บท
ตั้งค่า

5

ในเช้าวันนั้นเธอก็หัวหมุนไปกับธุระทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลและโรงพัก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆ ซึ่งนั่นทำให้อัสมารู้สึกเกรงใจชิตวรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงมันเร่งไม่ได้เลย และเรื่องราวก็ซับซ้อนจนน่าปวดหัว ทั้งๆ ที่แจ้งความไปแล้วแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีความคืบหน้าหรือเอาผิดใครได้บ้าง เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคนมีเงินและมีอิทธิพล เธอมันแค่คนตัวเล็กๆ ในสังคม พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียง

“ขอบคุณมากนะคะพี่ศิลป์ที่ช่วยดูแลแม่หนู หนูคิดว่าจะได้กลับมาไวกว่านี้ ขอโทษนะคะ อันนี้หนูแวะซื้อมาฝากค่ะ เผื่อพี่ยังไม่ได้กินอะไร” ว่าพร้อมกับยื่นกล่องข้าวให้ ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด

รอยยิ้มอันอบอุ่นของอีกฝ่ายปรากฏบนใบหน้า “ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่หิวเท่าไร แต่ได้กินก็ดี เราล่ะ กินอะไรมายัง” อัสมาส่ายหน้า เธอกินอะไรไม่ลง วันทั้งวันได้ดื่มแต่น้ำเปล่า “ไปกินด้วยกัน กล่องนี้แหละ เราเหลือตัวนิดเดียวแล้วนะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า”

“พอรู้ค่ะ แต่พี่กินเถอะ”

“พี่พูดในฐานะคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา จะไม่ตอบแทนพี่เหรอ”

เมื่อโดนมัดมือชกอัสมาจำเป็นต้องตอบตกลง เธอดูความเรียบร้อยของผู้เป็นแม่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไปนั่งยังโต๊ะหินอ่อนที่อยู่ด้านนอก พอนั่งลงก็เผลอถอนหายใจเพราะมุมนี้สามารถเห็นร้านได้เป็นอย่างดี ร้านขายโจ๊กที่เละเป็นโจ๊ก โจ๊กสมชื่อ

“หนักเหมือนกันนะ”

เธอพยักหน้ารับ “ช่วงนี้คงหยุดขายไปก่อนค่ะ สะสางเรื่องให้มันจบก่อน แต่หนูไม่รู้จริงๆ ว่าจะจบยังไง ตำรวจจะทำงานกันหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ”

หลังช่วยกันจัดการข้าวกล่องจนหมดอัสมาก็บอกให้ชิตวรกลับบ้านไปก่อนเพราะเจ้าตัวน่าจะต้องการพักผ่อนอีกสักหน่อยก่อนจะไปทำงานช่วงประมาณสองทุ่ม ซ้ำยังส่งธนบัตรสีแดงให้สามใบถือเป็นค่าตอบแทนที่อีกฝ่ายอุตส่าห์มาอยู่ดูแลแม่ให้ แต่ชิตวรไม่รับ เขาทำด้วยใจ อัสมาเหมือนน้องสาวคนหนึ่งของเขา เวลาเห็นอีกฝ่ายมีปัญหา อะไรที่พอช่วยได้ก็อยากช่วย อย่างเช่นเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาสามารถช่วยเหลือได้ จะให้รับเงินมามันก็น่าละอายไปหน่อย ยิ่งในช่วงที่อัสมาเจอแต่ปัญหาเช่นนี้ด้วยแล้ว เขามีแต่จะคิดช่วยเหลือ

“เรานั่นแหละ เหนื่อยมาทั้งวัน ไปพักเถอะ เจอกันที่ร้านนะ”

อัสมารับปากรุ่นพี่ ทว่าคล้อยหลังชิตวรเธอกลับไม่ทำเช่นนั้น แต่เลือกที่จะเดินมาด้านหน้าแล้วเก็บกวาดเท่าที่ทำได้ หลักฐานต่างๆ ส่งให้ตำรวจหมดแล้ว และคงปล่อยให้สภาพเป็นอย่างนี้ไม่ได้ มันดูไม่ดีเกินไป แต่เก็บไปได้สักพักพอให้เหงื่อออกก็มีคนมาใหม่เดินเข้ามาหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เธอไล่สายตามองตั้งแต่เท้าจนถึงใบหน้าที่คุ้นเคย ก่อนจะวางมือจากของที่เก็บกวาดอยู่แล้วเอ่ยทักทายอีกฝ่าย

“โรงเรียนเลิกแล้วเหรอคะครูก่อ”

ชายหนุ่มระบายยิ้มพร้อมพยักหน้า ทว่าครู่เดียวใบหน้าก็เปลี่ยนสี แววตาไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย “มันเกิดอะไรขึ้นครับ แล้วอัสเป็นอะไรไหม เมื่อเช้าผมมาที่ร้านแต่เห็นว่าทุกอย่างพังหมดเลย หรือที่มีคนพูดกันว่าร้านโดนพังเพราะพวกนั้นก็เรื่องจริงเหรอครับ”

เธอไม่อาจปฏิเสธข้อกล่าวหาจึงพยักหน้ารับ ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจแล้วเข้ามาช่วยอย่างไม่อิดออด “ที่จริงถ้าอัสมีปัญหาเรื่องเงินมาคุยกับผมก่อนก็ได้ ถึงผมจะไม่ได้รวยแต่ถ้าเป็นอัส ผมอยากช่วยนะ แล้วนี่จะเอายังไงครับ ต้องคืนมันอีกกี่บาท เดี๋ยวเอาที่ผมก่อนก็ได้ ไว้ค่อยทยอยคืนผมเรื่อยๆ ผมไม่รีบ แต่ไม่อยากให้หาทางออกแบบนี้ สุดท้ายแล้วมันจะเป็นอันตรายกับอัสเอง”

สถานการณ์ที่เจออยู่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์ แต่คนตรงหน้าและมิตรภาพของเขาทำเธอยิ้มออก

“ไม่ใช่อย่างที่ครูคิดหรอกค่ะ อัสไม่ได้ไปกู้หนี้ยืมสินใคร มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเฉยๆ ป้าติ๋มเขาต้องใช้เงินแล้วพวกนั้นดันเข้าใจว่านี่คือร้านของป้าแก เลยพังไม่เหลือชิ้นดี แต่อัสไปแจ้งความเรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนเรื่องเงินที่เหลือก็บอกป้าไปแล้วว่าไม่ต้องจ่าย มาทำกันขนาดนี้จะให้จ่ายให้มันอีกก็น่าเจ็บใจเกินไปนะคะ ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้ตำรวจลากคอมันมาเข้าคุกให้ได้” เธออธิบายพอสังเขปเพื่อให้คนคิดมากคลายกังวล “แต่ยังไงก็ขอบคุณเรื่องที่คิดจะช่วยเหลือกันนะคะ แต่อัสภาระเยอะแล้ว ถ้าไปยืมเงินใครจะยิ่งรัดตัว เดี๋ยวจะไม่ไหวเอาน่ะค่ะ อีกอย่างถ้าอยากเป็นเพื่อนกันอย่าให้มีเรื่องเงินมาเกี่ยวกันดีกว่า เดี๋ยวจะเสียเพื่อนหมดนะคะ”

นิธิศแค่ยิ้มรับเท่านั้น...ใครอยากเป็นเพื่อนกัน

แล้วทั้งสองก็ง่วนอยู่กับการเก็บของให้เป็นที่เป็นทาง มีพูดคุยกันบ้างเพื่อสร้างบรรยากาศ หลังเสร็จเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายกันไปตามทาง อัสมาต้องเตรียมตัวไปทำงาน เธอดูความเรียบร้อยของทั้งแม่และป้าติ๋มก็เห็นว่าไม่มีอะไรน่าห่วง อาการของเจ้าตัวไม่ได้รุนแรงมากนัก เพราะที่รุนแรงคือร้านของเธอต่างหาก เล่นเสียยับจนไม่มีชิ้นดี

หญิงสาวรีบจัดการตัวเองก่อนจะไปถึงร้านในเวลาสองทุ่ม ยังมีเวลาเหลือเฟือ แต่เธอไม่ใช่คนแรกที่มาถึง ภวิศนั่งซ้อมกีตาร์อยู่โดยไม่รับรู้ถึงการมาของเธอด้วยซ้ำ จนต้องยื่นมือไปสะกิด ชายหนุ่มถึงได้ละสายตาจากเครื่องดนตรีแล้วหันมามองรุ่นน้องในวง เขาระบายยิ้มออกมา “วันนี้มาไวจัง”

“ก็วันนี้หนูลางานที่ร้าน พอทำอะไรเสร็จก็เลยรีบมา”

เขาพยักหน้าขึ้นลงเพื่อบอกว่ารับรู้ “แล้วเป็นไงบ้าง เรื่องที่บ้าน”

“พอจะจัดการได้ค่ะ แล้วทำไมพี่พร้อมมาไวแบบนี้ล่ะ หนูคิดว่าตัวเองมาคนแรกเสียอีก”

“ว่างๆ เลยมาซ้อมไปพลางๆ”

อัสมายิ้มรับก่อนจะเริ่มชวนคุย “เห็นร้านที่เปิดใหม่ไหมคะ ร่ำเมรัย” ชายหนุ่มตอบคำถามด้วยความสัตย์จริงเพราะเกิดกระแสในหมู่วัยรุ่นจนแห่กันไปที่ร้านนั้น มีหรือที่จะไม่รู้จัก “วันนั้นหนูนึกอะไรไม่รู้เลยแวะไปดู เห็นว่ารับสมัครพนักงาน พอดีว่าอยู่ใกล้บ้านด้วย แต่ก็ไม่ได้สมัคร”

“ทำไม”

“ไม่มีงานที่เหมาะน่ะค่ะ” ภวิศขมวดคิ้วมองหญิงสาว “พอดีหนูเสนอจะเป็นนักร้อง แต่ไม่มีวง เพราะพี่ๆ คงไม่ไป ก็เลยไม่ได้สมัคร”

เขาครางรับในลำคอ “พี่ไม่ไปหรอก อยู่ที่นี่มาตั้งนาน ไม่อยากมีปัญหากับเสี่ยพลุ เดี๋ยวมองหน้ากันไม่ติดแล้วอยู่ยาก”

เธอไม่ได้ตอบอะไร แค่นั่งดูรายชื่อเพลงที่ตนจะต้องร้องในค่ำคืนนี้ เมื่อทุกคนมาครบและถึงเวลาก็พากันเดินไปยังบนเวที ลูกค้าในร้านบางตาอย่างเห็นได้ชัด เดาได้ไม่ยากว่าร่ำเมรัยดึงดูดลูกค้าของร้านแห่งนี้ไปเรียบร้อยแล้ว และเธอค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะยังไม่หยุดแค่นี้ แม้ว่าทางนั้นไม่ได้ตัววงดนตรีประจำร้านไป แต่การดึงลูกค้าไปได้เช่นนี้ก็คงทำให้คณพศเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ มีคู่แข่งทางการค้าเพิ่มขึ้นมาเป็นหนามแทงใจใครจะใจเย็นอยู่ได้ และถ้ายังนิ่งเฉยเกรงว่าคนจะไหลไปจนหมด เป็นเช่นนั้นเธอเองก็คงเดือดร้อน

ให้หลังการแจ้งความสามวัน ไม่ยักจะมีความคืบหน้าใดๆ แต่น่าแปลกที่ป้าติ๋มบอกว่าไม่มีใครมาทวงเงิน เธอได้รับการยืนยันจากป้าน้อยที่อยู่เยื้องๆ กันว่าไม่มีใครมาที่บ้านจริงๆ นั่นทำให้อัสมานึกสงสัย จะว่าดีมันก็ดี แต่มันนิ่งเกินไป เหมือนคลื่นใต้น้ำ การที่เธอไปแจ้งความก็ไม่ใช่ข่าวใหญ่โตที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ซ้ำยังรู้กันแค่ไม่กี่คน แต่อยู่ๆ คนที่ต้องการทวงเงินจนต้องใช้วิธีพังข้าวของกลับไม่มาหลังจากวันที่เธอแจ้งความไป คงไม่ใช่ว่ามีสายเป็นตำรวจหรอกกระมัง ถ้าใช่จะหายสงสัยว่าทำไมคดีถึงไม่คืบหน้า

ลูกค้าในร้านบางตากว่าเมื่อวาน แต่เธอมีหน้าที่ร้องเพลง ต่อให้มีลูกค้าแค่คนเดียวก็ต้องร้อง และเพราะปริมาณคนไม่มากนัก วันนี้เธอไม่ได้ทิปสักบาท ร่ำเมรัยเล่นเธอแล้ว เป็นแบบนี้ต่อๆ ไปเธอคงลำบาก โจ๊กก็ขายไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่ได้ทิป ทุกวันนี้มีรายได้แค่สามทางคือร้านอาหาร ร้องเพลงและขายแซนด์วิช งานนอกอื่นๆ ญานิษาก็ไม่ติดต่อมาเลย เดือนนี้จะพอใช้จ่ายหรือไม่เธอไม่อยากจะคิดให้ปวดหัว

อัสมาหอบความกังวลกลับบ้าน ระหว่างทางต้องขับผ่านร่ำเมรัย เห็นจำนวนรถราจอดอยู่แล้วก็ได้แต่นึกเสียดายที่วันนั้นไม่สามารถคว้างานที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้นการเงินคงคล่องมือกว่านี้ เธอได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดแล้วหันมาสนใจถนน แต่ผ่านมาได้ครู่สั้นๆ ก็มีรถบิ๊กไบค์เคลื่อนมาอยู่ใกล้ๆ

“อย่ามาเบียดกันนะเว้ย นี่ก็อยู่ไหล่ทางแล้ว” อัสมาพูดกับลมฟ้าอากาศเพราะเห็นว่าเจ้ารถคันใหญ่มันจี้ตัวเองอยู่ ก่อนที่มันจะค่อยๆ ขึ้นมาขนาบข้าง ตอนนี้ถนนแทบไม่มีรถ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ใกล้เธอเลยสักนิด แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นฝ่าเท้าของคนที่ซ้อนท้ายก็ยื่นมาถีบตัวรถของเธอจนเสียหลักล้มลงข้างทาง เสียงหวีดร้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์เคลื่อนตัวออกไปอย่างไม่รอช้า

รถนอนแอ้งแม้งอยู่บนถนน ส่วนตัวเธอกลิ้งเข้าพงหญ้า ความเจ็บแล่นเข้ามาจนไม่อาจขยับตัวได้ แม้แต่จะคลานออกไปบนถนนให้คนมาช่วยยังเกินความสามารถ ได้แต่หวังว่าจะมีพลเมืองดีขับผ่านมาเห็นรถของเธอเกิดอุบัติเหตุและช่วยโทร. เรียกอาสากู้ภัยให้ คิดได้ดังนั้นเธอก็พยายามคลำหากระเป๋าผ้าของตัวเอง ทว่ามันไม่ได้อยู่ข้างตัว แต่มั่นใจได้เลยว่ามันต้องตกอยู่ใกล้ๆ รถมอเตอร์ไซค์ จึงได้แต่กัดฟันสู้แล้วขยับตัวออกจากพงหญ้าทั้งที่รู้สึกเจ็บ

แสงสว่างจากไฟทางพอช่วยให้เธอมองเห็นสิ่งรอบข้าง ได้เห็นว่าตามเนื้อตัวของตัวเองเต็มไปด้วยแผล วันนี้ช่างเลือกที่จะใส่กางเกงขาสั้นมาเสียด้วย ดวงซวยจริงๆ

ความเจ็บทำให้เธอร้องไห้ ได้แต่ก่นด่าชีวิตที่แสนจะบัดซบ แล้วก็คิดไปถึงเรื่องเมื่อครู่ว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่จะมีคนมาถีบเธอลงข้างทาง ต้องเป็นคนที่หมายหัวเธออย่างแน่นอน ซึ่งอัสมาไม่ได้มีอริมากนัก แต่ที่พอจะมีก็คงเป็นพวกแก๊งเงินกู้รายวันที่เพิ่งไปแจ้งความเอาผิดพวกมันมา

อัสมาจับนั่นโยงนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนมีรถคันหนึ่งถอยหลังมาจอดตรงหน้ามอเตอร์ไซค์ของเธอ หญิงสาวยิ้มออกทันทีเมื่อมีพลเมืองดีผ่านมาเห็น ประตูรถถูกเปิดออกก่อนจะมีผู้ชายสองคนเดินลงมา ต้องขอบคุณแสงสว่างจากไฟข้างทางที่ทำให้เห็นหน้าของคนเหล่านั้น ซึ่งเป็นคนที่เธอเคยเห็นมาแล้ว แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าก็มากพอให้จดจำ

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ...คุณ!” ทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่ายเขาก็จำได้ในทันที “ไอ้อาร์มโทร. เรียกกู้ภัยยัง”

อรัณย์รับคำก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เมื่อมีคนรับสาย เขาจึงรีบแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น หลังโทร. เรียบร้อยก็รีบเดินมาดูอาการ เขาเองก็จำเธอได้เช่นกัน

“หนูเจ็บขาค่ะ ขยับแทบไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นรอให้กู้ภัยมาก่อนแล้วกันนะครับ กลัวทำอะไรผิดแล้วจะเป็นเรื่อง” เธอตอบรับอย่างว่าง่าย “แค่ล้มไม่ได้ชนใช่ไหมครับ ไม่เห็นมีคู่กรณี”

“ไม่ใช่ทั้งสองค่ะ”

ด้านปราชญาธิปที่ได้รู้จากปากชยางกูรว่าใครเป็นผู้บาดเจ็บก็ได้แต่ส่ายหัว โลกก็ช่างเหวี่ยงแม่นี่มาให้เขาเจออยู่เรื่อย แต่ก็เลือกที่จะเปิดประตูแล้วเดินไปยังจุดเกิดเหตุ เห็นสภาพแล้วก็ไม่ได้อยากช่วยเหลืออะไร ยังพูดจ้ออยู่ได้แปลว่าไม่เจ็บหนัก ถ้าไม่ใช่เพราะชยางกูรเห็นรถล้มอยู่ข้างทางแล้วถอยหลังกลับมาเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาหยุดอยู่ตรงนี้ ป่านนี้หัวถึงหมอนนอนหลับไปแล้วกระมัง

“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปนอนเล่นข้างทางแบบนั้นล่ะ สนุกไหม”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel