน่”
เจ้าชายฟารีสต์อมยิ้มตรงมุมปาก ก่อนจะตรัสตอบอย่างล้อเลียน “เพราะลูกรู้ว่ายายองค์หญิงฟาติย่าทรงไม่ยอมอย่างแน่นอนยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ ลูกถึงกลัดกลุ้มใจในเรื่องนี้ คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรให้ติย่านั้นอยู่ในโอวาทของลูก”
สุ้มเสียงที่มกุฎราชกุมารแห่งแผ่นดินทะเลทรายได้ตรัสถึงขนิษฐานั้น เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู และสาบานว่าจะไม่ยอมให้หมู่ภมรใด มาทำให้หัวใจดวงเล็กอันแสนบริสุทธิ์ขององค์หญิงฟาติย่าต้องเจ็บช้ำน้ำพระทัย
ชีคฟาซิซต์เงยพระพักตร์มององครักษ์อัสรัสส์ ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างเพื่อรอรับคำสั่ง จากนั้นก็ทรงออกคำสั่งกับบุรุษชาติผู้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่เป็นนักรบแห่งแผ่นดินทะเลทราย
“วันมะรืนก็จะถึงวันสถาปนาชีคพระองค์ใหม่แล้ว เตือนให้องครักษ์ทุกนายทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อย่าได้หละหลวมแม้แต่วินาทีเดียว”
องครักษ์อัสรัสส์ทรุดกายลงนั่งเบื้องพระพักตร์ของเจ้าเหนือหัวทั้งสองพระองค์ ก่อนจะลั่นวาจาคำสัตย์ออกมาจากใจจริง
“กระหม่อมขอให้คำสัตย์สาบาน ว่าจะปกป้องราชวงศ์กษัตริย์แห่งอัสดารานส์ด้วยชีวิตของกระหม่อมเอง กระหม่อมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย และแตะต้ององค์หญิงผู้งดงาม แห่งแผ่นดินทะเลทรายสีทองได้แม้แต่ปลายเล็บพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายฟารีสต์คลี่ยิ้มบางๆ ตบพระหัตถ์ลงไปบนบ่ากว้าง ของผู้ที่เป็นทั้งลูกน้องเป็นทั้งเพื่อนรักเพื่อนตายพร้อมสละชีพเพื่อพระองค์ได้เสมอ ก่อนจะตรัสขอบใจจากใจจริงเช่นเดียวกัน
“ขอบใจเจ้ามากอัสรัสส์ สมแล้วที่เจ้าได้เกิดมาในต้นตระกูลของนักรบ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์อัสรัสส์แย้มยิ้มกว้าง เมื่อได้ยินคำชมที่เจ้าเหนือหัวได้ตรัสออกมา
เจ้าชายฟารีสต์ทอดสายตามองไปข้างหน้า ชื่นชมกับคลื่นเม็ดทรายสีทองงามอร่ามตัดกับท้องฟ้าสีคราม ซึ่งเป็นภาพอันแสนงดงาม ที่พระองค์ทรงชื่นชอบยิ่งนัก จากนั้นก็พึมพำตรัสถามพระบิดาที่ทรงนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน
“ลูกอยากเห็นบุรุษผู้พิทักษ์องค์หญิงฟาติย่ายิ่งนัก อยากรู้ว่าบุรุษผู้ใดที่สามารถปกป้องนางฟ้าองค์น้อยๆ ของพวกเราได้”
“พ่อก็อยากเห็นหน้าบุรุษผู้นั้นเช่นเดียวกัน และพ่อสังหรณ์ใจด้วยว่าไม่เกินปีหน้า พ่อจะได้ลูกเขยและลูกสะใภ้ในเวลาเดียวกัน”
ผู้ที่เป็นพระบิดาตรัสออกมาอย่างมั่นพระทัย เรียกเสียงหัวเราะฮึๆ ในลำคอได้จากเจ้าชายฟารีสต์ ที่ไม่ทรงเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะมั่นพระทัยว่าพระชายาของพระองค์ยังไม่เกิดอย่างแน่นอน
“ดูท่าว่าท่านพ่อจะมั่นพระทัยเหลือเกิน แต่ลูกคิดว่าท่านพ่ออาจจะได้ลูกเขยแค่เพียงอย่างเดียว เพราะชายาของลูกคงยังไม่เกิดนะพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายฟารีสต์ตรัสตอบกลั้วหัวเราะ ก่อนจะนิ่งขึงไปนิดหนึ่ง เมื่อองครักษ์อัสรัสส์ได้เอ่ยเสนอความเห็นออกมา
“พระองค์พ่ะย่ะค่ะ ทำไมพระองค์ไม่ทรงขอพรจากดวงจันทราในวันสถาปนาล่ะพ่ะย่ะค่ะ ในคืนวันนั้นพระจันทร์จะเต็มดวง ลอยเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ากว้าง กระหม่อมเชื่อว่าหากพระองค์ทรงขอพรจากดวงจันทร์ พระองค์จะได้พบกับพระชายาในเร็วๆ วันนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายฟารีสต์แย้มยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะย้อนถามองครักษ์เอก “เจ้าเชื่อเรื่องนี้ด้วยอย่างงั้นหรืออัสรัสส์”
“พ่อก็เชื่อนะฟารีสต์ เพราะพ่อเองก็ได้ยืนอยู่บนหอคอยของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง พ่อได้ขอพรให้ตามหาแม่ของลูกพบ หลังจากที่ต้องพรัดพรากจากกันมานานหลายปี ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แม่ของลูกก็ได้เดินทางมาที่ประเทศอัสดารานส์ ทำให้พ่อกับแม่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง ลูกอาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่พ่อก็อยากให้ลูกลองพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ของตำนานที่เล่าขานกันมาด้วยตัวเอง”
ผู้เป็นพระบิดาได้ยุส่งโอรสหนุ่ม ซึ่งในตอนแรกพระองค์ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าไร แต่เมื่อได้พิสูจน์เห็นประจักษ์แจ้งด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ทำให้เชื่อในมนต์ตราของวิหารศักดิ์สิทธิ์และดวงจันทราที่ได้สาดแสงนวลลงมาบนแผ่นดินทะเลทรายในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
เจ้าชายฟารีสต์ตีสีพระพักตร์ราวกับไม่เชื่อ แต่กระนั้นก็ได้ตรัสแบ่งรับแบ่งสู้ออกมา
“กระหม่อมจะลองดูพิสูจน์สักครั้งว่าคำเล่าลือเรื่องการขอพรกับดวงจันทร์ บนหอคอยของวิหารศักดิ์สิทธิ์จะเป็นจริงหรือเปล่า”
“แล้วลูกจะรู้ว่าวิหารแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด และลูกจะได้รู้ด้วยว่าดวงจันทราที่ลอยเด่นกลางนภานั้น ได้ส่งพระชายาที่แสนงดงามมาให้ลูกจริงๆ”
ผู้เป็นพระบิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง มั่นพระทัยว่าพระองค์จะได้ต้องได้ลูกสะใภ้และลูกเขยในคราวเดียวกันอย่างแน่นอน