บท
ตั้งค่า

2

ตีสี่ครึ่งเป็นเวลาตื่นของอัสมา ซึ่งเรียกได้ว่าเช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก เธอตื่นมาเตรียมตัวขายโจ๊กในตอนเช้า เพราะเป็นอาชีพของแม่ที่ทำมานาน แต่พอเกิดอุบัติเหตุก็ไม่สามารถทำต่อได้ เธอเห็นว่าสามารถทำในช่วงเช้าได้และพอจะมีกำไรจึงตัดสินใจสานต่อโดยมีป้าติ๋มเป็นคนช่วยเตรียมของ เงินเดือนของการดูแลแม่นั้นหล่อนเรียกเพียงหนึ่งหมื่นห้า สำหรับคนแถวนี้นับว่ามากแล้ว อีกสามพันคือเงินเดือนส่วนที่ช่วยจัดการเรื่องโจ๊กเพราะเธอไม่มีเวลาทำเอง

เธอได้เปรียบที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จึงขายได้พอคุ้มเหนื่อย โดยเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเงียบเหงา แต่โจ๊กเป็นของที่ขายดีในช่วงเช้า พอผ่านไปก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนเธอเคยทดลองเปิดร้านทั้งวันเพราะคิดว่าจะยึดเป็นหลักในการหาเงิน แต่มันไม่เข้าท่าเท่าที่ควร จึงขายถึงแค่ช่วงเช้าถึงสายๆ พอปิดร้านเรียบร้อยในช่วงสิบโมงก็ลาแม่กับป้าติ๋มก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านอาหาร

อัสมาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่งอมืองอเท้าแต่กลับสู้ชีวิตทุกอย่าง เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รับรู้ แต่ใช่ว่าเจ้าตัวอยากสู้ ความจริงแล้วเธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกๆ วัน ร้องไห้ทีนึกว่าน้ำตาจะออกมาเป็นสายเลือด แต่ในเมื่อมันไม่ตายก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป ทั้งแม่และน้องยังหวังพึ่งเธอ

ครั้งหนึ่งอัสมาเคยถามสุวพิชชาว่ามีงานอะไรให้ทำอีกไหม แต่ก็โดนบ่นมายกใหญ่ ‘จะทำงานอะไรนักหนา ก็รู้หรอกว่าต้องใช้เงินเยอะ แต่ทุกวันนี้ก็ทำงานจนจะไม่ได้นอนอยู่แล้ว หรือจะนอนทำงานด้วยเลยล่ะ หาเสี่ยรวยๆ เลี้ยงสักคนสิ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ แล้วนอนทำงานเอา ได้เงินเยอะกว่ามาทำงานงกๆ อย่างทุกวันนี้อีก’ นึกถึงคำพูดของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ไม่ใช่เพราะไม่เห็นด้วย เธอก็อยากรวยทางลัดเหมือนกัน แต่เสี่ยคนไหนจะถูกใจเธอกันล่ะ ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ

เสี่ยที่จริงใจน่ะ มีอยู่ไหม แสดงตัวหน่อย

“ได้นอนกี่ชั่วโมงล่ะแม่คนขยัน” สุวพิชชาเอ่ยขึ้นทันทีที่อัสมาจอดรถ เจ้าตัวเองก็เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่ ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในร้านพร้อมกันโดยระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปตามเรื่อง “แกน่ะอย่าโหมงานให้มันมากนะ กลัวจะล้มป่วยไปอีกคน”

“ไม่โหมได้ไง ไฟจี้ตูดขนาดนั้น หายใจเข้ายังไม่ทันหายใจออกเลย หมดเดือนหนึ่งละ” พูดจบก็หัวเราะราวเป็นเรื่องตลก เธอแค่พยายามรับมือกับความเครียดก็เท่านั้น ถ้าไม่หัวเราะเลยอัสมาคงได้ทำหน้าตึงทั้งวัน

“แล้วของเดือนนี้ขาดเหลือตรงไหนเปล่า”

“คิดว่าไม่หรอก ก็ได้ปริ่มน้ำตลอดเหมือนทุกเดือนนั่นแหละ แต่แค่พอจ่ายก็พอแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

คนฟังพยักหน้ารับ “ว่าแต่วีคนี้แกยังไม่ได้หยุดใช่ไหม”

“ยังเลย ที่จริงจะหยุดเมื่อวานซืนแต่พี่นุ้ยเขาขอแลก ก็เลยได้หยุดพรุ่งนี้”

“รอหยุดวันอาทิตย์ได้ไหม” คนฟังมีสีหน้าฉงน “วันอาทิตย์มันมีงานเลี้ยงที่โรงแรม ที่เดิมที่เราเคยไปครั้งที่แล้วนั่นแหละ พี่แยมเขาก็ให้มาถามว่าสะดวกมาช่วยงานไหม ยังไงก็ได้ตั้งหกร้อย เราอะตอบตกลงไปแล้วเพราะวีคนี้ยังไม่ได้หยุดเหมือนกัน เลยจะหยุดวันนั้น”

“กี่โมงถึงกี่โมง เหมือนเดิมไหม” เมื่อเพื่อนพยักหน้าเธอก็เริ่มคิดทุกอย่างในหัว ไปเตรียมตัวตั้งแต่สี่โมง งานเลิกสี่ทุ่ม แต่เธออยู่ได้แค่สองทุ่มเท่านั้นเพราะสองทุ่มครึ่งต้องไปร้องเพลง “พี่แยมยอมให้กลับตอนสองทุ่มเหมือนเดิมไหมล่ะ”

“ก็ยอม เขาถึงให้มาถามไง แต่ค่าจ้างก็ได้ไม่เต็มเหมือนเดิม คอนเฟิร์มไหมล่ะเราจะได้บอกเขาเลย”

ขึ้นชื่อว่างานอัสมาไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว

จนกระทั่งวันอาทิตย์มาถึง วันนี้เธอทำโจ๊กน้อยกว่าวันทำการเพราะมีลูกค้าไม่มากนัก จึงปิดร้านได้ไว และหลังจากนั้นก็ไม่มีธุระต้องไปที่ไหน เพียงแต่อัสมาก็ไม่เฉียดคำว่าว่างอยู่ดี ทุกๆ วันหยุดหนึ่งวันต่อสัปดาห์ของตนก็จะทำแซนด์วิชส่งตามร้านค้าละแวกใกล้เคียง ก็พอจะเป็นรายได้เสริมได้บ้าง สะสมจากตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยก็กลายเป็นเงินก้อนที่พอสำหรับรายจ่ายที่จำเป็น

หลังจากโทร. ไปรับออเดอร์จากร้านค้าเจ้าประจำเสร็จเรียบร้อยก็ใช้เวลาที่ได้หยุดอยู่บ้านในการทำแซนด์วิช พอทำเสร็จก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งทุกร้าน ก่อนจะกลับมาซักผ้าและเก็บกวาดบ้าน ซึ่งอย่างหลังปกติป้าติ๋มก็จะช่วยทำอยู่ทุกวัน

“หนูอัส”

“คะ” ในตอนที่เธอทำความสะอาดในครัวอยู่ป้าติ๋มก็เดินเข้ามาหา พอเห็นท่าทีของอีกฝ่ายนั้นก็เดาไม่ยาก เธอจึงระบายยิ้มน้อยๆ “เบิกก่อนเท่าไรดีคะป้า”

คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะแต่ถูกเด็กรุ่นลูกอ่านออกก็ยิ้มแหย “เมื่อวันที่สิบป้าเบิกไปสองพัน เหลือหมื่นหกนะ วันนี้ป้าจะขอเบิกสักสี่พันจะได้ไหม จะส่งให้ลูกสักหน่อย แต่ถ้าไม่ได้วันนี้เป็นพรุ่งนี้ก็ได้ พอดีเจ้าอัยย์มันจะจ่ายค่าหอน่ะ”

“ได้ค่ะ ว่าแต่น้องอัยย์มีค่าขนมใช้อยู่ใช่ไหมคะ ถ้าไม่หนูให้หกพันเลยก็ได้ค่ะ จะได้เหลือหนึ่งหมื่น” คนรักลูกอย่างป้าติ๋มรีบพยักหน้าเห็นด้วย ด้านอัสมาเองก็เอ็นดูลูกสาวป้าติ๋มเหมือนน้องคนหนึ่ง ด้วยเป็นรุ่นน้องสองแฝดแค่หนึ่งปี แถมยังเป็นเด็กหอเหมือนน้องสาวเธอ เธอจึงเข้าใจดีว่าการไปอยู่ไกลบ้านนั้นโดดเดี่ยวเพียงใด โดยเฉพาะช่วงที่ไม่ค่อยมีเงิน “ป้าจะเอาเงินสดหรือให้หนูโอนไปให้น้องเลย”

“หนูโอนไปได้เลย ป้าไม่เก่งเรื่องแบบนี้หรอก”

หลังจากโอนเงินจำนวนหกพันบาทให้เด็กสาวแล้วเธอก็ส่งโทรศัพท์ให้เจ้าของเงินดูสลิปการโอนเงิน ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำเพื่อที่จะได้ออกไปทำงานในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า

อัสมาแต่งหน้าแต่งตัวนานกว่าปกติเพราะพี่แยมกำชับมาว่าในงานมีแต่คนใหญ่คนโต ทุกอย่างต้องดูดีเพื่อให้คนเหล่านั้นพึงพอใจ ค่าเครื่องสำอาง ชุด รองเท้า มันเกินค่าแรงสี่ร้อยที่เธอจะได้รับด้วยซ้ำ แต่อัสมามันคนหน้าเงิน เห็นเงินแล้วอะไรก็ยอม เพราะฉะนั้นต่อให้ได้แค่สามร้อยก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ

เนื่องด้วยมีงานที่ต้องไปทำต่อ เธอจึงเตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนด้วยและคงต้องทำเวลาพอสมควร เพราะระยะทางจากโรงแรมไปร้านเหล้านั้นก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินไปกอดแม่ที่นอนอยู่เพื่อขอกำลังใจ ก่อนจะออกไปทำงานอย่างไม่รอช้าโดยใช้งานยานพาหนะคู่ใจที่เป็นของตกทอดมาจากแม่ ครั้นจะให้ซื้อใหม่ตอนนี้ก็เกรงว่าภาระจะทับจนตาย เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เหมือนจะฆ่ากันให้ตายอยู่รอมร่อ

ก่อนที่พ่อและแม่จะประสบอุบัติเหตุเธอเป็นเพียงพนักงานออฟฟิศธรรมดา ไม่มีความรู้เรื่องการทำโจ๊ก แซนด์วิช ไม่เคยร้องเพลงเพื่อหาเงิน ไม่เคยทำงานบริการ และมีอีกหลายอย่างที่เธอไม่เคยทำมาก่อน แต่เมื่อถูกบีบให้ต้องทำ ก็พยายามหัด ล้มลุกคลุกคลานจนเริ่มเป็นงานและสามารถหาเลี้ยงคนในครอบครัวได้ กลายมาเป็นเสาหลักที่ต้องแบกน้องและแม่

ไหนยังความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลบหนีได้ แต่น้องสาวฝาแฝดก็ไม่ได้โยนภาระมาให้เธอทั้งหมด คนหนึ่งถนัดเรื่องภาษาก็รับงานแปลเอกสาร รายได้ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ พอเป็นค่าหอพักได้ อีกคนถนัดงานศิลป์ ก็รับวาดรูปอะไรไปเรื่อยไปเปื่อย รายได้พอเอามาเป็นค่ากิน ถึงกระนั้นมันก็ไม่พอ แต่ก็ช่วยพี่สาวอย่างเธอได้มาก ส่วนไหนขาดเธอก็ส่งให้ เรื่องค่าเทอมก็รับผิดชอบไม่ให้กระทบกับน้องๆ แค่เห็นทั้งคู่ช่วยกันแบ่งเบาภาระเธอก็ทั้งรู้สึกดีและรู้สึกผิด เพราะไม่อยากให้น้องต้องมาเหนื่อย แต่ ณ เวลานี้พี่สาวเองก็สู้ได้เท่านี้ มากกว่านี้ก็เกินกำลังที่ตนมีแล้ว

เมื่อมาถึงที่หมายก็เห็นสุวพิชชามาถึงก่อนแล้ว เจ้าตัวยังไม่เข้าไปในสถานที่จัดงานเพราะรอที่จะเข้าพร้อมอัสมา ด้านคนมาใหม่รีบถอดหมวกกันน็อกแล้วสับเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า ทั้งสองทักทายกันตามประสาก่อนจะพากันเข้าไปด้านใน เข้าไปถึงก็เจอกับญานิษาที่ง่วนอยู่กับงานตรงหน้า

สุวพิชชาเดินไปหยุดอยู่ใกล้ๆ สาวรุ่นพี่ก่อนจะยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะพี่แยม”

คนถูกทักหันมาส่งยิ้มให้คนทั้งสองอย่างเป็นมิตร “มากันแล้วเหรอ เอาของไปเก็บข้างหลังแล้วมาช่วยพี่จัดของตรงนี้หน่อย แล้วอัสนี่เลิกก่อนเวลาเหมือนเดิมใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ รู้สึกเกรงใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายอุตส่าห์หยิบยื่นงานมาให้แต่เธอไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เลยสักครั้ง เพราะถึงทำตรงนี้จนครบเวลาก็ได้เงินไม่เท่ากับการไปร้องเพลง แต่เพราะการทำงานช่วงวันหยุดเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องคว้าไว้ ระหว่างอยู่เฉยๆ กับมาทำงานแลกเงินสามสี่ร้อย เธอเลือกอย่างหลังอยู่แล้ว “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย รู้อยู่หรอกว่าเรางานรัดตัว”

อัสมาแค่ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนที่ทั้งสองจะพากันไปด้านหลังเพื่อเก็บของของพนักงาน ระหว่างทางสุวพิชชาก็หันมาทางเพื่อนสาวแล้วพูดอย่างออกรส “จำชีปรางค์ได้ไหม คนที่เปิดร้านเสริมสวยอยู่แถวๆ ตลาด” อัสมาทำทีเป็นนึก ความเป็นจริงแล้วเธอไม่สามารถใช้คำว่า จำได้ หรือ จำไม่ได้ เพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน ด้านคนถามเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนก็รู้ได้ทันทีว่าคงจะนึกไม่ออก หล่อนจึงขยายความ “คนที่สวยๆ ผัวเก่าเขาก็เจ้าของร้านโทรศัพท์ที่วันนั้นเราแวะไปซื้อซิม จำได้ยัง”

เธอพยักหน้ารับเพราะจำได้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วเข้าร้านโทรศัพท์ไปเป็นเพื่อนสุวพิชชาอยู่หนหนึ่ง “แล้วเขาทำไม”

“ก็ชีปรางค์แกเลิกกับผัวแล้วมีผัวใหม่ เนี่ย ผัวชีก็น่าจะมางานนี้” ด้านอัสมาแค่พยักหน้ารับ ใครจะมาใครจะไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเสียหน่อย รู้แค่ว่าเป็นงานเลี้ยงของผู้ว่าราชการจังหวัดก็เท่านั้น รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นั่นไม่คิดจะสนใจ เธอก็แค่มาทำงาน เสร็จแล้วก็ไปทำงานต่อ จากนั้นค่อยกลับไปนอน แล้วตื่นมาทำงานอีกครั้ง

ทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำจนจะตายอยู่แล้ว

“อยากมีวาสนาได้ผัวรวยๆ กับคนอื่นเขาบ้าง อย่างชีปรางค์ก็เป็นคุณนายไปแล้ว ผัวเป็นปลัดเชียวนะ แกไม่สนเหรอ”

คนถูกถามแค่มองแล้วส่ายหน้า “ผัวคนอื่นคือของร้อน ไม่เสี่ยง”

หลังเก็บของเสร็จก็สืบเท้าเดินเข้าไปในงานเพื่อทำตามหน้าที่ของตน “จะบ้าหรือไง ไม่ได้แนะนำให้ไปเป็นเมียน้อยผัวยายนั่นสักหน่อย คงได้โดนตบกลางตลาดแน่ๆ แต่หมายถึงว่าไม่สนจะไปเป็นคุณนายกับเขาบ้างเหรอ ถ้าเกิดมีเสี่ยรวยๆ คนไหนเขาสนใจแก แกก็ต้องรีบคว้าเอาไว้นะ จะได้ไม่ต้องทำงานหลังขดหลังแข็งอย่างทุกวันนี้”

อัสมาพยักหน้ารับเพื่อตัดบท ใช่ว่าเธอไม่อยากรวย ใช่ว่าอยากเหนื่อยอย่างทุกวันนี้ แต่คนแบบเธอใครจะมาสนใจกัน ก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้าแทน ทั้งจัดของ ทั้งยกเก้าอี้ และทำทุกอย่างที่ถูกสั่ง ชีวิตเธอมันก็ได้เท่านี้ เป็นลูกจ้างเพื่อเงินไม่กี่ร้อย อาจจะขื่นขมอยู่บ้างแต่ไม่อาจยอมแพ้ได้ ภาระบนบ่าร้องเรียกชื่อเธออยู่ทุกวัน

ผู้คนมากหน้าหลายตาเริ่มทยอยเข้ามาภายในงาน แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่อัสมารู้คือคนพวกนี้เป็นคนมีฐานะ แค่เพียงเห็นการแต่งตัวก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นคนรวย ซึ่งเป็นคนที่อยู่คนละชั้นกับเธอ

อัสมาทำหน้าที่ของตัวเองคือพนักเสิร์ฟ ขาเสลาก้าวไปเรื่อยๆ พร้อมถาดเครื่องดื่มในมือ เมื่อมีเสียงเรียกจึงหยุดลงก่อนจะหันหน้ากลับไปมองพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า ตามที่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี แม้จะไม่ค่อยรู้จักมักจี่ผู้ร่วมงานเพราะเป็นคนต่างชั้น ทว่าหนึ่งในผู้ร่วมโต๊ะนี้เธอกลับคุ้นหน้าเป็นอย่างดี แม้จะคุ้นผ่านหน้าจอทีวีก็ตาม

ส.ส. ธนบดี ข้างกันนั้นคงเป็นภรรยาของเขา ส่วนคนที่เอ่ยเรียกเธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดคลุมท้อง อาจจะเพราะใบหน้าที่อ่อนเยาว์ขัดกับขนาดของท้อง พนักงานเสิร์ฟชั่วคราวของโรงแรมจึงเผลอมองชายข้างกายของอีกฝ่าย แต่เพราะมีถึงสองคนจึงไม่รู้ว่าคนไหนคือสามีของเจ้าหล่อน

ใครหนอช่างมีเมียเด็ก

“มีน้ำอัดลมไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถาม อัสมาจึงยิ้มรับพร้อมตอบคำถาม จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปเพื่อจัดเตรียมของที่แขกต้องการ หลังได้น้ำอัดลมมาแล้วก็เดินกลับไปเพื่อเสิร์ฟ ว่าที่คุณแม่เอ่ยคำขอบคุณด้วยรอยยิ้มจนคนมองเผลอยิ้มตาม เป็นยิ้มที่มาจากใจ ใช่หน้าที่

ทว่ารอยยิ้มนั้นก็เจื่อนลงไปในทันทีเมื่อมีเสียงดุๆ ดังขึ้น

“กินแต่ของไม่มีประโยชน์” ที่มาของเสียงคือผู้ชายที่นั่งด้านซ้ายมือของว่าที่คุณแม่ ทั้งๆ ที่เธอไม่ผิดแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกโดนดุไปด้วยก็ไม่ทราบ ได้ยินเสียงเจ้าหล่อนเถียงกลับไปแต่เธอไม่ได้อยู่ฟังเนื่องจากจะเป็นการเสียมารยาท เท่าที่แอบดูแหวนที่มือของแขกก็ถือว่าเสียมารยาทมากพอแล้ว

ผู้ชายคนนั้นไม่ได้สวมแหวน ต่างกับว่าที่คุณแม่และผู้ชายที่นั่งอยู่ขวามือ และตัวเขาเองก็นั่งอยู่ข้างกันกับส.ส. ธนบดี ไม่ได้มีหญิงงามนั่งข้างๆ อีกฝั่ง เรื่องฐานะไม่ต้องเสียเวลาเดา และเรื่องคนข้างกายก็คงไม่ต่างกัน

อัสมารีบสั่นศีรษะเพื่อสลัดความคิดบ้าๆ ที่จู่โจมตนเองทิ้งอย่างไม่ไยดี เป็นเพราะสุวพิชชาคนเดียวที่ล้างสมองเธอ แม้จะทำทีเป็นต่อต้าน แต่ใครบ้างไม่อยากรวย เพียงแต่วิธีของเพื่อนนั้นมันยากเกินกว่าจะเป็นจริงได้ แค่เห็นคนบนโต๊ะนั้นแล้วหันกลับมาดูตัวเอง ยูนิฟอร์มของทางโรงแรม รองเท้าคัทชูหลักร้อย นาฬิกาเรือนละหนึ่งร้อยกว่าบาทที่ซื้อมาจากอินเทอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำเธอได้เป็นอย่างดีว่าตัวเองเป็นใคร

สิ่งที่พอจะทำได้คือตั้งใจทำงานเท่านั้น และเมื่อถึงเวลาเลิกงานอัสมาก็ได้รับเงินค่าจ้างเป็นธนบัตรสีแดงสี่ใบ ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ ก่อนที่เธอจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำแล้วเดินออกไปที่ลานจอดรถเพื่อไปยังร้านเหล้า ระหว่างทางไปยังที่จอดรถของพนักงานจำเป็นจะต้องผ่านเขตสูบบุหรี่ที่มีแสงไฟให้ความสว่างไม่มากนัก เธอพอจะเห็นว่ามีใครบางคนยืนอัดควันเข้าปอดอยู่ตรงนั้น ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่นึกสนใจ แต่ยิ่งใกล้ก็ยิ่งชัดเจน

ผู้ชายคนนั้นนั่นเอง!

สองสายตาสบประสานกันโดยบังเอิญ หญิงสาวเป็นฝ่ายละไปก่อนและเดินตรงไปด้านหน้าเนื่องด้วยอีกไม่นานก็จวนจะถึงเวลาเริ่มงานของตนเองแล้ว แต่เดินพ้นมาได้ไม่ถึงห้าก้าว เท้าก็หยุดลง หากเธอเดินผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ชีวิตของเธอก็คงจะวนลูปเช่นนี้ไปตลอด หากแต่ลองทำอะไรสักอย่างมันอาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาลก็เป็นได้ อย่างไรก็ต้องเสี่ยง เพราะคนอย่างเธอไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว

ร่างบางหมุนตัวกลับไปทางที่เพิ่งเดินผ่านมา สองขาก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่เพิ่งทิ้งก้นบุหรี่ลงถัง วินาทีที่ตาคมตวัดมองมาราวกับร่างทั้งร่างถูกแช่แข็ง ความกล้าและหน้าด้านที่พกมาเมื่อสักครู่หายวับไปกับตา อยากหันหลังแล้ววิ่งหนีไปให้ไกล แต่อีกใจก็ยังอยากลองเสี่ยงดูเสียก่อน

ถ้าได้ก็ไปกับเขา ไม่ได้ก็ไปทำงานต่อ

ชีวิตมีทางเลือกเสมอ

“คุณคะ” คนตรงหน้าเพียงเลิกคิ้วขึ้นสูงเท่านั้น “คุณแต่งงานหรือยังคะ”

คิ้วที่ถูกเลิกเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นขมวดมุ่น ใบหน้าเจือความไม่เข้าใจอยู่สามส่วน อีกส่วนดูเหมือนจะเป็นความไม่พอใจ “ทำไม” เสียงทุ้มที่เปล่งคำถามออกมาไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้ฟัง มันดุจนความกล้าของเธอกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง

อัสมาทำใจดีสู้เสือแล้วส่งยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์มากที่สุด ก่อนจะโพล่งความต้องการออกไปอย่างไม่มีอ้อมค้อม “หนูอยากเป็นเด็กของคุณค่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel