4
“ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ”
แม้เขาจะหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง แต่เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจากระทบกระทั่ง โดยเฉพาะคำว่า ‘โจร’
“ขอโทษนะคะ หนูไม่ใช่โจรค่ะ แค่เห็นว่าทางร้านรับสมัครพนักงานเลยเข้ามา”
“ฉันว่าเธอเป็นโจรเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามทำเอาคนตัวเล็กไปไม่ถูก “ฉันแค่ตำหนิลูกน้อง จะรีบร้อนตัวไปทำไม”
อัสมาได้แต่บ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ แม้แต่จะขออนุญาตออกจากร้านปากเธอยังไม่ยอมขยับ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าโมโห ความจริงแล้วไม่น่าคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอสมควรแล้ว จึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน ก่อนจะค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วพยายามทำตัวลีบเพื่อเดินออกไปด้านนอก
“เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยขัดการก้าวเดิน เธอจึงหันไปมองอย่างตั้งคำถาม “จะสมัครงาน?”
“ค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว ร่างบางสลัดทุกเรื่องที่ผ่านมาทิ้งไปแล้วระบายยิ้มให้คนตรงหน้า “หนูทำได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถนัดที่สุดคือร้องเพลง”
“แล้วร้านนั้น”
คำถามที่อีกฝ่ายยิงเข้ามาจังๆ ทำให้คนตัวเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง เขาจำเธอได้อย่างนั้นหรือ ก่อนที่จะพยายามสลัดความคิดอื่นทิ้ง ตอนนี้เธอต้องการแค่เงินที่ดีกว่าเดิม เธอไม่ยึดติดกับสถานที่ ที่ไหนจ่ายได้ดีกว่าก็พร้อมเลือก คนเราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองอยู่แล้ว และสิ่งที่ดีที่สุดของอัสมาคือเงิน
“ถ้าที่นี่เงินดีกว่า หนูก็แค่ลาออกจากที่นั่นค่ะ”
“เท่าไร” เธอเลิกคิ้วใส่ เขาทำหน้าเอือม “ทำที่นั่นได้เท่าไร”
เธอขานรับในลำคอแล้วพยักหน้าเมื่อเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายถาม “ตอนร้องเพลงที่นั่นได้วันละหนึ่งพันจากเจ้าของร้านค่ะ และมีทิปแยกจากลูกค้า”
“ถ้าเธอมา วงของเธอจะมาด้วยหรือเปล่า”
“หนูไม่มีวงค่ะ พวกพี่ๆ เขาทำที่นั่นมาก่อน หนูเพิ่งเข้ามาได้แค่ไม่กี่เดือน ก่อนหน้านี้เขามีนักร้องประจำอยู่แล้วแต่มีเรื่องให้นักร้องถอนตัวไป หนูเลยเข้าไปร้องแทนค่ะ”
ปราชญาธิปพยักหน้ารับ แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้าหล่อนแต่ยอมรับว่าเสียงมีเสน่ห์ คงมัดใจลูกค้าได้ ที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อกิจการของวรัสยาจะได้ไปได้ดี “แล้วถ้าฉันอยากจ้างสามคนนั้นด้วย จะมากันไหม”
หญิงสาวมีท่าทีคิดไม่ตก เพราะเจ้าของร้านที่เธอทำอยู่ก็เป็นขาใหญ่ของพื้นที่ ถ้าคนตรงหน้าดึงวงดนตรีที่อยู่มานานของตัวเองไปหมด เขาจะไม่โกรธเอาหรือ อาจจะดูมั่นอกมั่นใจไปสักหน่อย แต่เพราะตัวเธอเองก็มีคนชื่นชอบอยู่บ้าง หากเปลี่ยนร้านคงมีลูกค้าตามมาฟังเสียงเธออย่างแน่นอน เป็นเช่นนั้นแล้วอาจจะสร้างความไม่พอใจให้แก่คณพศได้
“ร้านนั้นเป็นร้านของ ‘เสี่ยพลุ’ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักหรือเปล่าคะ” เขาส่ายหน้า “จะว่ายังไงดีล่ะคะ เหมือนเป็นผู้มีอิทธิพลในเขตนี้น่ะค่ะ พี่ๆ ทั้งสามเขาอยู่ที่นั่นมานาน ไม่รู้จะมาหรือเปล่า หรือถ้ามาหนูก็ไม่รู้ว่าเสี่ยพลุกับคุณจะมีปัญหากันไหม ถ้ามีแล้วคงยุ่งน่าดู แต่ถ้าให้หนูหาวงอื่นมา หนูหาไม่ได้หรอกค่ะ
“...”
“ถ้าอย่างนั้นขอตัวนะคะ”
“สรุปว่าจะไม่ทำ” เขาแค่นหัวเราะ “ก็แล้วจะเข้ามาหางานในนี้แต่แรกทำไม ไปอยู่กับเสี่ยพลุอะไรของเธอโน่นไป”
เขาแค่หยั่งเชิงว่าอีกสามคนจะมาได้หรือไม่ ไม่ได้บอกสักคำว่าถ้าพวกนั้นไม่มาจะไม่รับเธอเข้าทำงาน แต่คิดเองเออเองเก่งก็ให้อยู่ที่เดิมไป ไหนยังท่าทีขี้ขลาดตาขาวกลัวไม่เข้าเรื่องนั่นอีก หงอเหมือนลูกหมาตกน้ำ ถึงว่าเขาไม่รู้สึกถึงความถูกชะตากับเธอเลยสักนิด เขาไม่ชอบคนที่มีชีวิตอยู่กับความกลัว กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการย้ายงานยังกลัวจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ ก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตให้คนอื่นพอใจไปตลอดแล้วกัน
อัสมาเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะเดินออกจากร้านไป รู้สึกหน้าชาที่ถูกไล่โต้งๆ เช่นนี้ ทิ้งให้ชายหนุ่มมองตามพลางส่ายหน้าน้อยๆ “คนเสียงดีมีเยอะแยะ” พูดกับลมฟ้าอากาศก่อนจะหันไปทางลูกน้องคนสนิท “สรุปไอ้ดินมันไปไหน ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องที่มันมาเปิดร้านทิ้งไว้นะ เกิดร้านผักกาดเสียหายกูจะให้มันรับผิดชอบให้เข็ด”
ระหว่างที่เจ้านายของเขาเค้นข้อมูลจากหญิงสาวเมื่อครู่ ชยางกูรก็รีบส่งข้อความไปหาหนุ่มรุ่นน้องที่บังอาจทิ้งร้านไว้ ได้ความว่า “ไอ้จัดให้มันไปช่วยที่เต็นท์ครับ”
“จะผ่านไปนานแค่ไหนกูก็ยังเหม็นขี้หน้ามันว่ะ”
แม้จีรกิตติ์จะอยู่ในฐานะน้องเขย แต่ปราชญาธิปก็ยังไม่ยอมโอนอ่อนง่ายๆ ทว่าปากกับการกระทำมักจะตรงกันข้ามเสมอ ปากว่าอย่างแต่ประเคนให้สารพัด
“ว่าแต่นายรู้จักผู้หญิงคนเมื่อกี้ด้วยเหรอครับ”
ในวันที่เจอกันวันแรกที่โรงแรม ลูกน้องของเขารออยู่ด้านนอก เจอกันวันที่สองที่ร้านเหล้า เขาไม่ได้พาใครไป ไปกันแค่ตัวเขา สิปปกรและธนบดีเท่านั้น ไม่แปลกที่จะไม่มีใครรู้ว่าเขารู้จักกับเธอ แต่จะใช้คำว่ารู้จักก็เกินขอบเขตความเป็นจริงไปหน่อย
“แค่เคยเจอผ่านตา ไม่ได้รู้จัก”
สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงต้องทำงานที่เดิมและไม่เคยคิดอยากย้ายไปทำที่ร่ำเมรัยอีกเลยเมื่อเจอเจ้าของไล่ไปครั้งนั้น เขาคือของแรงสำหรับเธอวันยังค่ำ ชื่อแซ่อะไรก็ไม่ยักจะรู้จัก แต่หลังจากทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างดูแล้ว ไม่รู้จักเป็นการดีที่สุด ชีวิตเธอยุ่งเหยิงด้วยตัวของมันเองแล้ว อย่าเอาตัวเองไปใกล้คนพรรค์นั้นอีกเลย
ร่างบางเดินคอตกออกจากร้านอาหารเพื่อไปทำงานที่ร้านเหล้าต่อ วันนี้เป็นวันที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้คู่กรณี บัญชีของเธอจึงเบาหวิวจนแทบจะลอยไปกับลม แต่จะทำอย่างไรได้ จะหนีปัญหาไปน้องๆ อีกสองคนก็ต้องรับผิดชอบแทน ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ไม่อาจผลักภาระไปที่เด็กแฝดได้
ขาเสลาก้าวเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง ทว่าเสียงโทรศัพท์กลับเรียกความสนใจให้ต้องหยุดเดินแล้วคว้ามันขึ้นออกมาจากกระเป๋าผ้าราคาถูก สายที่โทร. เข้ามาเป็นเจ้าของร้านซักอบรีดที่อยู่เยื้องๆ กัน อัสมาขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีธุระอะไรกับตน ยิ่งในเวลามืดค่ำเช่นนี้แล้วด้วย ทว่ามือบางก็เลื่อนไปกดรับสายเพราะก่อนจะโอนเงินก็เห็นว่าอีกฝ่ายโทร. มาแต่เธอไม่สะดวกโทร. กลับ
(อัส เราอยู่ไหนน่ะ เลิกงานหรือยัง)
เสียงที่ฟังดูร้อนรนของปลายสายทำให้เธอยิ่งสงสัยและร้อนใจไปด้วย กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับคนที่บ้าน “เลิกแล้วค่ะ แต่กำลังจะไปร้องเพลงต่อ ป้าน้อยมีอะไรหรือเปล่าคะ”
(มีสิ ป้าโทร. ไปหาเราตั้งแต่บ่ายๆ เราก็ไม่รับ)
“ทำงานน่ะค่ะ ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย ปิดเสียงไว้ด้วย แล้วสรุปว่ามีเรื่องอะไรเหรอคะ หรือว่าแม่หนู-”
(ไม่ใช่ๆ) ปลายสายรีบปฏิเสธ (ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแม่เราหรอก แต่เกี่ยวกับเรานั่นแหละ ไปทำอะไรมาพวกมันถึงได้มาทำแบบนั้นกับร้านเรา ป้าก็พอจะรู้ว่าเราต้องดิ้นรนเพราะภาระเยอะ แต่เราก็รู้ไม่ใช่เหรออัสว่าพวกเก็บเงินกู้มันโหด)
คนฟังขมวดคิ้วหลังฟังอีกฝ่ายพูดจบ “เดี๋ยวนะคะป้า ป้าหมายถึงอะไร หนูไม่ได้ไปกู้เงินใครสักบาทเลย”
(ถ้าไม่กู้แล้วมันจะมาเก็บเงินที่บ้านเราทำไม ป้าเห็นมาหลายวันแล้ว ยังพูดกันอยู่เลยว่าเราน่าจะหมุนเงินไม่ทัน แต่มันไม่เสี่ยงเกินไปเหรอ วันนี้ได้รู้ฤทธิ์ของพวกมันแล้วจริงๆ เราก็รีบกลับมาดูร้านเถอะ พังหมดแล้ว ป้าวางนะ)
หญิงสาวได้แต่พูดลอยๆ ไปว่า อะไรวะ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ใจนึกห่วงว่าป้าแกพูดอะไรเป็นตุเป็นตะ แต่ก็ใกล้ถึงเวลาเข้างานเต็มที ให้ย้อนไปย้อนมาคงเข้างานสาย เดี๋ยวจะเป็นปัญหาของพวกพี่ๆ โดยใช่เหตุ จึงพาตัวเองไปที่ร้านเหล้าแล้วเริ่มร้องเพลงอย่างที่ทำเป็นประจำ
ฝ่ามือหนาพาดลงบนลาดไหล่ “ทำไมทำหน้าแบบนั้น มีอะไรเล่าได้นะ” หลังลงจากเวทีชิตวรก็เอ่ยถามหลังเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของรุ่นน้อง และรู้สึกตั้งแต่ตอนอัสมาเดินเข้ามาในร้านแล้ว เพียงต้องการให้งานในค่ำคืนนี้จบลงไปก่อนแล้วจึงเอ่ยถาม
ด้านคนถูกถามแค่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก่อนจะขอตัวกลับบ้านเพื่อไปพิสูจน์ว่าสิ่งที่เจ้าของร้านซักอบรีดโทร. มาบอกนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เธอทำงานสายตัวแทบขาดไม่เคยไปหยิบยืมจากใครเลยสักแดงเดียว เหนื่อยยากแค่ไหนก็กัดฟันทน แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้เธอเหนื่อยมากกว่าเดิม โต๊ะที่นั่งสำหรับลูกค้าพังไม่เป็นชิ้นดี เพราะเป็นแค่โต๊ะพลาสติก เท่าที่ดูมันไม่เหลือดีเลยสักตัว ตู้กระจกที่ใส่ของสำหรับวัตถุดิบทำโจ๊กถูกตีจนละเอียด เธอไม่สามารถพูดได้ว่าอะไรที่พังไป แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่พังคือไฟที่ให้แสงสว่างอยู่ในตอนนี้ที่ยังอยู่ดี
เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับร้านของเธอ!
อัสมาควบรถและขับเข้าไปจอดในบริเวณบ้านอย่างไม่รอช้า เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เปิดไฟจนสว่างโร่ แม่หลับไปแล้ว ป้าติ๋มก็เช่นกัน ทว่าตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลฟกช้ำ หากไม่รู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเธอคงข่มตาหลับไม่ลง หรือถึงรู้แล้วจะหลับลงหรือไม่ก็ไม่อาจหยั่งรู้
“ป้า ป้าติ๋ม” เรียกแค่ไม่กี่คำอีกฝ่ายก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ก่อนจะหลุดปากร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เห็นอย่างนั้นเธอจึงเข้าไปช่วยพยุง “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ ทำไมร้านของหนูกับตัวป้าถึงมีสภาพแบบนี้”
หญิงวัยกลางคนมีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะยอมเอ่ยปากเล่าอย่างไม่ปิดบังว่าตนได้ไปกู้หนี้รายวันจากพวกที่ปล่อยเงินกู้เพื่อเอาเงินมาซื้อไอแพดให้อุสิชา แต่เพราะเป็นการกู้ครั้งแรกยอดที่กู้ได้จึงไม่พอกับความต้องการซึ่งก็คือหนึ่งหมื่นห้าพัน จึงโกหกไปว่าตนเปิดร้านโจ๊กและให้เพื่อนที่ให้นามบัตรเป็นคนค้ำประกันว่าเป็นร้านของเจ้าตัวจริงๆ ด้านเพื่อนนั้นเคยกู้มาหลายครั้ง ฝ่ายนั้นจึงยอมให้กู้ในยอดที่มากกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับครั้งแรก แต่เพราะต้องส่งวันละหลายร้อยบาท สุดท้ายจึงส่งไม่ไหว พอไม่มีส่งพวกนั้นจึงอาละวาดทุบตีทำร้ายข้าวของที่คิดว่าเป็นของลูกหนี้
อัสมานิ่งงันไปก่อนจะยกมือมาลูบหน้า ช่วงนี้เธอคงหาเงินมาซื้อของแทนที่พังไปไม่ได้เพราะเพิ่งจ่ายค่าชดเชยไป และไหนยังค่าอื่นๆ ที่จ่อกันมาไม่เว้นว่าง
หญิงสาวหัวเราะราวเป็นเรื่องขบขัน “สงสัยสวรรค์อยากให้หนูพัก ไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามาขายโจ๊ก”
“ป้าขอโทษนะอัส ป้าจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะให้รีดเอาจากเจ้าหล่อนก็เหมือนรีดเลือดปู “หนูหาทางเองดีกว่า ป้าพักผ่อนให้หายเถอะค่ะ ว่าแต่ดูแลแม่หนูไหวใช่ไหมคะ เจ็บแบบนี้” คู่สนทนารีบพยักหน้าเพราะกลัวจะตกงาน “ส่วนเรื่องโจ๊กคงยังกลับมาขายในเร็วๆ นี้ไม่ได้เพราะหนูไม่เหลือทุนแล้ว เงินเดือนส่วนนี้ของป้าหนูคงต้องงดไปก่อนเพราะไม่ได้ทำ โอเคใช่ไหมคะ ส่วนเรื่องที่มันทำกับป้าและร้านของหนู หนูคงไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ พรุ่งนี้เราจะเข้าไปแจ้งความกันนะคะ เดี๋ยวหนูลางานไว้ก่อน”
“ถ้าแจ้งความมันจะไม่เป็นเรื่องใหญ่เหรอหนูอัส”
“ตอนนี้มันก็ใหญ่แล้วค่ะ มันทำเครื่องมือหากินของหนูพัง และรายได้ของหนูจะลดลงทั้งๆ ที่รายจ่ายมีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน”
“ป้าหมายถึงว่ามันจะไม่เป็นอันตรายกับหนูเหรอ”
อัสมาไหวไหล่เล็กน้อย “ช่วยไม่ได้นี่คะ ถ้ายอมจะมีอะไรพังอีก แต่ถ้ามันจะต้องพังจริงๆ หนูไม่ยอมพังฝ่ายเดียวหรอก ว่าแต่ป้าทำแผลเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ พรุ่งนี้เราจะไปโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยไปโรงพัก ตามนี้นะคะ”
ทันทีที่เดินเข้ามาถึงในห้องนอนเธอก็กรี๊ดแบบไม่มีเสียงออกมาทันที ใช่ว่าจะไม่โกรธป้าติ๋ม แต่มันทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ชีวิตเธอยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสายไฟแล้วเจ้าหล่อนเป็นใครมาสร้างความวุ่นวายเพิ่ม แต่ก็ได้แค่ตีอกชกลมเงียบๆ คนเดียว ก่อนจะพยายามรวบรวมสติแล้วหายใจเข้าและออกอย่างช้าๆ มือบางคว้าโทรศัพท์เครื่องบางมาถือไว้ก่อนจะตัดสินใจกดโทร. ออกหาคนที่คิดว่าสนิทที่สุด ณ เวลานี้
“พี่ศิลป์ พี่นอนยังคะ” เอ่ยถามทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
(อะไรกัน เพิ่งจะแยกกันเมื่อกี้จะให้พี่เอาเวลาไหนไปนอน)
คำตอบนั้นทำให้เธอโล่งอกเพราะเกรงว่าจะโทร. ไปรบกวนอีกฝ่าย “พอดีมีเรื่องอยากให้ช่วยนิดหนึ่งน่ะค่ะ ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรนะคะ”
(ช่วยได้ เรื่องอะไร)
“ที่บ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยค่ะ พรุ่งนี้หนูเลยต้องไปโรงพยาบาลแต่ไม่มีใครอยู่กับแม่ หนูฝากแม่ไว้กับพี่สักพักได้ไหมคะ แล้วจะรีบกลับมาค่ะ”
(ได้ กี่โมง) อัสมาตอบคำถามด้วยความเกรงใจเพราะจะไปโรงพยาบาลหากสายก็กว่าจะได้ตรวจ เธอจำเป็นต้องไปให้เช้าที่สุดเพื่อที่จะได้คิวแรกๆ (ไม่ต้องห่วง พี่ตื่นไหว หกโมงเดี๋ยวไปถึงบ้าน มาเปิดให้ละกัน แล้วทำไมเราถึงต้องไปโรงพยาบาล มีเรื่องอะไร)
อัสมาเงียบไป เธอไม่อยากพูดแต่ใจหนึ่งก็ต้องการระบายความอึดอัดออกจากจิตใจบ้าง และชิตวรก็ยินดีรับฟัง จึงเปิดปากเล่าออกไป เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องแบกมันไว้คนเดียว
(โห แย่ว่ะ แล้วจะเอาไง จะจ้างต่ออีกเหรอป้าคนนั้นน่ะ)
“เขาก็ช่วยหนูดูแลแม่มานาน ทำได้ดีด้วยในเรื่องนี้ ดูแลผู้ป่วยติดเตียงไม่ใช่งานง่ายๆ น่ะค่ะ หาคนทำยากด้วย ไว้ใจใครก็ยาก เลยคิดว่าต้องผ่านเรื่องนี้กันไปให้ได้ ป้าเขาก็ทำเพราะความจำเป็น จริงๆ แล้วมันเป็นความผิดของพวกนั้นต่างหาก หนูถึงต้องไปแจ้งความ”
(อืม ระวังตัวไว้ด้วยนะ มีอะไรไม่ชอบมาพากลบอกพี่ได้เลย อย่าเกรงใจ เข้าใจไหม พรุ่งนี้เจอกัน)
ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีซ่อนอยู่ เธอยังเจอมิตรภาพหลากหลายรูปแบบให้พึ่งพิงในยามลำบาก