บทที่2 ทางเดินใหม่
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อ” แพนหันไปถามเด็กหนุ่มร่างผอมที่เธอรู้สึกสงสารจับใจ อาจเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยเธอไว้ ส่วนเธอก็มีโอกาสช่วยเขาจากแก๊งอันธพาล ชะตาชีวิตของเขาและเธอเหมือนมีเรื่องบังเอิญให้ได้ช่วยเหลือกันอย่างประหลาด
“ผมก็คงกลับไปทำงานถ่ายภาพที่ผับต่อ” เพลิงตอบเหมือนไม่คิดอะไรมาก ก็เขามันพวกความรู้น้อย จะให้ไปทำอะไรได้ งานที่เขาถนัดและพอจะทำได้ดีอยู่บ้างก็คือการถ่ายรูปเท่านั้น
แพนกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิดเมื่อได้ยินคำตอบของหนุ่มน้อยตรงหน้า ถ้าเขากลับไป ก็คงมีโอกาสสูงที่จะโดนซ้อมอีก
“นายชอบถ่ายภาพมากเหรอ”
“ก็ไม่เชิง แค่มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมทำได้ดี ว่าแต่พวกคุณเห็นกล้องผมไหมครับ” ความจริงกล้องนั้นเป็นกล้องของผับ ถ้าพังไปเขาคงได้เป็นหนี้หัวโต
“กล้องนั่นเหรอ”
แพนชี้มือไปยังซากกล้องที่พังยับไม่มีชิ้นดีที่กองอยู่บนโต๊ะมุมห้อง
“โอ๊ย ซวยแล้ว” ร่างผอมของเด็กหนุ่มขยี้ผมที่ยุ่งอยู่แล้วจนยุ่งเข้าไปใหญ่
“นายคงทำงานที่นั่นต่อไม่ได้แล้วล่ะ ร้านนั้นเป็นร้านของลุงฉัน เขาไม่ชอบพวกสร้างปัญหา”
“โธ่ ตอนนี้ผมทำกล้องพัง ถ้าเขาไม่ให้ทำงานต่อแล้วผมจะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้”
พอได้ยินเรื่องราวพวกนั้น แพนรู้สึกว่าไม่สามารถบังคับตัวเองให้นิ่งเฉยต่อเรื่องของเขาได้ แม้ภาพลักษณ์ของเธอในจอจะดูเหวี่ยง ขี้วีน แต่ความจริงเธอเป็นคนใจอ่อนและขี้สงสารมาก เธอไปทำบุญที่บ้านเด็กกำพร้าทุกวันเกิด ปัจจุบันก็ยังอุปถัมภ์ให้ทุนการศึกษาเด็กทั้งหมด 6 คน ซึ่งเรื่องพวกนี้มีแต่คนสนิทจริง ๆ เท่านั้นถึงจะรู้
แถมเขายังเคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ให้เธอต้องโดนตำรวจรวบไป ถึงจะไม่ใช่ความจริงแต่ถ้าข่าวพวกนั้นหลุดออกไปคงยากที่จะแก้ไขและอาชีพนักแสดงของเธอคงถึงกาลอวสาน
“เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าเสียหายเรื่องกล้องให้นายเอง” คนสวยบอกอย่างใจป้ำ
ตอนแรกเพลิงกำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่พอคิดว่าเธอเองก็มีเงินมาก ถ้าอยากช่วยเหลือเขาด้วยเรื่องนี้ก็ถือว่าพอรับได้ เขาควรรับความช่วยเหลือนั้น ไม่ควรทำตัวเป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ปากที่กำลังจะอ้าเอ่ยคำปฏิเสธจึงหุบลง
“แต่นายต้องจ่ายค่าชดเชยให้ฉันแทน”
“อ้าว...” คราวนี้เพลิงหันมามองคุณนางฟ้าของเขาอย่างไม่อยากเชื่อ นึกว่าจะสวย ใจดี สายเปย์
“นายชอบถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ ฉันจะให้นายไปทำงานให้พ่อฉัน งานปลอดภัยแถมได้เงินมากกว่าด้วย จะได้มีเงินมาใช้หนี้ฉันเร็ว ๆ”
“งานอะไรครับ”
“พ่อฉันเป็นเจ้าของช่อง ตอนนี้ในกองกำลังต้องการผู้ช่วยตากล้อง นายน่าจะทำได้”
“แพน” ผู้จัดการส่วนตัวของนางเอกสาวปรามขึ้นอีกครั้งอย่างสุดจะทน
“ก็ในช่องยังขาดเด็กอีกเยอะจริง ๆ นี่พี่อ๋อม”
“แต่เรายังไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของหมอนี่เลยนะ” อ๋อมพยายามใช้เหตุผลพูดกับนางเอกสาว จะเป็นการรับโจรเข้าทำงานหรือเปล่าก็ไม่รู้ แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งผู้ช่วยตากล้องก็เถอะ แต่หมอนี่อาจแอบขโมยของในกองออกไปขายก็ได้ใครจะรู้
แพนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคิดตามที่พี่อ๋อมพูด แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
“แพนขอคุยโทรศัพท์แป๊บนะ” เธอบอกทั้งสองเมื่อเห็นหน้าจอว่าใครโทรมาก่อนจะเลี่ยงออกไปคุยนอกระเบียงห้อง
พอคนสวยออกไปแล้วจึงเหลือเพลิงกับผู้จัดการส่วนตัวของเธอที่นั่งสบตากันอยู่
“นายกินอิ่มแล้วก็ออกไปได้แล้ว” อ๋อมพูดกับเขาห้วน ๆ เมื่อลับร่างนางเอกสาว
เพลิงไม่ตอบหนุ่มหน้าสวยคนนี้เพราะเขากำลังคิดถึงข้อเสนอที่คนสวยยื่นให้ก่อนหน้า นี่เป็นทางเลือกที่ดีและเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเริ่มมองเห็นอนาคตของตัวเอง
“แล้วเสื้อผ้าผม?” เพลิงพยายามถ่วงเวลาให้คุณนางฟ้าคุยโทรศัพท์เสร็จเพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นใจดีกว่าคนที่นั่งจ้องเขาอยู่ตรงหน้านี้มาก
“เสื้อผ้านายฉันส่งซักให้แล้ว แต่เสื้อตัวใหม่นี่แพงกว่าของนายหลายเท่า แค่นี้ก็ถือว่ากำไรแล้วล่ะ” อ๋อมพูดแล้วใช้สายตามองอีกฝ่ายขึ้นลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่ปกปิดสายตาหมิ่นแคลนเลยสักนิด
เพลิงไม่สนใจสายตาดูหมิ่นของอีกฝ่าย ยกมือถือเครื่องเก่าของตัวเองขึ้นมากดดูภาพถ่ายในอัลบั้ม
“กล้องผมพังไปแล้ว”
“แล้วไง” อ๋อมพูดเสียงสูงเกือบเป็นตะคอก ไม่มีความสงสารเห็นใจเจือเลยสักนิด กล้องพังเพราะตัวเองดันไปมีเรื่องก็ต้องรับผิดชอบเองสิ
“แต่รูปตอนที่คุณคนนั้นเที่ยวแล้วก็ดื่มยังอยู่ในมือถือเพราะผมส่งบลูทูธมาเก็บไว้” คำว่าคุณคนนั้นเขาพยักเพยิดไปยังคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียง
“นี่นาย! นายคิดจะแบล็คเมล์เหรอ” อ๋อมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชี้นิ้วที่สั่นเทิ้มด้วยความโมโหไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งไถมือถือท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
“ผมเปล่า แค่เจ้ปล่อยให้ผมได้งานที่คุณคนนั้นเสนอไม่ได้เหรอ”
“ลามปาม! ใครเป็นเจ้นาย”
แต่ก่อนที่อ๋อมจะได้เปิดศึกเอาเรื่องกับอีกฝ่าย แพนที่คุยโทรศัพท์เสร็จพอดีเดินกลับเข้ามาเสียก่อน
“เมื่อกี้พวกเราคุยกันถึงไหนแล้วนะ”
“เรื่องข้อเสนอก่อนหน้านี้ ที่คุณบอก” พอแพนเดินกลับมา แววตาเจ้าเล่ห์ทันคนเมื่อกี้ก็หายไปหมด คงเหลือไว้แต่หนุ่มน้อยน่าสงสารคนเดิม
“จริงสิ นายสนใจข้อเสนอของฉันหรือเปล่า” แพนนั่งลงข้างพี่อ๋อมที่ทำหน้าตาเหมือนจะเข้าไปบีบคออีกฝ่ายแล้วก็เริ่มพูดต่อ
เพลิงพยักหน้าตกลงตามที่เธอพูด ก็ในเมื่อมีโอกาสทำงานที่ดีกว่าเดิม เขาจะเล่นตัวไปทำไมอีก
“ก่อนอื่นนายเอาบัตรประชาชนมาให้ฉันก่อน”
“คุณจะเอาไปทำไม” เพลิงมองมือขาวเนียนของเธอที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
“ฉันจะได้สแกนบัตรนาย ส่งให้ฝ่ายบุคคลบริษัทไงเล่า” แพนขึ้นเสียงอย่างรำคาญเมื่ออีกฝ่ายเรื่องเยอะ ทำเหมือนเธอจะมาหลอกเขาอย่างนั้นแหละ ดูสภาพเขามีอะไรให้เธอหลอกกัน
เธอยื่นมือรอ ทั้งจ้องมองเขาอย่างอดทน เพลิงค้นกระเป๋ากางเกงหยิบบัตรออกมาให้ แพนดึงบัตรประชาชนออกจากมือเขามาสแกนเอกสารในไอแพด
ปภาวิน ภักดีสินธุ์ เกิดปี 25XX
แพนคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาคงเด็กกว่าเธอ แล้วก็จริงอย่างที่คิด หมอนี่อายุแค่สิบเก้าเท่านั้นเอง
“นายเรียนอยู่หรือเปล่า”
“ผมเรียนจบมอสามมาได้ก็บุญแล้ว” คนตอบยักไหล่ด้วยท่าทางไม่แยแส
“ตอนนี้นายทำงานถ่ายรูปอย่างเดียวเลยเหรอ”
“ผมทำงานไปด้วย เรียนการศึกษานอกโรงเรียนไปด้วย”
“อ๋อ” เธอรับคำเสียงเบาในลำคอ ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
“อะ” แพนยื่นบัตรประชาชนคืนให้เขาเมื่อสแกนเสร็จ
“นายต้องเซ็นสัญญาทำงานที่ช่องอย่างน้อยหนึ่งปี ปกติบริษัทของพ่อฉันจะไม่รับคนที่คิดจะเข้ามาแล้วออกเร็วเพราะขี้เกียจสอนงานใหม่ ส่วนค่ากล้องที่ฉันชดใช้ค่าเสียหายแทน ฉันจะหักจากค่าจ้างนาย"
เพลิงพยักหน้า “ขอบคุณครับ”
“อีกเรื่อง ฉันอายุมากกว่านาย” อยู่ดีๆ เธอก็เปลี่ยนเรื่อง ทำให้เพลิงต้องตั้งใจฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อ
“ต่อไปนายเรียกฉันว่าพี่” คนที่อายุมากกว่าชี้มือเข้าหาตัวเอง เขาพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“แล้วจะให้ผมเรียกเจ้คนนี้ว่าพี่ด้วยหรือเปล่า” คำว่าเจ้คนนี้ เขาเหลือบตามองคนที่นั่งข้างเธอเร็ว ๆ ก่อนจะตวัดสายตากลับมา เป็นท่าทางกวนประสาทที่สุดในสายตาอ๋อม
“เรียกฉันว่าคุณอ๋อม”