บทที่1│ว่าที่สตรีหมายเลขสาม (5)
ด้วยเป็นคืนสุดท้าย ผู้คนจึงหนาตากว่าปกติ ลำพังเจ้าภาพก็ปาไปหลายสิบคน ลูกหลานอย่างอรัณย์และน้องชายจึงอยู่เพื่อให้การต้อนรับแขกเหรื่อ เขาจากบ้านเกิดไปตั้งแต่เรียนจบ ต่างกับน้องชายที่ลงหลักปักฐานอยู่ที่โพธาราม จึงรู้จักผู้คนมากกว่า แขกไปใครมา อนุชาทำตัวอย่างกับทะเบียนราษฎร์ คอยเป็นพรายกระซิบบอกกล่าวให้เขาได้รู้
เขาก็ฟังผ่านหูไปตามเรื่อง หาได้ใส่ใจกับชุดข้อมูลเหล่านั้น สมองของเขาไม่ค่อยเหลือพื้นที่ว่างมาจำเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ เพราะมันถูกอัดแน่นไปด้วยงานและรายนามผู้ที่มีผลประโยชน์ต่อเจ้านายเช่นปราชญาธิปเท่านั้น
อาจจะยกเว้นอยู่คนหนึ่ง คนที่ต่อให้อยากลืมเท่าไรก็ไม่อาจลืมได้
“คนเมื่อกี้คือผู้ใหญ่หมู่สาม ไม่คิดว่าจะมาด้วยซ้ำ”
“เออ แต่มึงไม่ต้องบอกกูทุกอย่างก็ได้อาร์ต บางอย่างมันก็รกสมองกูเปล่าๆ”
“ก็กูอยากบอก”
เกิดทีหลังเขาสองปี แต่ไม่มีสักครั้งที่จะนับถือ คำว่าพี่มีไว้ใช้กับทุกคน ยกเว้นพี่ที่เป็นพี่จริงๆ
“นั่นๆ”
เขาพ่นลมหายใจทิ้งอย่างนึกระอา “อะไรอีก”
“เสี่ยคิด” สำหรับคนคนนี้ เขาก็พอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามอยู่บ้าง “ส่วนข้างๆ นั่นเมียเขา”
อรัณย์หันไปมองตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบกับผู้หญิงคนที่ว่า ซึ่งแม้ไม่ได้อยากจำ สมองก็ป้อนข้อมูลให้อย่างรวดเร็ว ‘คนสวยโพธาราม’ ของดิฐากร ที่หลังจากได้เจอเธอที่ร้านอาหาร เพื่อนสนิทก็เซ้าซี้ไม่หยุดว่าเป็นคนรู้จักของเขาหรือเปล่า หรือพอจะคุ้นหน้าหรือไม่ ไอ้การจะให้ขอเบอร์สาวตรงนั้นก็เกรงใจเจ้านาย ผู้จัดการร่ำเมรัยถึงได้กระวนกระวายอยากบังเอิญพบหน้าแม่สาวลายสักอีกครั้ง
เขาหลุดยิ้มเมื่อคิดว่าคนที่เพื่อนต้องตาดันมีคนข้างกายเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อีกด้วย เล่นของสูงแล้วไหมล่ะคุณเพื่อนรัก
“อีกไม่กี่วันก็จะแต่งแล้ว สิบสี่กุมภา กูก็ได้การ์ด”
พี่ชายทำท่าครุ่นคิด “เหมือนกูจะจำได้ว่าเขาแต่งงานไปได้หลายปีแล้วนะ”
“นั่นคนที่หนึ่ง”
เขาครางรับในลำคอ “อ้อ นี่คนที่สอง”
“สาม” เขาแค่เลิกคิ้วใส่ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเดินมาถึง ต่างก็ทำความเคารพกันอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับเสี่ย สวัสดีครับน้องตี้”
“สวัสดีค่ะพี่อาร์ต พี่อาร์ม”
อรัณย์นิ่งงันไปชั่วครู่ ด้วยเขามั่นใจว่าตนเองไม่ได้รู้จักกับเธอเป็นการส่วนตัว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อแซ่อะไร ไม่นับที่เพิ่งได้ยินน้องชายเรียกขานอีกฝ่ายว่า ‘น้องตี้’ เมื่อสักครู่ เขากลับจำไม่ได้เลยว่าก่อนหน้านี้มีคนชื่อนี้อยู่ในชีวิตด้วย แต่ก็ยิ้มรับตามมารยาท
“น้องเพิ่งได้มาร่วมงานก็คืนสุดท้ายแล้ว ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณเสี่ยด้วยนะครับที่สละเวลามา”
พศุตม์ยกยิ้มเล็กน้อย “คนกันเองน่า ยังไงก็เสียใจด้วยนะ ลุงอู๋แกเป็นคนดี จะต้องได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีแน่ๆ”
“ขอบคุณครับ”
คล้อยหลังคนทั้งคู่ อนุชาก็พูดต่อ ทว่าหนนี้เป็นการยิงคำถาม หาใช่การป้อนข้อมูล
“มึงรู้จักกับน้องตี้ด้วยเหรอ”
“ไม่รู้”
น้องชายหรี่ตาแคบราวจับผิด “ไม่รู้แล้วเขารู้จักมึงได้ไง”
“ทีเขายังรู้จักมึงเลย”
“เอ้า ก็กูไปสักที่ร้านพี่จีน ก็ต้องรู้จักกับเขาสิ” ก่อนที่อนุชาจะพยักหน้าให้กับตัวเอง “อ้อ มึงรู้จักเพราะพี่จีนนี่เอง”
เขายังคงยืนยันว่าไม่รู้จักกับผู้หญิงคนเมื่อครู่ ใจอยากเลิกคุยประเด็นนี้ แต่อีกใจก็นึกสงสัย เมื่อช่วงเที่ยงได้ยินเธอพูดชื่อที่คล้ายว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเด็ก แต่ก็ไม่ได้สนใจ ด้วยคิดว่าอาจจะเป็นแค่คนชื่อซ้ำ แต่ตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่า จีนที่ออกจากปากเธอ กับจีนที่ออกจากปากน้องชาย คือคนคนเดียวกัน
และคนคนนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย
“เกี่ยวอะไรกับไอ้จีน”
“ก็น้องตี้อยู่กับพี่จีน”
อรัณย์กะพริบตาปริบๆ เริ่มสับสนเกี่ยวกับสายสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงที่ตนยังคงไม่เข้าใจ อนุชานั้นแค่มองตาก็รู้ไปถึงไส้ถึงพุง ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนเปิดปากอธิบาย
“น้องตี้ทำงานที่ร้านของพี่จีนไง มึงนี่เข้าใจอะไรยากเย็น”
“ก็แล้วมึงพูดว่าเขาอยู่กับไอ้จีน กูก็งง ผัวมีเป็นตัวเป็นตนแบบนั้นยังไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น”
“มึงก็ช่างคิดเนอะ ถ้าพี่จีนทำแบบนั้นจริงๆ ป่านนี้เพื่อนมึงเหลือแต่ชื่อไปแล้ว”
“อะไรจีนๆ” ถิรมันเดินถือแก้วกาแฟมาหวังช่วยเพื่อนรับแขก แต่ดันมาได้ยินชื่อตัวเองแว่วเข้าหูในประโยคที่ไม่ค่อยน่าฟังเสียด้วย
อนุชาส่งยิ้มให้คนมาใหม่ “คุยเรื่องน้องตี้กับเสี่ยคิดน่ะ”
“อ้าว ตี้ก็มาเหรอ” ว่าพลางหันซ้ายแลขวา ก่อนจะเจอคนที่กำลังหาอยู่ แล้วจึงค่อยๆ ผินหน้ากลับมามองสองพี่น้อง “น่าสงสาร”
อาจจะเพราะเห็นว่าเธอก็ดูสุขสบายดี ไม่เข้าเค้าคำว่า ‘น่าสงสาร’ เลยสักนิด อรัณย์จึงมีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดของเพื่อนไวเท่าความคิด “ยังไง”
“ช่างเถอะ พูดไปกูก็รู้สึกแย่” เพราะเขามิอาจช่วยเหลืออะไรคนที่ตนมองเป็นน้องสาวได้ สุดท้ายเธอจึงต้องแบกรับสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเธอเอง “ว่าแต่พวกมึงจะไปหาอะไรอุ่นๆ กินก่อนไหม เดี๋ยวตรงนี้กูดูให้ก็ได้”
อรัณย์อยากเข้าห้องน้ำพอดี จึงส่งไม้ต่อให้ถิรมันเป็นคนรับแขกคู่กับน้องชาย ก่อนที่เขาจะผละตัวไปเข้าห้องน้ำซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังศาลา เป็นห้องน้ำรวมแถวยาวกว่าสิบห้อง มีไฟให้แสงสว่างเพียงพอ ตอนไปถึงเขาก็เจอเข้ากับเจ้านายและภรรยาที่ง่วนอยู่กับการเปลี่ยนแพมเพิสให้ลูกสาววัยใกล้สี่เดือน
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับนาย”
ปราชญาธิปละสายตาจากบุตรสาวไปมองคนมาใหม่ ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “มีอะไรไปทำก็ไปทำเถอะ ตรงนี้สบายมาก”
“ขอบคุณนะคะคุณอาร์ม แต่ใกล้จะเสร็จแล้วแหละค่ะ” อัสมาเอ่ยกับลูกน้องของสามีด้วยรอยยิ้ม “วันนี้คนเยอะมากเลยนะคะ แน่นศาลามาก ดีที่ยายหนูไม่ค่อยตื่นคน ไม่อย่างนั้นโอ๋กันเหนื่อยน่าดู”
คุณพ่อโพล่งขึ้น “ก็โอ๋ได้ ลูกทั้งคน”
“คุณโปรดน่ารักจัง”
“ไม่เท่าอัสหรอก”
อรัณย์มองสองสามีภรรยาตาปริบๆ ก่อนจะค่อยๆ ถอยออกมาแล้วไปทำธุระส่วนตัว อยู่ไปรังแต่จะเป็นได้แค่ส่วนเกิน
ขณะเดียวกันนั้น รติรสก็พยายามตัดช่องน้อยแค่พอตัว ด้วยอึดอัดที่ใครๆ ก็เอาแต่กล่าวถึงงานวิวาห์ที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอก็ได้แต่ปั้นยิ้มจนเมื่อยขบไปทั้งหน้า ปล่อยให้คนกระเหี้ยนกระหือรืออยากแต่งได้ตอบคำถามผู้คน ส่วนเธอแค่เงียบ เงียบจนกระทั่งได้เอ่ยปากพูดว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ไปทั้งที่ไม่ได้รู้สึกปวดท้องแต่อย่างใด เธอแค่ไปไหนก็ได้ที่ไม่ต้องอยู่ตรงนี้
“ให้เสี่ยไปเป็นเพื่อนไหม”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้เปิดปากเพื่อปฏิเสธ พวกฝ่ายปกครองที่มาในฐานะเจ้าภาพก็เอ่ยหยอกเย้าอย่างคนรู้จักกัน
“แหมเสี่ย ห่างเมียบ้างก็ได้”
บางทีเธอก็อยากแกล้งตะโกนออกไปว่า เมียพ่อเมียแม่เอ็งดิ แล้วค่อยกุมขมับ โยนความผิดให้วิญญาณว่าถูกผีสิงชั่วขณะ แต่สิ่งที่คนขี้ขลาดทำได้คือยิ้ม วันนี้เธอเอาแต่ยิ้มจนคนเข้าใจผิดคิดไปว่าปิติที่ได้ออกงานคู่กับพศุตม์ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเธอแทบแดดิ้นที่ต้องอยู่ใกล้คนพรรค์นี้
สุดท้ายรติรสก็ปลีกตัวออกมาจนได้ เธอพ่นลมหายใจทิ้งอย่างไม่นึกเสียดาย ระหว่างเดินทอดน่องไปเรื่อยเปื่อยก็หยิบมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ในขณะที่เธออึดอัดจนแทบบ้า พี่สาวตัวดีและพี่เขยสุดเฮงซวยก็ออกไปทานอาหารหน้าระรื่น
ใบหน้าหวานส่ายไปมาอย่างเอือมระอา หยุดยืนที่อ่างล้างหน้า ส่องกระจกเช็คความเรียบร้อยของตนไปพลางๆ ในจังหวะนั้นเองที่ประตูบานข้างๆ เปิดออก เธอหันไปมองตามสัญชาตญาณ ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีคนเดินออกมา จะปล่อยผ่านไป แต่ถ้าไม่มีใครออกมาจากห้องน้ำห้องนั้น ต่อให้ต้องไปนั่งข้างพศุตม์ เธอก็จะไปเดี๋ยวนี้
...ดีที่มีคนออกมา
เป็นเขาอีกแล้ว เพื่อนของพี่ชายคนสนิท
เธอลังเลว่าควรจะยิ้มให้หรือไม่ แต่เขาก็แค่ปรายตามามองแล้วเดินเข้าไปในศาลาด้วยใบหน้าเรียบสนิท
รติรสรู้สึกโล่งอกที่เมื่อครู่ไม่ได้ส่งยิ้มไป ไม่อย่างนั้นคงหน้าแห้ง
ยืนส่องกระจกอยู่พักหนึ่งก็พาตัวเองกลับมาในศาลา เพราะให้หนีก็คงหนีไม่ได้ตลอด ไม่ใช่แค่กับวันนี้ แต่หมายถึงอนาคตกาลอันใกล้ อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี ระยะเวลาที่เหลือนี้คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอได้
โลกนี้มีปาฏิหาริย์แก่ทุกคน ยกเว้นเธอ
นัยน์ตาหวานเหลือบมองกลุ่มคนที่นั่งเยื้องกัน เป็นกลุ่มที่เจอเมื่อตอนเที่ยง ซึ่งเธอเข้าใจโดยปริยายว่าเป็นกลุ่มของลูกชายคนโตของผู้เสียชีวิต ได้ยินฝ่ายปกครองคุยกันว่ามี ส.ส. จากฟากรัฐบาลมาด้วย หากจำไม่ผิดดูเหมือนจะชื่อธนบดี ส.ส. จากพรรคที่ได้เป็นรัฐบาลสองสมัยซ้อน
อรัณย์รู้จักคนใหญ่คนโตเหมือนกันนี่นา
รติรสกลับมาถึงบ้านประมาณสามทุ่มครึ่ง พศุตม์พอจะมีสัจจะอยู่บ้าง เขาบอกว่าจะไม่นอนที่นี่หากเธอทำตามคำสั่ง เขาก็ทำเพียงมาส่งแล้วก็ตรงกลับบ้านตัวเองทันที
คืนนี้เธอไม่มีที่นอน นั่นถือเป็นปัญหา เพราะไม่มีทางที่จะทนนอนบนเตียงที่เขาเพิ่งนอนไปได้ลงคอ แค่คิด เธอก็เผลอยกมือมาถูเนื้อหนังมังสาจนเกิดรอยแดง ชุดเครื่องนอนต่างๆ ก็ไม่มีสำรองไว้ แทนที่จะได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่ม เธอกลับต้องมานั่งพับผ้าผ่อนเข้าถุงให้เรียบร้อย จนตอนนี้เหลือเพียงเตียงเปล่าๆ
โทรศัพท์กลับมามีบทบาทเมื่อยามจำเป็น รอสายของใครบางคนอยู่ครู่สั้นๆ ปลายสายก็กดรับ
(เจ้าของเบอร์หลับแล้วค่ะ)
“ตื่นให้หน่อยเถอะพิ้ง ไม่มีที่นอน”
จากพูดจาติดตลก พันราตรีเกิดอาการงุนงงระคนเป็นห่วงทันที (ทำไมเป็นงั้น แล้วนี่แกอยู่ที่ไหน)
“บ้าน ในห้องนอน”
(...)
“...”
(อย่ากวนประสาทนะตี้)
น้ำเสียงเจือความขุ่นมัวของเพื่อนสนิทบอกเป็นอย่างดีว่าเริ่มมีน้ำโหหากเธอไม่อธิบาย “วันนี้มันมาที่นี่” สายตาตกกระทบที่เตียงนอนขนาดห้าฟุต “มานอนบนเตียงของเรา เราทำใจนอนไม่ลงหรอก แค่คิดก็เหมือนจะอ้วกออกมาแล้ว”
พันราตรีดันจับไปที่อีกประเด็น (นี่แกกับเสี่ย!)
“ไม่ มันแค่เข้ามาเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น”
ปลายสายทั้งโล่งใจและหนักใจไปในคราเดียวกัน
“พรุ่งนี้เราจะไปซื้อ แต่วันนี้ไม่ทันแล้ว”
หล่อนรู้ดีกว่าใครว่าเพื่อนคนนี้รู้สึกรังเกียจรังงอนพศุตม์ยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน แต่เพราะความจำเป็นในชีวิต ผลักให้รติรสจำต้องตกที่นั่งลำบากที่ไม่มีใครกล้าพอจะยื่นมือเข้าไปช่วย รวมถึงเพื่อนไม่ได้เรื่องเช่นหล่อนที่มิอาจพาเพื่อนหลบหนีจากบุคคลผู้นั้น
(แต่อีกไม่กี่วันแกก็ต้องนอนเตียงเดียวกับเขาแล้วนะ ถ้าเป็นแบบนี้แกจะทำยังไง)
น้ำลายถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก เป็นอย่างที่พันราตรีว่า อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ เธอจะต้องตกเป็นเมียของพศุตม์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เตียงที่ใช้หลับนอน บ้านที่ใช้อาศัย และในทุกๆ วันของชีวิตเธอจำต้องใกล้ชิดกับคนเช่นนั้น
(แต่ช่างหัววันที่ยังไม่มาถึงเถอะ วันนี้แกมานอนที่บ้านเราก่อนก็ได้)
รติรสยิ้มออก
(หรือให้ไปรับ)
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเอง”
อย่างน้อยเธอก็ยังมีเพื่อนที่น่ารักคอยอยู่เคียงข้าง โลกไม่ได้หันหลังให้เธอไปเสียหมด