บท
ตั้งค่า

ไม่เข้าตาที่หนึ่ง : บริการส่งมอบความรัก (1)

สองสามวันที่ผ่านมา ทุกคนที่เจอหน้ากุสุมาลย์มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่อนุญาตครับ’ ที่เจือไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางมากกว่าจะนึกเห็นใจ ซึ่งว่ากันตามตรงน้องเล็กของกลุ่มก็ไม่ได้หวังว่าพี่ๆ ในอู่จะโอ๋หรืออะไร เล่าออกไปก็รู้ชะตาว่าต้องโดนล้อ แต่เธอเป็นพวกปากไม่มีหูรูด มีเรื่องอะไรในใจก็ไม่ชอบเก็บไว้ให้มันหนักอก

กุสุมาลย์ในชุดช่างยนต์เดินลงมาจากชั้นสองของบ้านหลังใหญ่ ขณะที่เดินมาถึงบันไดก็เห็นพี่สาวคนสวยในชุดพยาบาลสีขาวสะอาดตา ข้างกันเป็นพี่เขยในชุดลำลองง่ายๆ เพราะแค่ใส่ไปนั่งในออฟฟิศที่โรงผสมซีเมนต์ของ หจก. เพียรกุลซีเมนต์ เสียงเท้ากระทบพื้นจากด้านหลังเรียกให้สายตาคู่รักต้องหันกลับไปมอง

รอยยิ้มของทั้งสองถูกส่งมา เธอจึงยิ้มกลับไป สายตาก็จดจ้องท่วงท่าที่สง่าของพี่สาวในทุกๆ อากัปกิริยา ไม่ว่าจะนั่ง นอนหรือเดิน พี่ของเธอทำมันได้อย่างงดงาม ถูกใจคุณนายขวัญเรือนยิ่งกว่าใคร ทว่าเธอหาได้รู้สึกอิจฉาไม่ กลับกัน กุสุมาลย์เป็นกองอวยเบอร์ต้นๆ ของกินรีเลยก็ว่าได้

หลังลงมาถึงโต๊ะอาหารเพื่อรับประทานมื้อเช้าก่อนไปทำงาน คนตัวเล็กก็เจอเข้ากับหนึ่งในประมุขของเพียรกุลที่ช่วยแม่บ้านจัดเตรียมอาหารเช้า หญิงวัยกลางคนเหลือบตามองลูกสาวคนโตและลูกเขยด้วยรอยยิ้ม ก่อนมันจะเหือดหายไปทันทีที่เห็นว่าใครอยู่ด้านหลัง

หล่อนยกมือเท้าเอว “เมื่อคืนถึงบ้านกี่โมง”

เวลาคุยกับคนอื่นขวัญเรือนคุยได้ปกติ ทำไม้ทำมืออะไรไปตามประสา ทว่าเมื่อคู่สนทนาคือกุสุมาลย์ มือมันก็ถูกยกมาเท้าไว้ที่เอวโดยอัตโนมัติ แม้จะเป็นหัวข้อทั่วๆ ไปอย่างไรก็ไม่พ้นจะมีความกรุ่นเจืออยู่ในประโยค ห้ามตัวเองไม่ได้เสียแล้วในเมื่อลูกสาวตัวดีประพฤติตัวเช่นนี้จนกู่ไม่กลับ

“ไม่รู้ ต้องถามหมวดใบ” ตอบอย่างไม่ยี่หระก่อนทิ้งตัวนั่งลงที่ประจำ ซึ่งเป็นที่ข้างๆ ของมารดา เพื่อความสะดวกในการทารุณกรรมลูกสาว ถัดจากเธอเป็นน้องชายที่ยังไม่ยักจะเห็นหน้า หัวโต๊ะเป็นบิดาผู้แสนใจดี หากไม่ได้แบ็กดีเช่นนี้ เธอคงโดน ‘ยายป้า’ ฆ่าหมกตู้เย็นไปแล้ว ตรงข้ามเป็นส่วนของพี่สาวและพี่เขย

ขวัญเรือนฮึมฮัมในลำคอก่อนนั่งลงด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์นัก เหตุก็มาจากลูกสาวคนรองที่ชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจจนลำบากคนอื่นต้องคอยหิ้วปีกกลับบ้านอยู่ร่ำไป แทนที่คนเขาจะได้พักผ่อนต้องคอยมาตามเช็ดตามล้าง ครั้นจะให้มันขับรถกลับบ้านเองก็กลัวจะเป็นเรื่องใหญ่ และถึงอย่างไรมันก็ลูกสาวหล่อน ทนใจแข็งให้มันนอนตากยุงอยู่หน้าอู่ไม่ได้

“ทำตัว แทนที่น้องมันจะได้พักผ่อน”

กุสุมาลย์ไม่คิดเถียง เธอทำหูทวนลมแล้วตักข้าวเข้าปาก หญิงวัยกลางคนก็รู้ดีเรื่องที่คำพูดของตนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้ซึมซับลงไปที่สมองทื่อๆ ของอีกฝ่าย กระนั้นก็ห้ามปากไม่ได้ มีลูกกับเขาสามคน คนแรกดีจนนึกว่านางฟ้านางสวรรค์มาจุติ คนสองเลยไม่ต่างจากอเวจีส่งมาเกิด ดีที่คนสุดท้องมาแก้มือให้

มันไม่น่าชื่อกุสุมาลย์ อย่างไอ้ก้านน่ะ กุสุมารชัดๆ

“พรุ่งนี้ลางานด้วย แต่ม้าโทร. ไปบอกเฮียหมายไว้แล้วแหละ”

คนที่ไม่คิดจะสนใจสาววัยทองเป็นต้องตวัดสายตามามอง ขมวดคิ้วเข้าหากันจนหน้าผากเกิดรอยย่น “ลาทำไม หนูไม่ไปไหนทั้งนั้นอะ”

“พรุ่งนี้วันเกิดน้อง”

เธออาจจะดูเหมือนคนไม่ใส่ใจรายละเอียดของคนรอบข้าง ทว่ากลับจำได้ทุกอย่าง วันเกิดบิดามารดาและทุกๆ คนในครอบครัว วันเกิดพี่ๆ ในอู่ วันสำคัญทางศาสนาคนอย่างกุสุมาลย์ยังจำได้เลย แน่นอนว่ารวมถึงวันพรุ่งนี้ที่เธอได้เตรียมของขวัญไว้ให้น้องชายสุดที่รักในวันคล้ายวันเกิดแล้วด้วย

ยี่สิบมีนาคมวันเกิดเธอ ยี่สิบเมษายนวันเกิดเลปกร บุคคลผู้ที่เหมาะจะเป็นพี่น้องกันจริงๆ

กุสุมาลย์พยักหน้ารับ มือก็ตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวจนแก้มตุ่ยแต่ยังพูดได้ เป็นกิริยาที่ไม่น่าชมน่าแลนัก ช่างผ่าเหล่าผ่ากอไปเสียทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ “หนูเตรียมของขวัญไว้ให้ละ เคยลืมวันเกิดใครที่ไหน แล้วม้ากับป๊าเตรียมอะไรไว้ให้น้องอะ”

ขนาดลูกชังอย่างเธอยังได้รถยนต์คันเป็นล้านมาขับ ลูกรักอย่างเลปกรต้องได้มากกว่านั้นอยู่แล้ว และที่เธอได้รับของขวัญชิ้นงามก็เป็นการตัดสินใจของบิดาอย่าง นพ. เรวัช ที่เห็นว่าลูกสาวชื่นชอบพาหนะที่สมบุกสมบันมากกว่าภาพลักษณ์ที่เรียบหรู ก่อนหน้านี้เธอมีมอเตอร์ไซค์วิบากเป็นของตัวเองหนึ่งคัน ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงที่เจียดจากการจ่ายค่าน้ำเมาไปซื้อมา ทุกวันนี้ก็ยังใช้ เพียงแต่เห่อของใหม่เลยไม่ค่อยได้จับคันเก่า

“วันนี้เลิกงานแล้วกลับบ้านเลย ไม่ต้องไปตั้งวงก๊งเหล้ากับพี่ๆ เอ็งแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปทำบุญ และถ้าถึงเวลาแล้วยังไม่เห็นเอ็งที่บ้าน ม้าไปลากคอถึงที่แน่”

ขวัญเรือนไม่ได้ตอบคำถามของลูกสาว ด้านคนถามก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ อีกหน่อยเธอก็คงทราบเองว่าน้องชายได้อะไร ไหนยังหันมาสนใจประเด็นที่มีความสำคัญกับชีวิตตนเองมากกว่าการยุ่งเรื่องชาวบ้าน

กุสุมาลย์โอดครวญราวคนเจ็บ “ม้าอ่า มันไม่ได้”

“อะไรไม่ได้!” หล่อนเสียงแข็ง “อย่าให้มันมากนะไอ้ก้าน กินจนตับแข็งตายหมดละมั้งนั่น”

“อวยพรแต่เช้า”

ขวัญเรือนยิ่งปี๊ดแตกไปกันใหญ่เมื่อลูกตัวดีไม่เคยคิดจะยอมอ่อนข้อให้ ไม้แข็งไม้อ่อนก็เห็นทีจะใช้กับมันไม่เคยได้ผล หญิงวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ผ่อนออกมาช้าๆ คล้ายพยายามทำสมาธิ ในขณะที่อีกสามคนก็มองดูด้วยรอยยิ้มบางๆ กับสงครามประสาทของแม่ลูกที่เจอหน้ากันเป็นอันต้องปะทะคารมทุกครั้งไป

“พรุ่งนี้หลังเสร็จจากที่วัดน้องจะไปแจกของกินที่โรงเรียน ป๊าไปไม่ได้เพราะติดประชุม เจ๊กิ่งก็ไม่ว่าง เลยมีแค่ม้า เฮียไนน์ น้อง แล้วก็มึงอะ ไปช่วยกัน”

กุสุมาลย์รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “หนูก็ไม่ว่าง”

“อยากตายหรือไง”

เธอกระแทกลมหายใจทิ้ง ไม่ได้โกรธที่มารดาเรียกขานตนว่า ไอ้ก้าน มึง หรือแม้แต่แช่งชักหักกระดูกกันเธอยังไม่คิดอะไร แต่รับไม่ได้เป็นอย่างมากที่จะไม่ได้ดื่มเหล้า ช่วงนี้ยิ่งเจ็บหนักจากอาการอกหักเรื้อรังรักษาไม่หาย หากไม่ได้แอลกอฮอล์มาช่วยรักษา ผู้ป่วยเช่นเธอจะหลับตาลงได้อย่างไรกัน

“ม้า อย่าว่าน้องแบบนั้น” กินรีที่เงียบอยู่นานช่วยห้าม นึกเห็นใจน้องสาวที่โดนดุโดนด่าทุกวี่วัน แต่ก็ไม่ยักจะเห็นว่าอีกฝ่ายจะปรับปรุงตัว จึงเห็นใจกึ่งเวทนา

“กิ่งไม่ต้องไปเข้าข้างมันหรอกลูก ดูเอาเถอะ ม้าพูดขนาดนี้ยังไม่รู้จักสำนึก” ว่าจบก็หันไปหาคู่กรณี “ไม่รู้แหละ เย็นนี้เลิกงานแล้วกลับบ้านเลย พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าไปช่วยคนอื่นเขา และถ้าคิดจะลองดีนะ ระวังจะได้เจอดี”

“เจอดีก็ดีกว่าไม่ดีอะ โอ๊ย ม้า!” กุสุมาลย์ร้องเสียงหลงทันทีที่พูดจบ เมื่อมีมือของยายป้าบางคนยื่นมาบิดที่ต้นแขนจนสะดุ้งโหยง แต่ผู้ก่อเหตุยังคงเพิ่มแรงแทนที่จะหยุดการกระทำ “เรียกตำรวจเร็ว ตำรวจ ตำรวจอยู่ไหน!”

เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เลปกรเดินมาถึงบริเวณโต๊ะอาหาร เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างพี่สาวเจ้าปัญหาที่ส่งเสียงร้องแรกแหกกระเชอแสบแก้วหูตั้งแต่เช้า ตำรวจหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าพี่สาวจะต้องโดนมารดาทำอะไรสักอย่าง ทว่าไม่เคยคิดอยากช่วยเหลือ หลังนั่งลงที่ประจำจึงทักทายคนอื่นๆ อย่างมีมารยาทและให้ความสนใจเพียงอาหารที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น มองข้ามเสียงนกเสียงกาอย่างไม่ไยดี

“ตำรวจมันไปมุดหัวอยู่ไหนทำไมไม่มาช่วยเหลือประชาชน เดี๋ยวจะแจ้ง ผบ.ตร.”

เลปกรเหลือบตามองพี่สาว ถอนหายใจทิ้งหนึ่งหน “ไม่เรียกเทศบาลมาจับไปสักทีอะม้า”

กุสุมาลย์อ้าปากค้าง แม้จะเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยๆ แต่ก็อดทึ่งในทักษะการเหน็บแนมของอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งๆ ที่เธอทั้งรักและเอ็นดูน้องชายคนนี้ยิ่งกว่าใครในโลก ดูตอบแทนพี่สาวคนนี้ซิ น้ำตาแทบเล็ด

ตำรวจหนุ่มไม่สนใจสีหน้าแสนโง่เง่าของพี่สาว เอ่ยบอกถึงธุระของตน

“เย็นนี้ไปรับแซนด์วิชให้ด้วย ผมต้องไปต่างจังหวัดกับนาย ได้กลับ-”

“ไม่เอา” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ กุสุมาลย์ก็โพล่งขึ้นทันที “คนอื่นเถอะ”

“ไอ้ก้าน!” มารดาที่ยังคงฉุนเป็นทุนเดิมได้ทีปะทุอารมณ์อีกรอบ

“เดี๋ยวผมไปรับให้เองก็ได้ครับม้า” ณัฐกรณ์ออกหน้าอาสาจะไปเองเพื่อไม่ให้น้องสาวภรรยาโดนทารุณไปมากกว่านี้

กุสุมาลย์ได้ทีรีบสนับสนุนพี่เขย “เห็นปะ เฮียเขาไปเองได้”

“เงียบ!” ขวัญเรือนเอ็ดลูกสาวก่อนหันไปทางลูกเขย “ไนน์ไม่ต้องไปลูก อย่าไปให้ท้ายมันแบบนี้ มันจะเสียคน”

“เสียไปแล้วด้วยซ้ำ” เลปกรเสริมคำพูดมารดา

ประมุขใหญ่ของบ้านเห็นทีจะนิ่งดูดายไม่ได้ “ก้านไปรับให้น้องหน่อยนะลูก ป๊า เจ๊กิ่ง หรือน้องไม่ใช่ว่าเวลาอยากไปไหนก็ไปได้เลยเหมือนลูก ข้าราชการก็แบบนี้ ลูกแค่บอกเฮียหมายไว้แล้วออกไปเขาก็ไม่ว่าอะไรแล้ว”

“แต่จริงๆ มันก็มีคนที่ว่างอยู่คนหนึ่ง คนที่ไม่ได้ทำอะไร”

ขวัญเรือนหูผึ่ง ตาเบิกโตจนแทบถลนออกมานอกเบ้า “มึงจะเอาให้ได้ใช่ไหม”

“หนูเอ่ยชื่อม้าหรือยัง รีบร้อนตัวไปไหนอะ”

“พอๆ เจ๊นั่นแหละต้องไปรับ ทีผมยังไปรับเจ๊ได้ทุกวี่ทุกวัน ไม่ต้องนอนเป็นหมาจรข้างทางได้เพราะใคร สำนึกบุญคุณซะบ้าง” เธอได้แต่กระแทกลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ จะเถียงก็หลังชนฝาเสียแล้ว เพราะหากไม่ได้เลปกรคอยช่วยเหลือ เธอคงจะลำบาก อย่างไรการนอนบนเตียงนุ่มๆ ในห้องแอร์ก็ดีกว่าต้องนอนตากยุง กุสุมาลย์ยอมรับความพ่ายแพ้แล้วหันมาจัดการข้าวเช้าที่เหลืออีกไม่มาก ทว่าน้องชายยังบ่นตามหลังไม่เลิก “ทำตัวเป็นพวกนอกคอก”

“ในคอกมีแต่ควาย”

เลปกรหันขวับ พอลับฝีปากสู้พี่สาวไม่ได้ก็ฟ้องแม่ “ม้า เจ๊มันว่าผม”

“เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย” หล่อนคาดโทษลูกสาว

“ม้าไม่น่าเก็บเจ๊ก้านมาเลี้ยงเลยอะ”

กุสุมาลย์ทำเสียงขึ้นจมูก “เหอะ เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกจะไปรู้อะไร คนที่ถูกเก็บมาเลี้ยงคือแกต่างหาก เจ๊ยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี ตอนที่ป๊ากับม้าพาพวกเราไปเที่ยวแล้วแวะเติมน้ำมัน ป๊าก็เห็นเด็กตัวแดงๆ นอนอยู่ในผ้าขนหนูข้างถังขยะ สงสารเลยเก็บเอามาเลี้ยง”

“ตอนผมเกิด เจ๊เพิ่งได้ขวบกับหนึ่งเดือน”

“ความจำดีน่ะ” เธอสวนทันควัน ไหวพริบเรื่องการต่อปากต่อคำไม่เป็นสองรองใคร “จำได้แม้กระทั่งตอนอยู่ในท้องม้า ตอนเข้าวันที่หนึ่งร้อยห้าสิบของการตั้งครรภ์ เจ๊ถีบท้องม้าไปหกครั้ง ไม่รวมดิ้นอีกกว่ายี่สิบ วันที่คลอดนี่คนอื่นยังต้องให้พยาบาลตบตูดอยู่เลยถึงจะร้อง แต่เจ๊ออกมาถึงก็เท้าเอววีน” กุสุมาลย์พยายามดัดเสียงให้แหลมกว่าปกติ ซ้ำยังยกมือขึ้นมาเท้าเอวประกอบคำพูด “ให้ฉันออกมาได้สักทีนะยะหล่อน อึดอัดจะแย่อยู่ละ”

ถึงกุสุมาลย์จะชอบทำตัวน่าขัดใจ แต่อย่างไรก็เป็นคนในครอบครัว ดุบ้างด่าบ้าง ตบตีตามประสา ถือเป็นการแสดงความรักของบ้านเพียรกุล ทว่าลึกๆ แล้วไม่มีใครไม่รักผู้หญิงคนนี้เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งรักและห่วงใย ในตอนที่เธอเอาแต่โม้ด้วยสีหน้าจริงจัง นั่นจึงเรียกเสียงหัวเราะให้โต๊ะอาหารได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับคู่กรณีอันดับหนึ่งของสาวเจ้าอย่างขวัญเรือน หล่อนหวนคิดไปถึงวันที่คลอดกุสุมาลย์ออกมา นอกจากจะไม่แหกปากร้องแล้วน้ำหนักตัวยังน้อย นอนเป็นวัยรุ่นตู้อบอยู่นานหลายวัน

ใครไหนเล่าจะคิดว่าไอ้เด็กคนนั้นมันจะโตมาเป็นคนพูดมากเช่นนี้ แต่หากบ้านหลังนี้ไม่มีคนเช่นกุสุมาลย์ เห็นทีจะเงียบเหงาจนน่าใจหาย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel