3
บทเพลงได้พบเธอที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ อัสมาเก็บไมโครโฟนไว้ที่เดิมแล้วก้าวเดินลงจากเวที วันนี้ได้เงินจากการร้องเพลงทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อย ผนวกกับที่ไปทำงานที่โรงแรมก็เกือบสองพัน เธอระบายยิ้มให้กับตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเหนื่อย ก่อนที่มือกีตาร์อย่างภวิศจะเดินมาขนาบข้าง มือข้างหนึ่งถือวิสาสะพาดมาที่บ่าอย่างสนิทสนม
“ไง แต่งหน้าซะสวยเลยวันนี้”
สำหรับคนในวงดนตรีที่ร้านแห่งนี้ อัสมานับถือทุกคนเป็นพี่ และดูเหมือนว่าพี่ๆ ทุกคนก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง การกระทำของภวิศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนข้างกาย “ก็บอกแล้วว่าไปทำงานที่โรงแรมมา ไปหน้าสดๆ พี่แยมกินหัวตาย”
“อย่าโหมงานหนักมาก รู้ไหม พักผ่อนบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรจะหยิบยืมพี่หรืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะหวงกับเราสักหน่อย”
“อือ มีอะไรก็บอกพี่ได้ ช่วยได้จะช่วย” ชิตวรที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นบ้าง เจ้าตัวเป็นมือเบสประจำวง อายุเท่าภวิศคือยี่สิบแปด ต่างจากอัคภัทรที่เป็นพี่สุดเพราะอายุแตะเลขสามมาหมาดๆ
ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวคนเดียวของวงก็ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณ ทว่าเธอไม่มีความคิดที่จะหยิบยืมเงินของใครสักคน เพราะยิ่งสนิทกันก็ยิ่งต้องเกรงใจ คนเราจะคบหากันได้นานก็ต่อเมื่อไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง คนเหล่านี้เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานเท่านั้น จะขอความช่วยเหลือก็ดูจะเกินไปหน่อย ขนาดญาติๆ ของเธอยังไม่เคยหยิบยื่นสิ่งเหล่านั้นให้
ใช่ว่าไม่เคยขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพียงแต่ขอไปแล้วไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครเลยต่างหาก
คนที่ไม่ช่วยก็ไม่ผิด เธอเข้าใจดี แต่หากเอ่ยปากออกไปแล้วและไม่มีใครช่วย จะยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม เพราะเช่นนั้นแล้วต่อให้ลำบากอย่างไรก็จะพยายามยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ แม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ไม่รู้สึกสมเพชตัวเองที่แบกหน้าไปหาคนอื่น อย่างเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาที่กล้ายื่นข้อเสนอบ้าๆ ให้คนไม่รู้จัก และเธอไม่ได้สวยขนาดนั้น มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอมรับ
‘เด็กของฉัน... เธอฝันอยู่เหรอ’
พูดเพียงเท่านั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ อัสมาตัวชาดิก เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องถูกปฏิเสธ แต่ก็ยังอยากลองเสี่ยง เดิมพันกับชีวิตของตัวเองที่อาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาลหรือกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ และผลของมันก็คืออย่างหลัง
ทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้วแต่ลึกๆ ก็ยังแอบหวังว่าอีกฝ่ายจะเมตตาและเลี้ยงดูเธอให้ไม่ต้องลำบากอย่างทุกวันนี้ เขาคงจะรวยพอสมควร เศษเงินของเขาก็พอให้เธอได้ตั้งตัว และเธอไม่ได้คิดจะเป็นผู้รับฝ่ายเดียว เธอเองก็มีผลประโยชน์จะให้เขาเช่นกัน แต่พอไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ก็อดจะรู้สึกเสียใจและเสียหน้าไม่ได้ ทว่าก็ยังดีที่เลือกถามคนคนนี้ออกไป เพราะชีวิตประจำวันต่อจากนี้คงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีก ไม่เช่นนั้นเธอคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ถ้าไม่ใช่เพราะสุวพิชชามาเป่าหูเธอคงไม่คิดเรื่องแบบนี้เพราะเจียมตัวอยู่ตลอด ต่อไปเธอคงต้องยึดมั่นกับความขยันของตนเองเท่านั้น ไม่หาทางลัดอีกแล้ว
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าทั้งแม่และป้าติ๋มหลับไปแล้ว หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ มารดาแล้วก้มลงเพื่อหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างแสดงความรัก ต่อให้ต้องเหนื่อยกว่านี้อีกสักร้อยเท่าพันเท่าเธอก็จะยอมรับมัน เพื่อชีวิตที่ดีกว่านี้ของครอบครัวที่ยังเหลืออยู่และเพื่อชดใช้ความผิดให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
อัสมาอาบน้ำและเข้านอนไปพร้อมกับภาพในจินตนาการซึ่งใบหน้าของผู้ชายคนนั้นกลับเป็นสิ่งที่ฉายชัดราวกับว่าเจ้าตัวมาอยู่ตรงหน้า
“คุณอย่ามาเข้าฝันหนูเลย แค่นี้ก็อายมากแล้ว”
อัสมาได้รู้ซึ้งถึง ‘ของแรง’ ที่เธอเผลอไปเล่นด้วยแล้ว เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคของเขา น้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความดุดัน แววตาคมกริบ ทุกอย่างที่รวมเป็นเขาบอกกับเธอแล้วว่าอย่าลองดี เมื่อคืนเธอเก็บเอามาฝันเป็นเรื่องเป็นราว และสำหรับสาวเจ้ามันไม่ใช่ฝันดี ผู้ชายคนนั้นคือบุคคลต้องห้าม เขาทำให้เธอกลัวยันในความฝัน
เช้านี้อัสมาก็เริ่มต้นด้วยการขายโจ๊กที่หน้าบ้าน หลังจากเก็บของเป็นที่เรียบร้อยก็ไปที่ร้านอาหาร ชีวิตประจำวันของเธอดำเนินไปเรื่อยๆ ค่อนข้างจำเจ แต่หลังจากเมื่อคืนก็รู้แล้วว่าความจำเจก็มีข้อดี ไม่จำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนแปลงอะไร เป็นเช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาในร้านก็พบกับต้นตอที่มีส่วนในการทำให้เกิด ‘เรื่องนั้น’ สุวพิชชาเดินตรงมาหาก่อนจะระบายยิ้มให้อย่างมีเลศนัย “เป็นไง เจอเสี่ยที่ถูกใจไหม”
คนถูกถามพยายามตีสีหน้าให้เรียบสนิทราวกับว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เธอไม่ได้บากหน้าไปหาผู้ชายแล้วบอกว่าอยากเป็นเด็กของเขา และไม่ได้โดนผู้ชายปฏิเสธจนหน้าหงาย “ก็ไม่ไง ไม่ได้คิดเรื่องนั้นอยู่แล้ว แค่ไปทำงาน”
“จริงอะ” พูดจบก็โบกไม้โบกมืออย่างไม่ยี่หระ “เออๆ ไปทำงานเถอะ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร วันพระไม่ได้มีหนเดียว เดี๋ยววันไหนมีงานอีกเราค่อยไปกันใหม่ มันต้องมีสักคนที่เราไปเข้าตาเขาบ้างแหละ”
วันพระไม่ได้มีหนเดียวก็จริง แต่ความมั่นใจมีใช้แค่หนเดียว และเธอคงไม่กล้าทำแบบนั้นอีกแล้ว
จากวันนั้นก็ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์เห็นจะได้ ชีวิตประจำวันของอัสมายังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พอตกกลางคืนก็เดินทางจากร้านอาหารมาที่ร้านเหล้าเพื่อที่จะร้องเพลง ทักทายพี่ๆ ในวงอย่างสนิทสนมก่อนจะวอร์มเสียงเพราะยังมีเวลาอยู่อีกหลายนาที
“เคียงกันเราร้องแค่พาร์ทของกัน นภัทรนะ ข้ามพาร์ทแรปไป” นักร้องพยักหน้ารับให้กับคำพูดของมือกีตาร์ ก่อนจะเริ่มร้องให้ตัวเองฟัง
เพียงแค่ท่อนแรกก็ทำเอาลมหายใจของนักร้องสะดุดไปชั่วครู่ เพราะใบหน้าของใครบางคนที่คิดว่าลืมไปแล้วดันผุดขึ้นเสียได้ แต่นับว่าดีมากเหลือเกินที่ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เจอกันอีกเลย เขาเองก็ไม่รู้จักชื่อของเธอ เธอเองก็ไม่รู้จักชื่อของเขา ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่แน่ว่าหากเจอกันอีกครั้งชายหนุ่มอาจจะจำเธอไม่ได้แล้ว เพราะตรงนั้นก็ไม่ได้สว่างมากนัก และระยะเวลาที่คุยกันก็แสนสั้น
อันที่จริงเขาอาจจะจำเธอไม่ได้เป็นเรื่องที่คิดถูก แต่กับเธอเองคงลืมไม่ลง
เมื่อถึงเวลาขึ้นแสดงคนทั้งสี่ก็เดินไปยังบนเวทีที่สูงกว่าพื้นไม่มากนัก อัสมานั่งลงประจำที่ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม สายตาถูกใช้มองไปยังลูกค้าแทบทุกโต๊ะที่อยู่ภายในร้าน พูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเอง มีหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี บ้างก็เป็นขาประจำที่ชอบมาฟังเธอร้องเพลง เธออาจจะเป็นเพียงนักร้องบ้านๆ เสียงไม่ได้เพราะระดับนักร้องมืออาชีพ ทว่าก็มีแฟนคลับกับเขาบ้าง ไม่มากมาย แค่พอให้เป็นกำลังใจ
หญิงสาวทักทายไปตามเรื่องตามราวก่อนสายตาจะสบเข้ากับใครคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ร้านไม่ได้สว่างมากนักแต่เธอกลับจำเขาได้ในทันที ร่างทั้งร่างชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพยายามเรียกสติตัวเองให้กลับมาแล้วเริ่มร้องเพลงเมื่อนักดนตรีให้สัญญาณ หวังว่าจะมีแค่เธอที่จำเขาได้ ส่วนเขานั้นอย่าได้จดจำคนน่าอายเช่นเธอเลย
สุดขอบฟ้าหรือใต้ธารา
หมื่นภูผาร้อยพันดารา
ดับลงมืดมนเพียงใดเราสองต้องมาเจอกัน…
เสียงใสกังวานเปล่งออกมาจากริมฝีปากบาง เพียงแค่นั้นก็สามารถสะกดคนฟังได้อยู่หมัด แม้เจ้าตัวจะถ่อมตนอยู่เสมอ ทว่าผู้คนที่ได้ฟังเสียงของอัสมารู้ดีว่าเสียงนี้มีเสน่ห์มากเพียงใด เพลงเพราะๆ เคล้าแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา บรรยากาศที่น่าซึมซับนี้ดึงดูดผู้คนให้แวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย แม้แต่เขาคนนั้น
ปราชญาธิปได้รับการเชิญชวนมาจากสิปปกรให้มาดื่มด้วยกัน เนื่องจากเขาปักหลักอยู่ที่นครนายกเพื่อดูแลวรัสยาที่เพิ่งคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สามได้ไม่กี่วัน สิปปกรและลลิตนารีจึงได้ทีมารับขวัญหลานและด้านชายหนุ่มก็ได้มาดื่มกันในที่แห่งนี้โดยมีเจ้าถิ่นอย่างธนบดีมาด้วย อันที่จริงที่เลือกร้านนี้ก็เพราะคำแนะนำจากปากท่านส.ส. ว่าบรรยากาศดี เมื่อได้มาจริงเขาก็คิดว่ามันดีอย่างที่เพื่อนว่า เครื่องดื่ม อาหาร ล้วนถูกปากเขาทั้งหมด จะติดก็ตรงนักร้องที่แม้ว่าเสียงจะไพเราะแต่เขาไม่รู้สึกถูกชะตาด้วยเลยสักนิด
เป็นคนแบบไหนกัน มาขอเป็นเด็กคนอื่น เขาดูเหมือนพวกชอบเลี้ยงสาวๆ ไว้หรืออย่างไร
รัก ไม่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ
รัก เชื่อมใจไว้ด้วยกัน
มีเพียงแต่ใจที่รู้ ใครคือผู้อยู่ในฝัน เธอคือคนนั้นที่ฉันรอ…
สายตาทั้งสองบังเอิญได้สบประสานกันเข้าอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้หลบสายตาของเธอ เธอเองก็เช่นกัน ริมฝีปากก็ขยับเพื่อส่งเสียงอันไพเราะต่อจนกระทั่งเพลงที่สองได้จบลงไป อัสมาถึงได้ละสายตาจากใครคนนั้นแล้วส่งยิ้มให้กับลูกค้าภายในร้าน
เธอไม่ได้ตั้งใจจะมองเขา เพียงแต่เขาดันสามารถดึงดูดสายตาของเธอได้อยู่หมัด ไม่ใช่เพราะฐานะของเขาอย่างเดียวที่ดึงดูดเธอ ในงานมีคนรวยเป็นสิบเป็นร้อย แล้วเหตุใดถึงต้องเป็นเขา เพราะเธอถูกใจเขานั่นเอง การได้มาเจอกันในครั้งนี้แม้ไม่ได้คาดหวังอะไรแต่การได้มองใบหน้าที่ตราตรึงในใจก็นับว่าคุ้มค่า
ได้แต่หวังว่าเธอจะจำได้ฝ่ายเดียว...
ในจังหวะนั้นเองที่มีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเป็นขาประจำเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ พร้อมยื่นกระดาษให้หนึ่งแผ่น ด้านในระบุชื่อเพลงไว้ เป็นอันรู้กันว่าขอให้ร้องเพลงที่ตนต้องการ อัสมาส่งกระดาษแผ่นนั้นให้นักดนตรีด้านหลัง เมื่อได้รับการยืนยันว่าจะเล่นเธอถึงสามารถร้องได้ เพราะไม่ใช่ทุกเพลงที่นักดนตรีเล่นได้ เช่นเดียวกับเธอที่ไม่อาจร้องได้ทุกบทเพลง บางเพลงที่เกินความสามารถหรือไม่เคยฝึกซ้อมมาก่อนก็อาจจะต้องปฏิเสธ ทว่าที่ผ่านๆ มาก็พยายามร้องให้ได้ทุกเพลง
บทเพลงที่ถูกขอมานั้นคือ ใครคิดถึง เบิร์ด ธงไชย แน่นอนว่าเธอย่อมร้องได้
เมื่อถึงเวลาเลิกงานในช่วงสี่ทุ่มครึ่ง ขาดเกินไม่มากนัก อัสมาลาพี่ๆ ในวงก่อนจะเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ระหว่างทางก็แวะร้านสะดวกซื้อเพื่อโอนเงินเข้าบัญชีด้วยสะดวกกว่าการใช้เงินสด เพราะเธอต้องทำธุรกรรมการเงินมากมายผ่านช่องทางนี้ ทั้งโอนเงินให้น้องสาว คู่กรณี จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ หลังเสร็จธุระแล้วจึงตรงกลับบ้านอย่างไม่รอช้า
รุ่งเช้ามาหญิงสาววัยยี่สิบหกก็ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อมาเตรียมตัวขายโจ๊ก แม้จะรู้สึกปวดหัวอยู่หน่อยๆ แต่ก็ทานยาพาราเรียบร้อยแล้ว คนอย่างเธอจะให้สละเวลาหาเงินหาทองไปหาหมอด้วยอาการเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ก็ไม่สามารถทำได้ลง ปกติเธอก็ไม่ชอบโรงพยาบาลอยู่แล้ว แค่ที่ต้องพาแม่ไปทุกๆ เดือนก็กินพลังไปมากโข ยิ่งในช่วงที่งานรัดตัวมีหรือจะทิ้งลง ทุกนาทีมีค่า ค่าน้ำค่าไฟค่าเทอมน้องๆ และอีกมากมายนับไม่ถ้วน
“เหมือนเดิมครับ” เสียงลูกค้าคนใหม่เรียกให้เจ้าของร้านเงยหน้าไปมอง ความจริงแค่เสียงเธอก็จำได้แล้วว่าเป็นใคร เพราะตั้งแต่รับช่วงต่อจากแม่ที่ป่วย คุณครูหนุ่มคนนี้ก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่เจอหน้าค่าตาแทบทุกวัน และเมนูที่ทานก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย โจ๊กหมูใส่ไข่ไม่ใส่ขิง ทุกวันนี้แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไรให้ แม่ค้าสาวจึงระบายยิ้มแล้วหันไปง่วนอยู่กับการทำให้ลูกค้าคนก่อนหน้า “อัสดูซูบๆ ไปนะ”
คนโดนทักยิ้มแหยๆ เรื่องนี้เธอพอจะรู้ตัวเองดี ปกติไม่ใช่คนมีเนื้ออะไรมากมาย ยิ่งช่วงนี้ยิ่งสาหัส เธอไม่ค่อยกล้าชั่งน้ำหนักด้วยซ้ำแต่ก็ทานอะไรไม่ค่อยลง อาจจะเครียดลงกระเพาะหรืออย่างไรก็ไม่อาจรู้ รู้แค่ไม่ค่อยหิว หรือถึงหิวก็ทานไม่ลง ผนวกกับอีกสองวันเป็นวันที่ป้าติ๋มขอเบิกเงินเดือนที่เหลืออีกหนึ่งหมื่นก่อนครบกำหนด ปกติอีกฝ่ายจะรอช่วงสิ้นเดือนเสมอ แต่ช่วงนี้วุ่นๆ กับลูกสาวที่เพิ่งเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เป็นปีแรก ซึ่งเธอเข้าใจดีเพราะปีที่แล้วก็เพิ่งส่งน้องสาวเข้าเรียนปีหนึ่ง ดีที่พอขึ้นปีสองเด็กแฝดต่างก็ช่วยกันทำมาหากินแบ่งเบาภาระ ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องอุทิศเวลานอนไปหางานทำเพิ่ม
อัสมาไม่คิดจะก้าวก่ายว่าอีกฝ่ายจะรีบใช้เงินด้วยเหตุใด ในเมื่อทุกคนมีภาระที่ต้องแบกต่างกันไป การที่ป้าติ๋มมาขอเบิกก่อนก็แปลว่ามีเรื่องจำเป็น เธอซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็มีหน้าที่หาเงินมาจ่ายเท่านั้น
ถ้วยโจ๊กหมูใส่ไข่ไม่ใส่ขิงถูกวางลงตรงหน้าครูหนุ่มอย่างนิธิศ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร “ใกล้จะมีกีฬาสีแล้วเหรอคะครูก่อ เห็นเด็กๆ คุยกันแต่เรื่องนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ครับ เดือนหน้าแล้ว ถ้าอัสว่างก็มาดูเด็กๆ แข่งได้นะ”
ว่ากันตามตรง พจนานุกรมของอัสมาไม่มีคำว่า ‘ว่าง’ บรรจุอยู่เลยสักหน้า แต่ก็เลือกที่จะตกปากรับคำอีกฝ่าย ถ้าว่าง ก็แปลว่าถ้าไม่ว่างก็ไม่ต้องไป เธอไม่ได้ผิดคำพูดอะไร ซึ่งนิธิศคงรู้ดีอยู่แล้วว่าคนที่เขาเอ่ยปากชวนนั้นไม่ว่างไป ใครๆ ต่างก็รู้ว่าอัสมาต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต นอนยังไม่ค่อยจะได้นอน ถ้าพอจะมีเวลาสักนิดขอทุ่มเทให้การพักผ่อนจะดีกว่า เธอใช้งานร่างกายอย่างหนักโดยไม่เคยตอบแทนมันเลย อายุขัยคงจะสั้นมากแล้ว
เมื่อมาถึงวันที่นัดกับป้าติ๋ม อัสมาเตรียมเงินสดจำนวนหนึ่งหมื่นแล้วยื่นให้อีกฝ่ายหลังขายโจ๊กเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่แทนที่คนรุ่นแม่จะรับไว้ มือที่เหี่ยวย่นไปตามวัยกลับล้วงเข้าไปในกระเป๋าและส่งเงินกลับมาให้เธอแทน “หมื่นสาม” หญิงสาวยังไม่รับเงินจำนวนนั้นมา เพียงแค่เลิกคิ้วใส่เพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติม “รวมที่หนูอัสก็เป็นสองหมื่นสาม หนูโอนให้เจ้าอัยย์ทีได้ไหม ป้าวานหน่อยนะ”
เดิมทีอัสมาไม่อยากก้าวก่าย แต่เงินจำนวนมากขนาดนี้เธอคิดว่าตนเองควรรู้
“น้องอัยย์เอาไปทำอะไรเหรอคะ”
“ซื้ออะไรนะ ที่เด็กๆ เขามีใช้กันทุกคนน่ะ เออนึกออกแล้ว ไอแพด อัยย์มันยังไม่มีพอเห็นเพื่อนมีกันทุกคนก็เลยอยากได้ ป้าก็ไม่รู้หรอกว่ามันจำเป็นมากไหม แต่มันไม่ค่อยขออะไร มาขออันนี้ก็เลยตั้งใจว่าจะซื้อให้”
อัสมามีอยู่เครื่องหนึ่งตั้งแต่ช่วงที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันยกให้น้องสาวไปแล้ว สองคนแบ่งๆ กันใช้ ไม่ได้ซื้อใหม่ ส่วนเธอไม่มีความจำเป็นต้องใช้อีกแล้ว แค่โทรศัพท์ยังแทบไม่ได้แตะ และเธอก็เข้าใจความต้องการของเด็กๆ เป็นอย่างดีจึงไม่คิดค้านอะไร แต่ก็อดพูดไม่ได้ “จริงๆ มันมีรุ่นที่ถูกกว่านี้นะคะ หมื่นต้นๆ ก็มี แต่น้องอัยย์คงถูกใจกับรุ่นที่อยากได้ เดี๋ยวหนูออกไปโอนให้นะคะ เงินในบัญชีมีไม่พอค่ะ”
“สะดวกตอนไหนก็โอนตอนนั้นเลย งั้นเดี๋ยวป้าบอกลูกก่อนว่าวันนี้จะโอนให้”
เธอพยักหน้ารับแต่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายจากไปง่ายๆ “หนูขอถามอะไรหน่อย ป้าเอาเงินหมื่นสามมาจากไหนคะ”
หญิงวัยกลางคนเงียบไปชั่วครู่ “ป้าเก็บๆ ไว้น่ะ”
แม้จะสงสัยแต่อัสมาก็ปล่อยผ่านไป หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงออกไปยังร้านสะดวกซื้อเพื่อโอนเงินให้กับอุสิชา ก่อนจะกลับมานั่งทำแซนด์วิชเพื่อส่งตามร้านเนื่องด้วยวันนี้เป็นวันหยุด นั่งทำได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงรถมาจอดอยู่หน้าบ้าน มองออกไปแล้วเห็นเป็นรถยนต์สี่ประตูที่คงถูกเจ้าของโหลดจนเตี้ยกว่าปกติ แถมเสียงท่อยังกระหึ่มราวกับติดลำโพงไว้ก็ไม่ปาน เป็นรถคันที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิด อัสมาเดินเข้าไปล้างมือก่อนจะออกไปด้านนอก ปรากฏว่ารถคันนั้นหายไปแล้ว เธอได้แต่ไหวไหล่พลางคิดว่าอาจจะแค่แวะจอดคุยโทรศัพท์หรือธุระอะไรสักอย่าง เพราะแถวนี้ก็เขตชุมชน
แซนด์วิชถูกส่งตามร้านต่างๆ จนครบ ทว่าระหว่างทางกลับบ้านดันเห็นร้าน ‘ร่ำเมรัย’ ทั้งๆ ที่ผ่านทางนี้มาไม่รู้ตั้งกี่พันครั้งแต่ไม่ยักจะเคยเห็น ที่เคยเห็นก็เหมือนจะเป็นการก่อสร้าง คงจะเป็นการสร้างร้านแห่งนี้กระมัง เปิดรับพนักงานเสียด้วย ทั้งๆ ที่เวลาพักไม่ค่อยจะเพียงพอแต่พอเห็นคำว่างาน ใจของอัสมาก็เต้นแรงอย่างฉุดไม่อยู่ แถมยังอยู่ใกล้บ้านมากกว่าร้านที่ทำอยู่ในปัจจุบันอีกต่างหาก
เงินดีหรือเปล่า เข้างานตอนไหน เลิกตอนไหน เธออยากรู้เสียจริง
และแล้วความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะจนได้ คิดแค่ว่าแค่ถามดูคงไม่เสียหายอะไร หลังจากจอดมอเตอร์ไซค์ไว้หน้าร้านแล้วจึงเดินเข้าไปด้านในที่ไม่เห็นมนุษย์อยู่สักคน ข้าวของทุกอย่างใหม่เอี่ยมสมกับเป็นร้านเปิดใหม่ “ขอโทษนะคะ มีใครอยู่ไหมคะ”
รออยู่เกือบสิบนาทีก็ไม่มีใครออกมา ดูเหมือนว่าดวงเธอจะไม่สมพงษ์กับที่นี่กระมัง อัสมาจึงหันหลังเพื่อจะเดินออกไปด้านนอก ตั้งใจจะกลับบ้านไปงีบก่อนจะตื่นในช่วงเย็นเพื่อไปทำงานที่ร้านเหล้าต่อ แต่ยังไม่ได้ก้าวไปไหนเท้าก็เป็นอันชะงักงันอยู่อย่างนั้น ตัวของหญิงสาวชาวาบไปทั่วร่างเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่คือใคร
ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่างนึกเอือม “ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ”