บท
ตั้งค่า

ขยับวงโคจร (4)

ฝันร้าย ฝันร้ายชัดๆ

นอกจากเรื่องที่มีพลานิชเป็นหัวหน้า ก็ยังมีเรื่องน่ารำคาญอีกหนึ่ง คือการที่ต้องรับรู้ว่าชลิตาเป็นพนักงานของทางร่ำเมรัยเช่นกัน ที่ไม่ได้มาพร้อมเพื่อนของหล่อนเพราะอีกฝ่ายเป็นหัวหน้า เลยต้องมาสอนงานเด็กใหม่อย่างเธอก่อน ส่วนอริตลอดกาลมาเข้างานตามเวลาปกติในช่วงหกโมงครึ่ง ที่พอมาถึงก็หาเรื่องกระแนะกระแหนกันทันที

“มิ้ม ร้านนี้เขาไม่มีนโยบายเปิดห้องกับลูกค้านะ กลัวจะชินกับสังคมเก่าๆ แล้วเอามาทำกับที่ใหม่ ที่นี่ไม่มีใครเขารับเรื่องสกปรกแบบนั้นได้ หวังว่าแกจะปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ๆ ได้แล้วกัน”

มลุลีรู้ในทันทีว่าเธอคงหาเพื่อนจากที่ทำงานไม่ได้ เพราะชลิตาไม่ได้พูดตามลำพัง แต่เลือกจะพูดท่ามกลางพนักงานคนอื่นๆ ที่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองเธอด้วยสายตาคาดเดาได้ยาก แต่รับรู้ได้ว่าไม่เจือความยินดี

อันที่จริงเธอก็ไม่หวังมาหาเพื่อนอะไรในที่ทำงาน แต่หากจะเจอมิตรภาพที่ดีก็พร้อมโอบไว้ด้วยสองมือ แต่ทุกอย่างพังลงทันทีเมื่อรู้ว่าชลิตาและพลานิชเองก็ทำงานอยู่ที่นี่

เด็กใหม่ยิ้มรับราวไม่ทุกข์ร้อน “จะพยายามนะ เพราะถ้าแกเองยังปรับตัวได้ มันก็คงไม่ยากกับเราขนาดนั้น”

ทุกสายตาจึงย้ายไปยังตัวต้นเรื่อง ที่บัดนี้เอาแต่จ้องมลุลีตาเขม็ง ในขณะที่เด็กใหม่ไม่ยักจะสนใจ สาวเท้าออกจากวงสนทนาของเหล่าพนักงานแล้วง่วนอยู่กับงานของตนอย่างขยันขันแข็ง

ร่ำเมรัยใช้เป็นดนตรีสดตลอดทั้งคืน คนที่ชื่นชอบเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจเช่นเธอจึงรู้สึกสนุกไปกับหน้าที่ของตน เพราะได้ฟังเพลงเพราะๆ อยู่ตลอด

งานวันแรกผ่านพ้นไปได้ด้วยดี อย่างน้อยก็ยังไม่ตาย มีเสียงนกเสียงกาดังเข้าหูบ้าง แต่ก็รับมือได้อย่างเคย

ขณะที่เธอเก็บงานเรียบร้อยและตั้งท่าจะเดินออกนอกร้าน เพื่อที่จะเดินทางกลับห้องพักในเวลาตีสองเศษๆ ก็เจอเข้ากับผู้จัดการที่เปิดประตูห้องทำงานของตนออกมา เขากลับดึกเพราะต้องอยู่รอตรวจความเรียบร้อยก่อนปิดร้าน

ก่อนหน้านี้ร่ำเมรัยมีคนหลักร้อย ทว่าตอนนี้เหลือเพียงเธอและเขา

นางพลานิชมันสั่งให้เธออยู่เพื่อเก็บงานแทนคนอื่นๆ ที่หลังได้รับอนุญาตจากหัวหน้าให้กลับก็หายหัวกันหมด ถ้าเธอเป็นใหญ่เมื่อไรจะกดขี่แม่นี่ให้เละคาฝ่าเท้าเลย

“คนอื่นกลับกันหมดแล้วเหรอ”

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาพยักขึ้นลง รอยยิ้มประดับอยู่พอเป็นพิธี “ค่ะ มิ้มก็กำลังจะกลับ”

“เมื่อเย็นคุณบอกว่าคุณเดินมา...ใช่ไหม”

“ค่ะ ก็หอของมิ้มอยู่แค่นี้เอง”

คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน “ไม่ได้เอามอ’ไซค์มาไว้ที่หอรึ”

สาวน้อยส่ายหน้า “มันใกล้ค่ะ มิ้มเดินได้”

“นั่นมันเมื่อเย็น”

“คะ?” ว่าพลางเอียงคอเล็กน้อย

ดิฐากรลอบถอนหายใจ “ตอนนี้ตีสองแล้ว”

“ค่ะ”

เขาเงียบ

เธอเงียบ

ลมหายใจถูกพรูออก “วันนี้เดี๋ยวผมไปส่งก่อนแล้วกัน ยังไงก็บอกที่บ้านให้เอารถมาไว้ที่นี่สักคัน ที่บ้านมีรถใช่ไหม”

“มีค่ะ”

เขาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินนำออกไปนอกร้านโดยมีพนักงานชั้นผู้น้อยเดินตามต้อยๆ “เพื่อความสะดวกก็เอามาไว้ อีกอย่างมันปลอดภัยกว่าเดินกลับด้วย ที่จริงผมก็คิดว่าคุณจะกลับกับเพื่อนๆ เพราะอยู่หอเดียวกัน”

มลุลีเบ้ปากใส่แผ่นหลังกว้างเมื่อบทสนทนานั้นพาดพิงไปยังบุคคลที่สาม ให้กลับกับพวกนั้น เดินกลับคนเดียวสบายใจกว่ามากโข

รวมถึงตอนนี้ด้วย...

หลังเขาปิดร้านเรียบร้อย เธอก็โพล่งขึ้น “มิ้มลาตรงนี้เลยนะคะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะผู้จัดการ”

“ลาอะไร ไปขึ้นรถ เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”

ดิฐากรเริ่มหน่ายใจกับความหัวทึ่มและหัวรั้นของเจ้าตัว เป็นสาวเป็นนางแต่ไม่คิดระแวงระวังภัย ใจกล้าถึงขั้นจะเดินในตรอกซอกซอยกลางดึกตัวคนเดียว พูดอะไรก็ดูจะเข้าใจช้าคล้ายว่าสมองประมวลผลไม่ทัน ไหนเล่ายังรั้นไม่เข้าเรื่อง ความปลอดภัยของผู้หญิงมันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เขาก็แค่อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็เท่านั้น

ขายาวก้าวไปหยุดอยู่ตรงรถยนต์ ในขณะที่มลุลียังยืนอยู่ที่เดิม

เสียงเข้มดังแว่วเข้าโสตประสาท “มาขึ้นรถ ผมจะได้รีบกลับไปพักผ่อน”

“ก็กลับไปตั้งแต่ตอนนี้ได้เลยค่ะ”

เขากล่างเสียงเย็น “มิ้ม”

เจ้าของชื่อเพียงแค่มองมานิ่งๆ

“ผมทำเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณ โลกมันไม่ได้น่าไว้ใจขนาดนั้น”

เธอมองเขาอยู่เกือบนาที ก่อนจะยกปลายเท้าเพื่อก้าวไปข้างหน้า หยุดยืนข้างตัวรถพลางค้อมศีรษะให้ผู้เป็นนาย “ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะคะ”

เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้โดยสารรถหรู จึงอดจะสอดส่องสายตามองไปรอบๆ ไม่ได้

อยากมีไว้สักคันจัง แม่ ตาและยายจะได้นั่งรถแพงๆ กับเขาบ้าง

ล้อหมุนได้แค่ครู่สั้นๆ เจ้าของรถก็เอ่ยทำลายความเงียบ “งานวันนี้เป็นไงบ้างครับ ทำได้ไหม”

“ได้ค่ะ”

ประสบการณ์สอนเธอว่าอย่าพูดมาก จึงพยายามอดทนแม้จะโดนแม่หัวหน้าเล่นงาน เธอสัญญากับมารดาไว้แล้วว่าการท่องโลกครั้งนี้จะเป็นคนที่มีวุฒิภาวะมากขึ้น อย่างน้อยก็ต่อหน้าเจ้านาย

“ถ้าหนักไปก็บอกได้”

ในหลักความเป็นจริง ใครมันจะกล้า

“...ค่ะ แต่มิ้มโอเค งานไม่ได้หนักอะไรค่ะ”

รถของผู้จัดการมีกลิ่นหอมไม่ต่างจากเนื้อตัวของเขาเลย กลิ่นที่ติดอยู่ปลายจมูก และเธอค่อนข้างพึงพอใจที่ได้สูดดม

ใช้น้ำหอมอะไรนะ...อยากถามจัง

สาวเจ้าลอบมองเสี้ยวหน้าคมคาย ก่อนดึงสายตากลับมาก่อนจะถูกจับได้ “ผู้จัดการเป็นคนนครนายกเหรอคะ”

“เปล่า คนที่อื่น”

“อ้าว ทำไมมาทำงานที่นี่ล่ะคะ มันไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจสักหน่อย”

“ตามนายมาทำงานที่นี่น่ะ”

เธอพยักหน้าไปส่งๆ มิวายถามต่อ “เจ้าของร้านน่ะเหรอคะ”

“เทือกๆ นั้น”

มลุลีเผยยิ้มแหย “ตอนแรกมิ้มคิดว่าผู้จัดการเป็นเจ้าของร้านค่ะ”

“หืม ทำไม”

“ก็...ก็แค่คิดน่ะค่ะ”

“ไม่ใช่ร้านของผมหรอก แต่พอดีน้องสาวเจ้านายเขาลงหลักปักฐานที่นี่ เจ้านายเองก็ด้วย ผมเลยจับพลัดจับผลูให้มาดูแลร้านของน้องเขา”

คนตัวเล็กครางรับในลำคอ ซ้ำยังเอ่ยถามต่ออย่างสงสัยใคร่รู้ ท่าทีเป็นมิตรต่างจากก่อนขึ้นรถที่ดูระแวดระวังเขาเสียเหลือเกิน

“อยู่นานแล้วเหรอคะ หรือว่าเพิ่งมา”

“ก็พอตัว แต่ก่อนนายอยู่กรุงเทพฯ เป็นหลัก เวลามาที่นี่ก็มาแค่ไม่กี่วัน แล้วก็กลับ แต่พอนายแต่งงานก็อยู่ยาว”

“อ้อ มิ้มก็เคยอยู่กรุงเทพฯ ค่ะ เรียนที่นั่น พอเรียนจบก็ทำงานที่นั่นต่อเลย”

ดิฐากรไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่เขาคิดว่าตัวเองสามารถพูดคุยกับยายหัวทึ่มได้เป็นวรรคเป็นเวรโดยไม่รู้สึกเบื่อ

“แล้วทำไมไม่อยู่ต่อล่ะ”

มันแน่อยู่แล้วว่ามลุลีไม่กล้าบอกความจริง ประเดี๋ยวจะถูกมองไม่ดี “กลับมาอยู่ที่บ้านค่ะ”

“ทำอะไรอยู่ที่บ้านรึ ก่อนมาที่นี่”

“ขายขนมกุยช่ายกับแม่ค่ะ ชอบกินไหมคะ”

ชายหนุ่มอดจะพยักหน้ารับไม่ได้ “กินได้นะขนมผักน่ะ แต่ต้องทอด แบบนึ่งผมไม่กิน”

มลุลีฉีกยิ้มกว้าง “ที่บ้านมิ้มขายทั้งสองอย่างค่ะ ไว้มิ้มให้แม่เอามาให้ชิมนะคะ รับรองว่าอร่อย” พอดีกับที่รถแล่นมาหยุดอยู่หน้าหอพัก รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าเกลี้ยงเกลา “ถึงแล้ว ไวมากเลยค่ะ มิ้มยังโม้ไม่จบเลย”

มุมปากชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยถูกยกขึ้น คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ ผู้จัดการก็ขับรถดีๆ นะ ถึงบ้านแล้วบอกมิ้มด้วยค่ะ” สาวน้อยงับปากในทันทีที่พูดจบประโยค ความเงียบโรยตัวมาครอบคลุมทั่วบริเวณในห้องโดยสารของรถหรู และเป็นเธอเองที่ทำลายมันลง “มันเป็นคำติดปากของมิ้ม ขอโทษค่ะ”

มลุลีกระวีกระวาดลงจากรถ สับเท้าเข้าไปภายในหอพักโดยไม่เหลียวไปมองด้านหลัง

แต่แล้วในคืนนั้น เธอก็ได้รับข้อความจากเขา...

คุณดิน: ถึงแล้วครับ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel