บท
ตั้งค่า

ไม่เข้าตาที่หนึ่ง : ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม (1)

เจอกับสาวน้อยช่างยนต์สองครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่ชยางกูรจะไม่ปวดหัว

เขาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก พลางเอิ้นถาม “จะให้ส่งแซนด์วิชที่ไหนครับ” ทว่ามันกลับเป็นหมันเมื่อไม่มีใครสักคนคิดจะตอบคำถามของเขา อันที่จริงเขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าใครคือธุระของตนในตอนนี้ อัสมาให้มาแค่เบอร์ติดต่อ เขาที่เห็นป้ายสมหมายการช่างก็ไม่ต้องเสียเวลาโทร. ไปหาลูกค้า รู้แค่ว่าจะรออยู่ที่หน้าอู่ แต่ไอ้พวกที่อยู่ตรงหน้ากลับหาความอะไรไม่ได้

จบประโยคของผู้หญิงหนึ่งเดียวในวงเหล้า เขาก็กลายเป็นอากาศธาตุไปโดยปริยาย ต่างก็หันเหความสนอกสนใจไปที่เธอเป็นจุดเดียว เพราะฉะนั้นแล้วต่อให้เขาเอ่ยถามอีกครั้งก็มั่นใจว่าจะต้องเป็นการกระทำที่เปลืองน้ำลายเปล่าๆ หากจะให้ทิ้งหน้าที่แล้วกลับไปพักก็เกรงว่าจะถูกเขมือบหัว

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการส่งแซนด์วิชจะเป็นเรื่องยากถึงเพียงนี้!

“มึงหมายความว่ายังไงนะไอ้ก้าน” เตชิตโพล่งขึ้นเสียงดัง ตวัดสายตามองน้องสาวกับไอ้หน้าหล่อที่เขามั่นใจว่าตัวเองหล่อกว่า ก่อนจะหันกลับมามองกุสุมาลย์อีกครั้ง “ความรักอะไร ใครมาส่งความรัก”

“ไอ้หนุ่มนี่ของมึงเหรอ” ภาคภูมิเอ่ยบ้าง

ชยางกูรหันมองผู้พูดอย่างอ่อนใจ เมื่อครู่เขาพูดออกไปแล้วแท้ๆ ว่ามาส่งแซนด์วิช มันไม่ได้เข้าหูคนพวกนี้เลยหรือ

บวรรัชเร่ง “อย่าเงียบ เล่าออกมาให้หมด” ประโยคนั้นทำให้สัทธาภัคที่อยากรู้อยากเห็นพยักหน้าเพื่อสนับสนุนคำพูดของเพื่อนรุ่นพี่

“เจ้าของวลี ‘ไม่อนุญาตครับ’ คนนั้นไง”

คำตอบของกุสุมาลย์เป็นบ่อเกิดของหลากหลายอารมณ์ เหล่าช่างที่ยังไม่รู้เรื่องบัดสีบัดเถลิงในหัวของวีรากรต่างก็โหวกเหวกโวยวายอย่างถูกอกถูกใจ ส่งเสียงโห่ร้องราวมีงานบุญ ด้านวีรากรนิ่งงันไปชั่วขณะ ไม่ต่างจากคีรวันที่มองน้องชายสลับกับสาวน้อยในกลุ่ม ก่อนเลยไปที่แขกผู้มีเกียรติแล้ววกมาที่น้องชายอีกรอบ

งานช้างแล้วไหมไอ้วี คู่แข่งหล่อเหลาเอาการปานนั้น

ชยางกูรใช้เวลาประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ประโยคนั้นเขาพูดมันเองกับปาก สาวเจ้าคงจะเอามาเล่าสู่กันฟังเรียบร้อยแล้ว เขานับหนึ่งถึงสิบในใจก็เอ่ยถึงธุระของตนอีกหน น้ำเสียงที่เปล่งออกไปค่อนข้างเข้มกว่าปกติ บ่งบอกว่าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นสนุกกับใคร

“ใครเป็นคนสั่ง-”

“มึงไปพาน้องเขยมา นี่ๆ กูปัดให้นั่งเลยเอ้า สะอาดกริ๊บ รับรองว่าเหมาะกับคนที่สะอาดสะอ้านเหมือนอาบน้ำวันละสิบรอบแน่นอน” ไม่ว่าเปล่า บวรรัชยังผลักเตชิตให้พ้นทางจนก่อเกิดที่ว่างข้างกาย ก่อนปัดเพื่อทำความสะอาดด้วยมือของตน ซ้ำยังตบลงไปที่จุดนั้นเพื่อเชิญชวนคนมาใหม่อีกด้วย

สะอาดกว่านี้ก็ไม่อยากร่วมวงโว้ย!

เตชิตที่เชื่อว่าตนหล่อกว่าอีกฝ่ายนั้นก็ทำตามคำสั่งเป็นอย่างดี หนุ่มโสดเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ คนมาใหม่แล้วออกแรงดึงให้เดินไปที่โต๊ะ พวกนี้ขี้เมา หากทำอะไรโจ่งแจ้งเช่นด่าหรือแสดงออกว่าไม่พอใจ พวกมันจะไม่พอใจกว่าเป็นเท่าตัว หลังจากนั้นจะเกิดการตะลุมบอนขึ้นโดยง่าย ซึ่งเขาไม่อยากให้การส่งของพาตัวเองไปถึงจุดที่ซัดคนเมาหน้าทิ่มพื้น สุดท้ายคนที่ตั้งใจมาส่งแซนด์วิชถึงได้นั่งร่วมวงเสียอย่างนั้น แขนแกร่งของชายขี้เมาข้างกายยกขึ้นมาพาดไหล่เขาราวสนิทชิดเชื้อ ทั้งๆ ที่ต่างไม่รู้จักชื่อแซ่กันด้วยซ้ำ

“ไอ้น้องเขย เอ็งทำไมมันใจแคบนักวะ”

เขาต้องสะกดอารมณ์กรุ่นที่เริ่มปะทุในอกหลังต้องได้ยินคำว่า ‘น้องเขย’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ผมแค่มาส่งแซนด์วิชให้นายครับ ว่าแต่ใครเป็นคนสั่งล่ะ”

“ทำไมเอ็งไม่ยอมให้ไอ้ก้านจีบ” บวรรัชไม่สนใจไยดีประโยคก่อนหน้าของคู่สนทนา เลือกที่จะช่วยส่งน้องสาวให้ถึงฝั่งดั่งตนเป็นเรือจ้าง น้องสาวคนเก่งของเขาไม่ยักจะเคยมีรักกับใครเขา มีรักครั้งแรกก็ไม่อยากให้หัวใจดวงน้อยๆ ต้องแตกสลาย เขาที่เป็นพี่ชายมีแต่ช่วยสนับสนุน แม้จะนึกเห็นใจคนที่ต้องตกมาเป็นผัวน้องอยู่ไม่น้อย แต่น้องเขาดีที่สุด “เอ็งทำน้องสาวข้าอกหัก ต้องกินเหล้าย้อมใจทุกวัน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ของพี่ๆ ที่ช่วยกันทะนุถนอมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แต่ต้องมาพึ่งแอลกอฮอล์ทุกคืนถึงจะหลับตาลงได้ จะรับผิดชอบยังไงห๊า!”

กลิ่นละมุดปะทะเข้าจมูกชยางกูรจนอดจะเวียนหัวไม่ได้ เขาก็ชอบดื่มเหล้า แต่ไม่น่าจะได้เศษเสี้ยวของคนพวกนี้

“เออ ไปบอกแม่มาสู่ขอเลย มาทำน้องสาวคนอื่นเสียใจแบบนี้พี่ชายเขาไม่ยอมนะเว้ย ระวังจะเจ็บตัว” เสียงเข้มปรับให้อ่อนลงเมื่อพูดประโยคถัดไป “โต๊ะจีนนี่ขอหลายๆ กลมหน่อยนะไอ้น้อง พี่ล่ะเปรี้ยวปาก” เตชิตแนะนำ

ชยางกูรมอง ‘พี่’ ที่ดูอย่างไรเขาก็อายุมากกว่าอย่างละเหี่ยใจ หากเป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไรจะได้ส่งของเสร็จ ดูท่าว่าทุกคนในนี้จะสมองไหลไปกับคำพูดลวงโลกของเธอเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันไปทางตัวต้นเหตุที่มองมาไม่วางตาทั้งยังยิ้มหน้าระรื่น ใบหน้าขาวถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อที่ไม่แน่ใจว่ามาจากอาการเขินอายหรือฤทธิ์แอลกอฮอล์

“เธอเป็นคนสั่งแซนด์วิชหรือเปล่า” กุสุมาลย์ยังคงมองชายในฝันตาเยิ้ม

เมื่อเห็นว่าพูดคุยต่อก็คงไม่ได้เรื่อง จึงล้วงมือถือในกระเป๋ามากดโทร. ออกหาเบอร์ของลูกค้าที่เมียเจ้านายให้มา

“เฮ้ยๆ โทร. ไปบอกแม่แล้วว่ะว่าให้มาขอไอ้ก้าน”

เขาหันหน้าไปมองต้นเสียงจนคอแทบเคล็ด คิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบว์ อะไรทำให้ตีความไปได้เช่นนั้น ก่อนจะกลับมาสนใจเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นใกล้ๆ

กุสุมาลย์เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเมื่อเห็นว่ามีสายเข้า แต่ยังไม่ทันจะได้กดรับ สายก็ถูกตัดไปเสียแล้ว นั่นเพราะชยางกูรมั่นใจแล้วว่าธุระของเขาก็คือเธอ ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากนั่งพูดคุยกันตรงนี้อย่างไรก็ไม่มีทางรู้เรื่อง แต่อาจจะมีเรื่องเพิ่มมาให้ปวดหัวแทน

เจ้าของร่างสมส่วนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะถูกขี้เมารั้งให้นั่งต่อเขาก็เอื้อมมือไปคว้าเรียวแขนเล็กให้ยืนขึ้นตามๆ กันเป็นการตัดหน้า “ขอผมคุยกับน้องสักครู่นะครับ”

พี่ใหญ่ยกยิ้มอย่างล้อเลียน “อย่าไปคุยที่ลับตาคนนักนะเว้ย น้องยังเด็ก”

เรือจ้างเช่นบวรรัชรีบค้าน “ไปคุยที่ลับตาคนนั่นแหละดี จะได้คุยง่ายๆ หน่อย”

เสียงโห่ร้องชอบอกชอบใจดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ออกแรงดึงสาวเจ้าให้ออกห่างจากวงเหล้า ก่อนจะหยุดอยู่ข้างรถของตน ตาคมจดจ้องไปยังคนตัวเล็กที่สูงประมาณอก กระแทกลมหายใจออกหนึ่งครั้ง “ไปเปิดรถ”

“จะพาก้านไปไหนคะ”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอีกหน “ฉันจะพาเธอไป-” ที่ไหนได้

“ไปค่ะ” กุสุมาลย์แทรกขึ้นในตอนที่ประโยคของเขายังไม่จบดีด้วยซ้ำ “ก้านไปกับคุณได้ทุกที่ ขึ้นเขาลงห้วยหรือบุกป่าฝ่าดง ลงบ่อจระเข้ ดำน้ำดูปะการัง ไม่มีบ่นสักคำ”

แล้วจะไปลงบ่อจระเข้ทำไม!?

“ไปเปิดรถตัวเอง ฉันจะยกแซนด์วิชไปให้”

กุสุมาลย์นิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย เดินนำเขาไปที่ไอ้เทายักษ์ก่อนจะเปิดออกเพื่อรอรับของ ชยางกูรเริ่มโล่งอกไปเปราะหนึ่ง เขาขนของทั้งหมดไปไว้ในรถของเธอเรียบร้อยโดยใช้เวลาไม่มากนัก ครั้นจะเดินกลับไปขึ้นรถตัวเองกลับถูกมือเล็กๆ คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ เป็นเหตุให้ต้องหันไปมอง

“ชื่อเฉื่อยหรือเปล่าคะ” เธอใช้ความสามารถในการขุดความทรงจำที่เริ่มถูกเบียดเบียนจากน้ำเมา จำได้ว่าอัสมาและสามีพูดถึงคนชื่อเฉื่อยว่าจะเป็นคนมาส่งของ และเธอก็ได้เจอกับเขาอีกครั้งพร้อมของที่ว่า “ถ้าไม่ใช่ บอกก้านหน่อยได้ไหมว่าคุณชื่ออะไร”

เขาปัดรำคาญ “ใช่”

เธอระบายยิ้ม มือก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แน่นอนว่าแรงของตัวเล็กไม่ได้มากถึงขนาดที่เขาจะสลัดทิ้งไม่ได้ แต่ดันปล่อยให้เธอจับตามใจชอบเสียอย่างนั้น “หนูชื่อก้านค่ะ”

“รู้อยู่แล้ว”

“ก้านชอบคุณ” พูดเพียงเท่านั้นก็หยุดปากกลางอากาศ ก่อนเริ่มพูดใหม่อีกครั้ง “พี่ ก้านชอบพี่ อันนี้ก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมคะ”

คุณมันห่างเหินกันเกินไปในความรู้สึกคนเถื่อนเช่นเธอ จึงถือวิสาสะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่เพื่อความสนิทสนม

“อือ”

“ก้านอยู่โรงเรียนสหมาตลอด จบม.สามก็ต่ออาชีวะ เลือกเรียนช่างยนต์ ไม่ได้ต่อปวส. แต่มาทำงานที่อู่เฮียหมายตั้งแต่อายุสิบเก้า” ชยางกูรลืมสนใจว่าเธอยังคงจับมือถือแขนตนเองอยู่ เขาเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าเหตุใดคนตรงหน้าถึงพูดชีวประวัติตัวเองให้เขาได้ฟัง แต่ก็เลือกที่จะเงียบเพื่อฟังต่อ “รอบตัวก้านตั้งแต่เล็กจนโตมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนที่ทำงาน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น”

ฟังจากที่เธอเล่าเขาก็พอจะเข้าใจได้ สายวิชาที่เธอเลือกเรียน งานที่เธอเลือกทำ มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ในสายนี้ ถึงกระนั้นก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่คนตัวเล็กต้องการจะสื่ออยู่ดี

“แต่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่ทำให้ก้านรู้สึกแบบนี้เลย”

“...”

“แบบที่พี่เฉื่อยทำได้ คนอื่นไม่เคยมีสิทธิ์”

เขาย่อมอยากรู้ว่าตนไปทำอะไรแม่นี่เข้า “แบบไหน”

“แบบที่อยากเป็นเมีย”

ชยางกูรชะงักไปทันทีที่ได้รับคำตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ข้อดีของก้านคือตั้งใจทำงาน ซ่อมได้ทุกอย่าง งานหนักแค่ไหนก็สู้ไหว ไม่กลัวสัตว์มีพิษ ไม่กลัวแมลงสาบหรือตุ๊กแก จับงูเป็น กินง่าย ไม่เรื่องมาก ถึงจะกินเหล้าบ่อยแต่ตื่นมาทำงานได้ทุกวัน เงินทุกบาททุกสตางค์ของพี่ ก้านไม่ยุ่ง ก้านมีของก้าน ที่ผ่านมาไม่เคยคบหากับใครมาก่อน ไม่มีเรื่องมือที่สามมาให้หึงหวงในภายหลังแน่นอน ส่วนข้อเสีย” สาวเจ้าทำท่าครุ่นคิด “เหมือนจะไม่มี”

คนฟังถึงกับหลุดหัวเราะ

“พี่ให้ก้านได้จีบพี่เถอะนะ”

“...”

“นะคะ”

เขากวาดตามองดูบุคคลตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ผู้หญิงก๋ากั่น พูดจาขวานผ่าซาก แวดล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์ พบเจอได้ตามวงเหล้า ก่อนจะลากสายตามามองสบประสานกัน

ดูอย่างไรก็เป็นพวกไม่รู้จักโต

ชายหนุ่มกดยิ้มมุมปากคล้ายนึกหยันอยู่ในใจ “จะจีบฉัน หย่านมแม่หรือยังเถอะ”

“หย่านานแล้วค่ะ” ถูกปรามาสเช่นนั้นเธอก็เถียงกลับทันควัน สีหน้ามีแววดื้อรั้นฉายชัดอยู่จนคู่สนทนามองออกในทันที

กุสุมาลย์ทำงานตั้งแต่อายุได้สิบเก้า แม้กระทั่งช่วงที่เรียนอยู่ก็ออกมารับงานที่อู่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนตอนนี้อายุยี่สิบห้าแล้ว ไม่เคยต้องขอเงินพ่อแม่สักบาท แม้ไม่รวยมากทว่าไม่เคยต้องเดือดร้อนเงินของคนอื่น เธอเอาตัวรอดได้ด้วยตัวของตนเอง เช่นนี้แล้วยังคิดว่าเป็นลูกแหง่ติดแม่ได้อีกหรือ

กลับกัน…

“ตอนนี้ก้านโตพอจะให้ลูกดูดนมได้แล้วด้วยซ้ำ” เขาอ้าปากหวังจะแก้ให้ว่าควรเป็น ‘โตพอจะมีลูก’ แต่ก็ต้องอ้าปากค้างไว้เช่นนั้นโดยไม่มีวาจาใดหลั่งไหลออกมาเมื่อคนตรงหน้าชิงพูดขึ้นก่อน “ถ้าไม่เชื่อจะมาดูดก่อนลูกก็ได้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel