บท
ตั้งค่า

ไม่เข้าตาที่หนึ่ง : ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม (2)

“ตอนนี้ก้านโตพอจะให้ลูกดูดนมได้แล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่เชื่อจะมาดูดก่อนลูกก็ได้”

ชยางกูรแทบช็อก เขากะพริบตามองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เขาไม่กล้าแม้แต่จะทวนประโยคเมื่อครู่ซ้ำในใจอีกหน ขนาดตนเป็นชายยังทึ่ง แต่แม่เจ้าประคุณเล่นพูดออกมาโต้งๆ อย่างไม่เกลงกลัวฟ้าดิน ดีที่บริเวณที่ยืนคุยกันอยู่นั้นห่างจากวงเหล้าพอสมควร ขี้เมาคงไม่ได้ยินประโยคติดเรตนี้ แต่เขานี่สิ คงจำไปจนตาย

ชายหนุ่มจดจ้องไปยังสาวน้อยแสนก๋ากั่นที่ไม่คิดสะทกสะท้านกับคำพูดของตนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรมาพูดกับผู้ชาย ก่อนจะดึงแขนออกจากการจับกุม “รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”

“รู้สิ ก้านพูดเอง จะไม่รู้ได้ไง”

“แล้วรู้ไหมว่าไม่ควรพูด” กุสุมาลย์ไหวไหล่ “ยังไงฉันก็เป็นผู้ชาย”

“ก็ถ้าเป็นผู้หญิงก้านคงไม่มาพูดแบบนี้ด้วยแต่แรกหรอก แต่เพราะพี่เป็นผู้ชาย แถมยังเป็นผู้ชายที่ก้านชอบ” นัยน์ตาหวานจับจ้องไปยังคนตัวสูงอย่างไม่คิดหลบเลี่ยง ท่าทีอวดดีไม่หยอก “ทำไมจะพูดไม่ได้”

“น่าเกลียด”

“จริงเปล่า” เธอถามพร้อมหรี่ตามอง พิงแผ่นหลังไปกับตัวรถพลางยกมือขึ้นกอดอก สายตาไม่เคยละไปจากชายในดวงใจ แรกเจอเธอตั้งตัวไม่ทันเพราะใจเจ้ากรรมเอาแต่เต้นไม่เป็นจังหวะ ทว่าก็เปิดเกมรุกได้อย่างสวยงาม แม้จะหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ในวินาทีถัดมาก็ตาม แต่วันนี้มีแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด เธอจึงค่อนข้างไร้ยางอายพอสมควร “ลองทำก่อนก็ได้ ไม่ชอบจริงๆ ไม่ว่ากัน”

ชยางกูรส่ายหน้าอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด หากว่าเขาไม่ได้มีสาวที่ชอบอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่เขาอยากสานสัมพันธ์

ไม่เข้าตาอย่างแรง!

“กลัวติดใจขนาดนั้นเลย?”

“อะไรทำให้เธอคิดเป็นงั้นไปได้ ฉันแค่ไม่ชอบเธอ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องนอนกับคนที่ไม่ชอบ”

“ถ้างั้นก็ให้ก้านได้จีบพี่สิ” เขามุ่นคิ้วใส่คู่สนทนา “ก้านจะได้เป็นคนที่พี่ชอบ”

ระดับความมั่นใจของเธอเป็นเหตุให้เขาต้องหัวเราะเพื่อเยาะเย้ย มันก็ใช่ที่ช่างยนต์ตรงหน้าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีด้วยซ้ำ ปากนิดจมูกหน่อย ความโด่งรั้นรับกับใบหน้าเรียวเล็กได้อย่างลงตัว ผิวขาวอมชมพูนั่นก็น่ามอง ตัวเล็กๆ ตรงตามอุดมคติของสังคม แต่แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรในเมื่อเธอเป็นคนที่เขาไม่ได้ชอบ

“ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

“ลองรู้จักกับก้านก่อน เดี๋ยวคนที่พี่ชอบก็แค่เคยชอบ”

เขายืนกรานที่จะปฏิเสธ แต่คนหน้าด้านก็คือหน้าด้าน ทรงนี้ต่อให้บอกว่ามีเมียแล้วก็คงขอเป็นเมียน้อยกระมัง

“เปิดใจหน่อยน่า ถ้าพี่ใจแข็งจริงๆ สิบก้านก็ทำอะไรไม่ได้ และถ้าพี่จะไม่ชอบก้านเลยสักนิด เดี๋ยวจะเป็นฝ่ายไปเอง”

เสียงราบเรียบไร้อารมณ์ดังสวนกลับมา “ก็ไปตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ”

“เอ้า” เธอแห้วขึ้น ถึงกระนั้นดวงหน้าหวานก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้ม มั่นใจแล้วว่าหากมัวแต่ขออนุญาต คงอีกหลายชาติกว่าจะได้จีบ สู้จีบเลยดีกว่า “พี่ทำงานที่รุ่งรัดชาเหรอ”

เขาไม่ชอบเธอ ไม่ถึงกับเกลียดแต่มั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกพิศวาสใดๆ กับบุคคลตรงหน้า แต่ตอนเธอถามราวชวนคุย เขาดันเลือกที่จะตอบ

“อือ รีสอร์ทของนาย”

กุสุมาลย์หยุดคิดไปเดี๋ยวหนึ่ง “นายพี่ สามีคุณอัสหรือเปล่า”

“อาฮะ รู้จัก?”

เธอส่ายหน้าพรืดพร้อมทำทีเป็นยกมือมาลูบแขนเล็กป้อยๆ “วันนี้ก้านเข้าไปรับของที่บ้านเขา แต่มันยังไม่เสร็จ พอคิดว่าจะขอเปลี่ยนที่ส่งให้ไปส่งที่บ้าน เขาก็ถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า รู้สึกเหมือนโดนหาเรื่องอยู่เลย พี่คิดดูนะ ‘มีปัญหาอะไร’ นั่นมันเอาไว้พูดตอนอยากต่อยคนชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ”

คนฟังมีรอยยิ้มผุดขึ้นเพราะนึกตามคำบอกเล่าของคนตัวเล็กแล้วจึงรู้สึกขำขัน ปราชญาธิปก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้แต่งงานมีเมียไปแล้วและพยายามทำตัวเป็นลูกแมวแสนเชื่อง ทว่าก็เป็นได้แค่กับภรรยาสุดที่รักอย่างอัสมาเท่านั้น ต่อหน้าเมียเจ้านายเขาว่านอนสอนง่ายเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือแววตาก็สุดแสนจะอ่อนโยน ทะนุถนอมเมียยิ่งกว่าชีวิต เสียงดังสุดที่พูดกับเมียยังไม่ดังเท่าเสียงปกติที่พูดคุยกับลูกน้อง

ถึงกระนั้นปราชญาธิปก็ไม่ได้มีท่าทีที่ว่ามากับคนอื่น เหมือนว่าความอ่อนโยนถูกสงวนให้ใช้กับอัสมาเพียงคนเดียว ไม่แปลกที่สาวน้อยตรงหน้าจะเจอเจ้านายในโหมดปกติ

“พรุ่งนี้วันเกิดน้องชายก้าน” อยู่ๆ เธอก็โพล่งขึ้น บทสนทนาของคนไม่เข้าตากลับเป็นไปอย่างลื่นไหลในความรู้สึกของเขา “ในรถเนี่ย ก็ซื้อไปเลี้ยงขนมเด็กๆ ที่โรงเรียน คุณอัสเธอก็ใจดีนะ พอรู้ว่าจะไปเลี้ยงขนมเด็กนักเรียนก็เลยทำเผื่อในส่วนของตัวเองด้วย เห็นว่าเป็นโรงเรียนเก่าน่ะ คุณอัสเป็นคนที่นี่เหรอ”

“อือ คนนครนายกแต่กำเนิด”

“ก้านก็จบจากที่นั่นแต่ไม่ยักจะคุ้นหน้า สงสัยไม่ใช่รุ่นเดียวกัน อีกอย่างก้านจบม.ต้นก็ย้ายไปเรียนเทคนิค แล้วพี่ล่ะ คนที่นี่เหมือนกันเหรอ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย”

เขาส่ายหน้า “ตามนายมาทำงานที่นี่”

“แล้วพื้นเพเป็นคนที่ไหน”

เขาหรี่ตามอง เริ่มรู้สึกตัวว่าตนเองจะปล่อยใจไปกับการสนทนามากเกินจำเป็น ทั้งๆ ที่ไม่ควรพูดคุยกับเธอเป็นวรรคเป็นเวรอย่างตอนนี้ด้วยซ้ำ “จะรู้ไปทำไม”

“น่า บอกหน่อย อยากรู้”

“ตาก”

กุสุมาลย์ทำท่าคิด “ตากนี่มันภาคเหนือหรือเปล่านะ”

“ถูกครึ่งหนึ่ง” ชยางกูรจำต้องไขข้อข้องใจเมื่อสาวเจ้าเล่นทำหน้าฉงนจนหากไม่บอกก็คงน่าสงสารไม่น้อย “คนทั่วๆ ไปก็เข้าใจแบบนั้นว่าเป็นภาคเหนือตอนล่าง แต่ทางภูมิศาสตร์เป็นตะวันตกน่ะ ก็เลยเป็นคนสองภาคไปโดยปริยาย”

“เท่จัง” เธอชมกันโต้งๆ จนเขาเผลอยกมือขึ้นเกาท้ายทายทั้งที่ไม่ได้รู้สึกคันแม้แต่น้อย “ก้านไม่เคยไป”

หญิงสาวไม่ปล่อยให้บทสนทนาหยุดชะงัก แต่ไม่ได้ดันทุรังจะพูดในเรื่องที่ทำให้ไก่ตื่น กลับกัน เธอพยายามตะล่อมเหยื่อให้จนมุมเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนนัก เพราะประเมินจากสายตาดูแล้วคนตัวสูงดูจะผ่อนคลายไปจากเดิมจนเห็นได้ชัด ไม่ได้ตั้งท่าจะปฏิเสธเธอท่าเดียว ซึ่งมันควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ

“ที่บ้านไม่ค่อยว่างไปเที่ยวเท่าไร เว้นเสียแต่หยุดพร้อมกันช่วงเทศกาลแล้วจะไปเมืองท่องเที่ยวกับเขาสักที อีกอย่างก้านก็ไม่ค่อยชอบออกไปไหน อยู่ที่อู่สนุกกว่าเยอะ”

“ทำงานจะสนุกกว่าเที่ยวได้ไง”

คนตัวเล็กยักคิ้วให้ชายหนุ่ม “เลือดช่างมันแรงค่ะ” พูดจบก็หัวเราะไปยกหนึ่ง “ก้านชอบเวลาได้อยู่กับรถมากกว่าจะไปที่อื่น เวลาซ่อมมันสนุกดี ได้เห็นของที่พังไปกลับมาใช้งานได้เป็นปกติอีกครั้งด้วยฝีมือของเรา ความรู้สึกเวลาทำสำเร็จมันภูมิใจน่ะ แบบว่า เรามันก็เจ๋งเหมือนกันนี่หว่า อะไรทำนองนั้นเลย แต่ตอนนี้มีความคิดอยากจะไปเที่ยวที่ตากอยู่บ้าง”

เด็กนี่มันเล่นเขาอีกแล้ว

“ไว้พี่พาก้านไปบ้านพี่หน่อยได้ไหม”

เข้าแก้ “ตาก”

สาวเจ้าส่ายหน้าตอบ “ไม่ บ้านพี่อะถูกแล้ว ถ้าจำไม่ผิดมันมีน้ำตกอะไรนะที่ดังๆ”

“ทีลอซู”

“นั่นล่ะ พี่เคยไปยัง” เขาพยักหน้า นึกอยากเล่าเรื่องของตัวเองบ้างแต่กลับชะงักว่าจะเล่าให้เธอฟังเพื่ออะไรกัน “สวยไหม”

“ก็เหมาะเป็นราชาน้ำตกดี”

“อยากไป” เธอเอ่ยถึงเจตจำนง “ไว้ไปด้วยกันนะ”

ประโยคอาถรรพ์ไม่ควรพูด ใครก็รู้ แต่เพราะรู้กุสุมาลย์จึงพูด เธอหวังให้เขาจดจำเธอไปตลอด หากจะจีบไม่ติดจริงๆ ทุกครั้งที่เขาคิดถึงน้ำตกนี้ ทุกครั้งที่คิดถึงจังหวัดบ้านเกิด เขาจะต้องนึกถึงสัญญาของเธอเป็นอันดับแรก และต่อไปนี้เธอจะค่อยๆ ซึมซับตัวเองไปในทุกห้วงความคิดของเขา เขาจะต้องคิดถึงหน้าเธอเป็นสิ่งแรกๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด สุดท้ายแล้วจะไปไหนรอด

ลูกไก่ในกำมือไอ้ก้านชัดๆ

“ไปเองสิ ชวนคนที่อู่ไป”

“ไม่เอา อยากไปกับพี่”

“ฝันไปเถอะ” หน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสิบแปดนาฬิกาสี่สิบนาที เขาเสียเวลาตรงนี้ไปนานกว่าที่คิดไว้หลายเท่าตัว “กลับไปที่วงเหล้าได้แล้ว อืม จริงๆ มันควรเป็นกลับบ้านหรือเปล่านะ”

กุสุมาลย์หัวเราะพรืด ยื่นมือมากุมท้องแล้วโบกไม้โบกมือให้ “พี่นี่ยังกับเป็นพ่อแน่ะ”

“ก็เธอควรกลับบ้านจริงๆ แล้วก็อย่าดื่มเยอะนักล่ะ”

“ของแบบนี้ห้ามยาก” เธอกล่าวออกมาด้วยความสัตย์จริง หากต้องเลิกเหล้าสู้ให้ตายไปเลยยังดีกว่า “พี่จะกลับแล้วใช่ไหม”

ใบหน้าคมพยักขึ้นลง “มีอะไร”

“พรุ่งนี้มาหาก้านอีกได้เปล่า”

เขาอดจะขมวดคิ้วไม่ได้ “ฉันไม่ได้มาหาเธอด้วยซ้ำ แค่มาส่งของให้นาย”

“นั่นมันวันนี้ ก้านหมายถึงพรุ่งนี้น่ะ มาหาได้ไหม” เธอมองเขาตาละห้อย “ที่นี่แหละ”

“ไม่”

“ก็คนมันอยากเจอ”

“ไม่”

“น้า เดี๋ยวรออยู่ที่เดิม” นิ้วถูกชี้ไปที่โต๊ะหินอ่อน พรุ่งนี้เธอลางานจริง แต่ลาเพียงครึ่งวันเช้าเพราะเสร็จธุระแล้วจะกลับมาทำงานต่อ “ตรงนั้น”

ปากบอกว่าจะจีบเขาแต่ให้เขาเป็นคนมาหาถึงที่ จีบภาษาอะไรของแม่นี่กันหนอ

“ไม่”

ชยางกูรราวถูกตั้งระบบให้ตอบแต่คำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา กุสุมาลย์ก็ตั้งท่าจะเถียงด้วยความออดอ้อนให้เขาใจอ่อน แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เสียงกัมปนาทของใครบางคนที่คุ้นหูเป็นอย่างดีก็ดังขึ้นแทรกเข้ามาในโสตประสาทเสียก่อน ขนกายของช่างยนต์ตัวน้อยลุกเกรียวอย่างพร้อมเพรียง

“ไอ้ก้าน!”

การปรากฏตัวของยายป้ามหาภัยทำให้คู่กรณีอย่างเธอตัวแข็งทื่อจนก้าวขาไม่ออก กระทั่งผู้มาใหม่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เหลือบสายตาไปมองวงเหล้าก็เห็นว่าทุกคนนิ่งไปไม่ต่างกัน เสียงเพลงหยุดลงจนความเงียบที่แสนอึดอัดลอยตัวลงมากดทับทั่วบริเวณหน้าสมหมายการช่าง

“นี่มันกี่โมงแล้ว” ขวัญเรือนให้โอกาสแล้วให้โอกาสอีก ไม่โทร.ตาม ไม่ส่งคนมาดู เพื่อรอการกลับมาของลูกสาวคนรองที่สั่งไว้ดิบดีว่าอย่างไรเสียเลิกงานก็ต้องกลับบ้านมาพร้อมแซนด์วิชที่ให้ไปรับแทนลูกชาย ทว่าหล่อนคงประเมินกุสุมาลย์ไว้สูงเกินไป รออยู่นานก็ไม่เห็นมันจะโผล่หัวกลับมาสักที และไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาว่าลูกตัวดีจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหนนอกจากจับวงก๊งเหล้าอยู่หน้าอู่

หล่อนลั่นวาจาไปแล้ว ถ้าเลิกงานมันไม่ถึงบ้านจะอาสามาลากคอกลับเอง

“ม้า หนูก็กำลังจะกลับ วันนี้ไม่ได้จะกินเหล้าสักหน่อย”

“ไม่กินเหล้าแล้วนี่กลิ่นอะไร นมถั่วเหลืองเรอะ”

“ใช่ เขาผลิตสูตรใหม่”

หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก “ไม่กวนตีนสักวันมันจะหายใจไม่ออกหรือไง”

“โธ่ม้า ก็หนูกินไปนิดเดียวจริงๆ นี่ สองแก้วถ้วนไม่ขาดไม่เกิน ไม่นับว่ากินหรอก เรียกว่าฆ่าเวลาเฉยๆ” เธอไม่เว้นช่องให้มารดาดุด่าก็รีบส่งประโยคถัดไปออกมาทันที “ก็เมื่อเย็นไปรับมาแล้วแต่เขายังทำไม่เสร็จ จะให้หนูไปเร่งได้ไงเล่า หนูก็เลยมารอที่อู่ แล้วม้าจะให้หนูมานั่งรอเหงาๆ คนเดียวเหรอ ก็ต้องไปนั่งกับพวกพี่ๆ”

“อย่ามาแถไอ้ก้าน กลับไปรอที่บ้านก็ได้”

กุสุมาลย์รีบโบกมือให้คู่สนทนา “ม้าสั่งหนูไว้แท้ๆ ว่าให้ไปรับของให้น้อง ถ้ากลับบ้านไปแบบไม่มีของ หนูก็ขัดคำสั่งม้าน่ะสิ”

“ถุย ก็ขัดมาตลอดอะ อย่ามาทำปากดี”

คนอายุน้อยกว่าไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “เนี่ย พี่เขาเพิ่งเอามาส่งเมื่อกี้เลย หนูก็กำลังจะกลับบ้านอยู่แล้วถึงม้าไม่มาตามก็เถอะ”

หญิงวัยกลางคนเห็นอยู่แล้วว่ามีคนอยู่กับลูกสาว แต่เมื่อครู่ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่การโยนระเบิดลงกบาลกุสุมาลย์เท่านั้นเลยไม่นึกสนใจ ลูกสาวคนนี้ลายล้อมไปด้วยผู้ชาย ซึ่งล้วนแต่เป็นพรรคพวกเพื่อนฝูง เห็นลูกอยู่กับชายหนุ่มสองต่อสองหล่อนยังไม่คิดเป็นอื่นเลย สงสารผู้ชายหากต้องมาตกระกำลำบากถ้าเป็นอะไรกับลูกสาวหล่อนเข้าจริงๆ

ขวัญเรือนหันไปพินิจใบหน้าและการแต่งตัวที่ดูดีเกินกว่าจะเป็นช่างยนต์ในอู่ ชายหนุ่มยกมือไหว้คนมาใหม่อย่างมีมารยาท หล่อนจึงพยายามสงบสติอารมณ์และมอบรอยยิ้มที่แสนเป็นมิตรให้ ต่างกับเมื่อครู่เป็นไหนๆ ก็เพราะทุกคนทั้งโลกเว้นกุสุมาลย์ไม่ได้ทำให้หล่อนไมเกรนขึ้นนี่

“ขอโทษที่มาส่งช้าครับ ผมก็เพิ่งมาถึงก่อนหน้าคุณน้าแค่ครู่สั้นๆ เองครับ”

กุสุมาลย์ยิ้มออกหลังเจอพายุคลั่งของมารดา เธอหวังให้เขาช่วยแต่ก็ยังไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือมาช่วยหรือตัดหางปล่อยวัด ทว่าทันทีที่เขารับหน้าให้ เธอก็กลั้นยิ้มไม่อยู่

“อย่างนั้นหรือ ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรจ้ะ” ว่าจบก็หันมาทางลูกสาว แววตามีความกรุ่มผสมอยู่เล็กน้อยถึงปานกลาง อยากด่าใจจะขาดแต่มันดันมีหลักฐานแน่นหนาแถมพยานก็ยืนให้การอยู่ใกล้ๆ “ถึงอย่างนั้นก็หักล้างเรื่องที่เอ็งกินเหล้าไม่ได้ ม้าบอกไปแล้วว่าวันนี้ให้งด พรุ่งนี้ตื่นไม่ไหวจะทำไง บุญน่ะหัดสร้างซะบ้าง”

“น่า หนูก็ตื่นไหวทุกวันอะ”

“พูดแล้วจะต้องเถียงทุกประโยค มันแค่ฟังเฉยๆ ไม่ได้เรอะ” อันที่จริงหลายๆ ครั้งกุสุมาลย์ก็ทำเช่นนั้น ฟังเฉยๆ เข้าหูซ้ายวิ่งสี่คูณร้อยออกหูขวา ไม่มีอะไรประทับลงหัวเลยสักนิด “กินแล้วก็ไปนั่งข้างๆ เอากุญแจมา เดี๋ยวม้าขับเอง”

“แล้วม้ามากับใคร” ถามพร้อมลากสายตาไปหารถที่จอดอยู่ใกล้ๆ วงเหล้า ร่างของชายวัยกลางคนยืนมองมาทางนี้ด้วยท่าทางใจดี เท่านั้นกุสุมาลย์ก็รู้สึกราวเห็นแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาทางปากอุโมงค์ “หนูจะกลับกับป๊า”

จบประโยคก็ยัดกุญแจรถใส่มือมารดาแล้ววิ่งหางจุกตูดไปขึ้นรถของนายแพทย์เรวัชอย่างไม่รอช้า หล่อนได้แต่ฮึมฮัมในลำคออย่างนึกโมโหที่เสียรู้ให้ลูกสาว กะว่าอยู่สองคนแม่ลูกจะเทศนาให้หูชาสักหน่อย จึงปลอบใจตัวเองไปว่าวันพระไม่ได้มีหนเดียว คนเช่นกุสุมาลย์จะต้องมีเรื่องให้เธอได้ด่าในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

ขวัญเรือนชะงักให้กับความคิดของตน นี่หล่อนพึงพอใจกับการได้ทำเช่นนี้หรือ หากลูกสาวทำตัวดีๆ มันจะไม่ดีกว่าที่เป็นอยู่หรืออย่างไร แน่นอนว่าดี แต่ผู้เป็นมารดาย่อมรู้ว่ากุสุมาลย์ไม่มีวันทำตัวดีๆ อย่างใจหวัง เพราะฉะนั้นหล่อนควรเตรียม ‘คำอวยพร’ ไว้มอบให้ตอนมันสร้างเรื่องจะเป็นการดีกว่า เพราะมันสร้างแน่

หญิงวัยกลางคนหันไปส่งยิ้มให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์การแสดงความรักของแม่ลูก ที่ปกติแล้วไม่ค่อยได้แสดงเวลาอยู่นอกบ้าน ด้วยหล่อนเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมจึงพยายามรักษาภาพลักษณ์ของวงตระกูลที่กุสุมาลย์ขยันทำลาย

“ม้าไปนะลูก”

“เดินทางปลอดภัยครับ”

ชยางกูรละสายตาจากคนอายุมากกว่าตรงหน้า หันความสนใจไปมองยังซีดานสีดำที่เคลื่อนตัวออกจากอู่แล้วแค่นหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน ภาพเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่รีบหนีร้อนไปพึ่งเย็นฉายชัดราวถูกกดเล่นซ้ำก็ไม่ปาน

นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ยังไม่หย่านมแม่จริงๆ ด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel