บทที่1│ว่าที่สตรีหมายเลขสาม (4)
ความฉงนเกิดแก่บุคคลทั้งสองที่ตีโพยตีพายไปเองใหญ่โตว่ารติรสอาจจะมีปัญหากับพศุตม์ ตอนน้องสาวออกจากห้องน้ำ หล่อนหรือก็รีบปรี่ไปหวังจะถามไถ่ถึงสาเหตุที่ทำให้เธอร้องไห้เป็นเผาเต่า ทว่ารติรสกลับรีบเดินเข้าห้องนอน ซ้ำยังปิดประตูใส่หน้าพี่สาวอีกต่างหาก
หล่อนบอกแล้ว นางเด็กนี่มันนิสัยเสีย พอได้ดีเข้าหน่อยก็ทำตัวเป็นวัวลืมตีน
ตลอดเวลาเย็นจนค่ำ หลังเธอเข้าไปในห้องแล้วก็ไม่โผล่หัวออกมาอีกเลย หล่อนและสามีจึงไม่สามารถรับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายได้ มีเพียงการคาดเดาไปต่างๆ นานาอย่างไม่มีมูล
ทว่าข้อสันนิษฐานทั้งหลายแหล่เป็นอันมลายสิ้น เมื่อช่วงหัวค่ำมีรถหรูของพศุตม์มาจอดเทียบหน้าบ้าน ก่อนร่างกำยำของผู้ทรงอำนาจจะก้าวอาดๆ เข้ามา เขาไม่แม้แต่จะก้มหัวให้ว่าที่พ่อตาและแม่ยายด้วยซ้ำ กลับเป็นมารดาของหล่อนที่ต้องไปพะเน้าพะนอว่าที่ลูกเขย ทีกับสามีหล่อนแล้วด่าเช้าด่าเย็น ด่าเช็ดถึงบรรพบุรุษ แต่กับผู้ชายของรติรส มารดาแทบกราบ
ระหว่างที่หญิงวัยกลางคนกำลังพูดคุยกับแขกกิตติมศักดิ์ รจเรขก็หันไปหาเอกภพ พูดเสียงลอดไรฟันให้ได้ยินกันเพียงสองสามีภรรยา
“ไหนว่ามันทะเลาะกัน”
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว “แต้วนั่นแหละพูด”
ใบหน้าปรากฏริ้วความไม่พอใจ “พี่นั่นแหละ หรือพี่จะปฏิเสธว่าไม่ได้คิด”
เขาคิดก็จริง แต่ตัวตั้งตัวตีมันเป็นรจเรข ทว่าเอกภพก็คร้านจะเถียง จึงได้ยอมๆ ไป
“ไม่เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว”
พศุตม์นึกรำคาญเสียงนกเสียงกาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ของคนทั้งสอง จึงตัดบทแม่ยายแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนของรติรส เคาะประตูอยู่ไม่กี่ครั้งก็มีเสียงขานรับสั้นๆ ในลำคอ ทว่าก็ไม่ยอมเปิดประตูให้เขาสักที
ไม่ถึงหนึ่งนาทีที่ยืนรอ แต่เขารู้สึกว่านั่นเป็นเวลาที่นาน นานเสียจนอยากกระชากประตูให้เปิดออกแทนการยืนรอเฉยๆ
เสียงเข้มบ่งบอกอารมณ์เป็นอย่างดี “ตี้ เปิด”
มารดาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร้องบอกบุตรสาวคนเล็กเสียงอ่อนเสียงหวาน “น้องตี้ เปิดประตูให้เสี่ยคิดหน่อยลูก”
“น้องเก็บห้องอยู่”
ได้คำตอบเช่นนั้น หล่อนก็หันมาหาว่าที่ลูกเขยที่น่าเกรงขาม
“รอสักแป๊บนะเสี่ย”
ระหว่างรอ ‘คนแสร้งว่าเก็บห้อง’ ทุกคนก็ตกอยู่ในความประหม่าไม่ต่างกัน เพียงแค่อยู่ใกล้ๆ กับพศุตม์ก็คล้ายว่ามีมวลอากาศขนาดใหญ่กดทับจนหายใจแทบไม่ออก รออยู่เกือบห้านาทีกว่ารติรสจะยอมลุกออกจากเตียงนอนเพื่อไปเปิดประตูตามคำเรียกร้องของ ‘แขกผู้ทรงเกลียด’ ที่หลังประตูถูกแง้มไว้นิดๆ ในตอนแรก เขาก็ใช้มือดันประตูให้เปิดกว้างพลางพยายามแทรกตัวเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
รติรสยกมือไปดันแผ่นอกกว้าง “น้องแต่งตัวเสร็จแล้วค่ะ ไม่ต้องเข้ามาหรอก”
“จะเข้า”
ประตูถูกปิดลงด้วยฝีมือของคนมาใหม่ที่แทรกกายเข้ามาได้สำเร็จ รติรสจึงผละตัวออกห่างเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตัวเอง หัวใจเธอเต้นระส่ำด้วยเป็นครั้งแรกที่เขาย่างกรายเข้ามาถึงในห้องนอน แต่ก่อนมีแค่มาหยุดอยู่หน้าห้อง เท่านั้นก็ทำให้เธอขวัญผวาได้แล้ว แต่ ณ เวลานี้ มนุษย์ที่เธอรังเกียจที่สุดในโลกกลับมายืนอยู่ในห้องนอน มาโดยความยินยอมของครอบครัวที่ไม่มีใครคิดห้ามปราม
เธอไม่เหลือใครแล้วจริงๆ
นัยน์ตาคมเข้มกวาดไปทั่วห้องอย่างพยายามสำรวจรายละเอียด มือก็เที่ยวหยิบจับสิ่งของโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ห้องสะอาดนะ”
เธอเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะตอบ “น้องเพิ่งทำความสะอาดไปเมื่อกี้”
เขาแค่นหัวเราะ พศุตม์หาใช่คนโง่ มือที่แตะลงไปยังเตียงนอนยังสัมผัสได้ถึงความอุ่น เพิ่งจะลุกออกจากเตียงด้วยซ้ำ หลอกให้เขายืนรออยู่ตั้งนานสองนาน
ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจจริงๆ
“เราจะไปกันหรือยังคะ”
คิ้วเข้มถูกเลิกขึ้นในจังหวะที่หย่อนตัวนั่งลงบนเตียง “รีบเหรอ”
มือบางกำแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด ที่นอนของเธอ ผ้าห่มของเธอ ถูกมันสัมผัสหมดแล้วทุกอย่าง ความโกรธตีรวนในหัวใจจนได้ยินเสียงกัดฟันกระทบโสตประสาท
“เสี่ยคะ น้องอยากไปแล้ว”
“ตอนแรกไม่เห็นจะอยากไป” ว่าพร้อมทิ้งตัวลงนอน รติรสแทบหลั่งน้ำตา พื้นที่ส่วนตัวของเธอถูกรุกล้ำจนหมดสิ้น ได้แต่ยืนข่มความโกรธมองดูคนไร้มารยาทที่นอนกระดิกเท้าอย่างสบายอารมณ์ “มานอนกับเสี่ยหน่อย”
“น้องว่าถ้ามัวแต่ลีลาจะไม่ทันพระสวดนะคะ”
“เหลือเฟือ” พศุตม์ยังคงไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใด เตียงนี้ไม่สบายเท่าเตียงที่บ้าน แต่นอนแล้วสบายใจ ยิ่งได้เห็นคนโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาก็ยิ่งเป็นปลื้ม
แล้วเธอจะได้รู้ว่าอย่าคิดลองดีกับคนอย่างเขา
“เดินมานี่”
รติรสยังคงไม่ขยับกายไปไหน
“ถ้ามาตอนนี้ คืนนี้เสี่ยจะกลับบ้าน แต่ถ้าพูดไม่ฟัง คืนนี้คงจะต้องนอนที่นี่เสียแล้ว” เขายักคิ้วหลิ่วตาให้หญิงสาว “หรืออยากโดนสั่งสอน”
“ถ้าน้องเดินไป คืนนี้เสี่ยจะไม่นอนที่นี่ใช่ไหมคะ”
“เสี่ยมีสัจจะพอ”
“แล้วถ้าน้องไม่ไป”
เขาไหวไหล่ “ก็นอนที่นี่ ผัวนอนบ้านเมียไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย”
เธอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ในเมื่อไม่มีใครที่จะยื่นมือมาช่วยได้อีกแล้ว และเธอก็ขลาดเกินกว่าจะโบยบินไปด้วยปีกหักๆ เช่นนี้ ในท้ายที่สุด ทุกอย่างที่กลัว ทุกสิ่งที่เกลียด เธอจะได้ประสบพบเจอทุกรูปแบบ
ไม่ช้าก็เร็ว แม้จะรู้สึกว่าเร็วเกินตั้งรับ เธอก็เลี่ยงมันไม่ได้เสียแล้ว
“เสี่ยอย่าทำอะไรน้องนะ เดี๋ยวชุดยับ”
เขาแค่นหัวเราะ ผงกหัวเป็นการรับคำ รติรสจึงค่อยๆ ยกขาที่หนักอึ้งไปข้างหน้าทีละก้าว จนหยุดอยู่ข้างเตียง ร่างทั้งร่างก็เซถลาลงไปล้มอยู่บนร่างกำยำ
เธอรู้สึกคล้ายจะอาเจียนทุกครั้งที่เข้าใกล้เขา ความรังเกียจตีตื้นเต็มอก แผ่ขยายไปทั่วทั้งพื้นที่ของหัวใจ เธออยากดึงทึ้งร่างทั้งร่างของเขาให้ขาดเป็นชิ้นๆ แต่คนอย่างเธอทำได้เพียงเอ่ยเสียงอ่อย “ปล่อยน้องก่อนค่ะ ชุดน้องยับหมดแล้ว”
ยิ่งขอร้อง เขายิ่งกอดรัดแน่นขึ้น
ไอ้สวะ โสโครก
“เสี่ย ปล่อยน้องเถอะ ไหนสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรน้องไงคะ”
เขาแค่นหัวเราะราวกุมชัย ก่อนจะปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ ตามมาด้วยตัวเองที่หยัดยืนเต็มความสูง สายตาคมตวัดมองสาวเจ้าพร้อมรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
“เสี่ยหวังว่าหนูจะรู้ว่าอะไรควรเล่น อะไรไม่ควรเล่น” ว่าจบก็เดินออกไปจากห้องนอน
เธอทอดถอนลมหายใจอย่างรู้สึกโล่งอกที่ยังสามารถรักษาความสาวของตัวเองไปได้อีกวัน
หลังจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองเรียบร้อย รติรสก็ก้าวเดินออกไปด้านนอก ทุกคำทักทายของคนในครอบครัวที่ดังเข้าหู เธอตอบด้วยการเมินเฉย มุ่งหน้าไปด้านนอกที่นอกจากพศุตม์ ยังมีมือขวาของเขาอย่างเสือเข้มยืนรออยู่ด้วย
ในบรรดาลูกน้องของเขาทุกคน ไม่มีใครไม่ให้การเคารพเธอ แม้ไม่ได้อยากรับก็ตาม จะมีก็แต่เสือเข้มคนนี้ที่ไม่เคยมีท่าทีนอบน้อมต่อกัน แม้แต่สายตาที่ใช้มองก็ไร้ความเป็นมิตร เธอจึงคิดไปเองว่าเขาน่าจะภักดีต่อใครสักคน ไม่เมียหลวงเช่นชมพูนุท ก็เมียรองอย่างศีตภา ทว่าเธอได้เห็นแล้วว่าเขาไม่มีท่าทีโอนอ่อนกับใครเลยสักคน ยกเว้นเจ้านายอย่างพศุตม์
อย่างเช่นตอนนี้ที่อีกฝ่ายตวัดตามองเธอราวขุ่นข้องหมองใจต่อกัน แต่จะเกลียดเธอก็ตามใจ เธอก็เกลียดพวกเขาทุกคนนั่นแล ถือว่าเสมอกัน