บทที่ 3 ถูกไล่ออกจากห้องคนไข้
ภายในห้องคนไข้ อาการป่วยลู่ว่านซานดีขึ้น ทานบะหมี่ไปชามโต กว่าครึ่งปีที่ผ่านมา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ทานอิ่มแบบนี้
“ปู่คะ ปู่รู้สึกยังไงบ้าง?” อารมณ์ลู่อี้เข่อดีมาก ยิ้มขณะถาม
“ก็ไม่เลว เรี่ยวแรงดีขึ้นมาก หนุ่มคนเมื่อกี้มีความสามารถดี” ลู่ว่านซานแกว่งแขน พึงพอใจอย่างมาก
“จริงสิ หมอจ้าว คุณช่วยตรวจละเอียดให้ปู่ฉันหน่อยได้ไหมคะ?” ลู่อี้เข่อถามหมอจ้าว
“ไม่มีปัญหาครับ คุณลู่”
หมอจ้าวประหลาดใจมาก เรียนหมอมาหลายปี เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย
หลังจากตรวจเสร็จ หมอจ้าวก็ดูรายงานผลการตรวจ จากนั้นก็พูดขึ้น “นายท่านลู่ อาการป่วยของคุณดีขึ้น แต่เนื้องอกในสมองยังอยู่ แต่ด้วยสภาพคุณตอนนี้หากได้รับการผ่าตัด อัตราสำเร็จในการผ่าตัดจะสูงขึ้นกว่าเดิมมาก อัตราความสำเร็จอย่างน้อยสุดก็ห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
“ว่าไงนะ? คุณจะบอกว่าอาการป่วยปู่ฉันยังรักษาไม่หายสมบูรณ์งั้นเหรอ?” ลู่อี้เข่อมีสีหน้ากังวลอีกครั้ง
หมอจ้าวยิ้ม “ชายหนุ่มเมื่อกี้มีความสามารถจริงๆ แต่ประสิทธิภาพการรักษาของเขาเพียงแค่ยืดอายุปู่คุณเท่านั้น รักษามูลเหตุของโรคไม่ได้ หากต้องการรักษาให้หายดีจริงๆ จะต้องผ่าตัด”
“ผ่าตัดอันตรายเกินไป มีวิธีอื่นอีกไหมคะ?” ลู่อี้เข่อถาม
“ต้องขออภัยจริงๆ ปัจจุบันทำได้แค่ผ่าตัด เป็นเพียงวิธีการเดียว” หมอจ้าวส่ายหน้าอย่างเสียใจ
ทันใดนั้นลู่อี้เข่อก็นึกอะไรขึ้นได้ พูดขึ้นด้วยสีหน้าเปล่งประกาย “หมอหวังคนเมื่อกี้ไม่ธรรมดา เขาคงจะมีวิธี ปู่คะ ฉันไปหาเขาก่อนนะ”
หมอจ้าวยิ้มขึ้นมา “คุณลู่ ผมเป็นหมอที่รักษาเนื้องอกโดยเฉพาะ ในด้านนี้ผมไม่หรอกคุณหรอก ถึงแม้วัยรุ่นคนนั้นจะรู้จักวิธีการอื่น แต่ถ้าต้องการรักษาโรคเรื้อรังนายท่านลู่ให้หายขาดมันเป็นไปไม่ได้ครับ”
ลู่ว่านซานก็คิดว่าหมอจ้าวพูดมีเหตุผล “นั่นสิ อี้เคอ เป็นตายฟ้ากำหนด ปู่ว่าผ่าตัดดีกว่า อย่างน้อยก็มีความหวังครึ่งหนึ่งว่าจะรักษาหายได้”
“ปู่คะ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะลองดูค่ะ” ลู่อี้เข่อพูดจบก็วิ่งออกไปจากห้องคนไข้
ลู่ว่านซานอมยิ้มส่ายหน้า
สาวน้อยคนนี้รู้จักรักตัวเองตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่บ้าง
“ลุงฝู นายคอยแอบปกป้องคุณหนูด้วยนะ สืบพื้นเพตัวตนหนุ่มคนนั้นหน่อย ระวังคุณหนูจะโดนเขาหลอก” ลู่ว่านซานหุบยิ้ม แล้วพูดกับชายชราในชุดสูทข้างกาย
“ครับ นายท่าน”
ลุงฝูพยักหน้าอย่างนอบน้อม แล้วเดินตามออกไปนอกห้องคนไข้
“หมอจ้าว หมอเทวดาเฉิน ครูของคุณจะกลับมาเมื่อไร?” ลู่ว่านซานถามหมอจ้าว
“ครูผมกลับมาวันมะรืนครับ ผมโทรหาเขาแล้ว กลับมาก็สามารถผ่าตัดให้คุณได้เลย” หมอจ้าวกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม
……
คุณแม่ของหวังชาวอยู่อีกโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
โบกแท็กซี่มาคันหนึ่ง เขาก็มาถึงโรงพยาบาลแห่งนั้น
มาถึงห้องคนไข้ คุณแม่หลี่ฮ่วยหลานยังคงนอนบนเตียงผู้ป่วยโดยที่สลบไม่ฟื้น
ไม่ยืดเยื้อ หวังชาวยื่นมือไปลูบหน้าผากหลี่ฮ่วยหลาน เขาหลับตาสองข้าว แล้วแสดง《เพลงแพทย์จิ่วเชี่ยว》ออกมา
ทันใดนั้น รู้สึกได้ว่าพลังอันลึกลับจากร่างกายพุ่งเข้าสู่สมองหลี่ฮ่วยหลาน
พลังอันลึกลับนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นพลังชีวิต ฟื้นฟูบาดแผลในกะโหลกศีรษะหลี่ฮ่วยหลานอย่างต่อเนื่อง ละลายเลือดคั่งให้กลายเป็นน้ำ ฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่เสียหายให้กลับมาเหมือนเดิม
หลังจากนั้นหลายนาที หวังชาวก็ถอนหายใจยาวๆ
เขาลืมตาสองข้าง อาการป่วยคุณแม่หายเป็นปกติแล้ว
“แม่ แม่รู้สึกยังไงบ้าง?” หวังชาวเห็นแม่ฟื้นแล้ว ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าดีใจ
“ลูก……ลูกชาย แม่รู้สึกดีขึ้นมากเลย”
หลี่ฮ่วยหลานปากขมุบขมิบอย่างอ่อนแรง
สมองเธอที่เลือดไหลรักษาหายแล้ว แต่ร่างกายยังอ่อนแอเกินไป ต้องพักฟื้นอีกสักระยะหนึ่ง
“แม่ อาการป่วยแม่เพิ่งหายดี อย่าเพิ่งพูดอะไร ผมป้อนโจ๊กให้แม่ดื่มนะ”
หลังจากป้อนโจ๊กชามโตให้แม่เสร็จ หลี่ฮ่วยหลานเห็นลูกชายสูบผอมลงมาก ก็พูดขึ้นอย่างสงสาร “ลูก แม่ทำให้ลูกลำบาก ใช้เงินไปมากมายเพื่อรักษาแม่ล่ะสิ”
หวังชาวจับสองมือหลี่ฮ่วยหลานที่หยาบกระด้าง สายตาแดงก่ำขึ้นมา “แม่ แค่อาการป่วยแม่หายดี ใช้เงินไปมากแค่ไหนก็คุ้มค่าครับ”
“วันที่แม่อยู่โรงพยาบาล คนตระกูลหลินทำให้ลูกลำบากใจมากเลยล่ะสิ”
หลี่ฮ่วยหลานมองลูกชายด้วยความกังวล ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสาร
ในปีที่ผ่านมาที่ลูกชายแต่งเข้าตระกูลหลิน ลำบากมากแค่ไหนเธอรู้ดี ครั้งนี้ตนเข้าโรงพยาบาล เพื่อรักษาอาการป่วยของตน ลูกชายจะต้องไปขอยืมเงินจากตระกูลหลินแน่นอน
ความน่าเอือมระอาของคนตระกูลหลินพวกนั้น ลูกชายคงจะถูกพวกเขาเหน็บแนมรังแกไปไม่น้อย
พอคิดว่าลูกชายตนซื่อสัตย์ไม่ออกนอกลู่นอกทาง กลับต้องเจอไอ้พวกสารเลวตระกูลหลิน!
ถูกรังแกมาสองปีเต็ม!
คิดถึงตรงนี้ ในใจหลี่ฮ่วยหลานก็เหมือนถูกมีดกรีด
“แม่ ผมไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหลินอีกต่อไปแล้ว” หวังชาวก้มหน้า พยายามทำให้อารมณ์ตัวเองปกติมากที่สุด
พอนึกถึงความอัปยศอดสูต่างๆ มากมายที่ได้รับมาจากตระกูลหลินก่อนหน้านี้ หมัดสองข้างของหวังชาวก็กำแน่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ทุกอย่างทั้งหมด เขาจำมันได้อย่างชัดเจน
สักวันหนึ่ง แค้นนี้เขาต้องชำระไม่ให้เหลือ!
หลี่ฮ่วยหลานเงียบไปสองสามวินาที แล้วพูดขึ้น “ดี ออกมาก็ดีแล้ว สะใภ้แบบนี้ ครอบครัวแบบนี้ ลูกหวางของเราไม่ต้องไปสนใจหรอก ถ้ารู้นานแล้วว่าคนตระกูลหลินเป็นพวกน่าเอือมระอา ไม่ว่ายังไงแม่ก็จะไม่เห็นด้วยกับงานแต่งครั้งนี้ตั้งแต่แรก”
“เฮ้อ ต้องโทษพ่อของลูกที่ตายไปแล้ว ถ้าเขาไม่ยืนกรานให้ลูกแต่งเข้าบ้านคนอื่น สองปีนี้ลูกคงไม่ได้รับความคับแค้นใจมากมายแบบนี้!”
“แม่ มันเป็นอดีตไปแล้ว ต่อไปเราไม่ต้องพูดถึงแล้วนะครับ”
เพื่อไม่ให้พูดเยอะแล้วกระตุ้นให้คุณแม่สะเทือนใจ หวังชาวก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เขายืนขึ้นมาวางชามตะเกียบเรียบร้อย แต่เพิ่งเดินได้สองก้าว ก็พบว่าเวียนศีรษะ สองขาอ่อนแรง
“ดูท่าจะใช้พลังมากเกินไปซะแล้วล่ะ”
หวังชาวพึมพำ
รักษาสองครั้งติดกัน ทำให้ร่างกายเขาใช้งานสาหัสอย่างยิ่ง
แต่ทว่าในเวลานี้
พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา
กล่าวด้วยเสียงไม่แยแส “ญาติเตียง 302 พวกคุณรีบย้ายเตียงออกไปตรงทางเดิน ตอนนี้ห้องคนไข้เราแน่นมาก มีผู้ป่วยรายใหม่จะเข้ามา”
หวังชาวเดือดดาลทันที “เราอยู่ของเราดีๆ ผู้ป่วยใหม่มีสิทธิ์อะไรเข้าโรงพยาบาลมาแล้วเราต้องออกไป?”
พยาบาลสาวคนนั้นเหลือบมองหวังชาวอย่างเมินเฉย เสียงยังคงเย็นชาเหมือนเครื่องจักรกล “ยอดเงินในบัตรประกันสังคมพวกคุณมีไม่พอแล้ว ไม่รีบไปจ่ายค่าบริการ จะให้พวกคุณอยู่ฟรีหรือไง? เห็นโรงพยาบาลเราเป็นค่ายทหารเหรอ?”
“ในบัตรประกันสุขภาพยังเหลือเงินอยู่โรงพยาบาลอีกหนึ่งวัน ถ้าจะจ่ายก็คือจ่ายพรุ่งนี้ ทำไมมาไล่เราออกไปตอนนี้!”
หวังชาวทำหน้าเกรี้ยวกราด
ถึงแม้อาการป่วยของแม่เขารักษาหายแล้วก็ตาม แต่สุขภาพยังอ่อนแออยู่
ย้ายไปที่ทางเดินโรงพยาบาล สู้กลับไปฟื้นฟูที่บ้านดีกว่า
“ให้คุณย้ายคุณก็ต้องย้าย พูดไร้สาระทำไมนัก!”
พยาบาลคนนั้นทำหน้ารำคาญ เธอรู้ว่าหลี่ฮ่วยหลานมีสภาพยังไง เลือดออกสมอง ไม่ทำการผ่าตัดก็อยู่ได้อีกไม่กี่วัน
แล้วดูจากสภาพ ลูกชายเธอจะมีเงินมากมายมาทำการผ่าตัดที่ไหน?
แทนที่จะเปลืองเตียงโรงพยาบาล สู้ให้พวกเขาย้ายไปที่ทางเดินดีกว่า
“เฮ้ นี่มันอดีตสามีขยะของฉันไม่ใช่เหรอ? แม่นายใกล้ตายแล้ว ไปอยู่ไหนล่ะ? แม้แต่ค่านอนโรงพยาบาลยังจ่ายไม่ไหว นายนี่เป็นลูกชายไม่ได้เรื่องเกินไปไหม?”
ในเวลานี้ ก็มีสามร่างเดินเข้ามา
หวังชาวมองไป ซึ่งก็คือไอ้พวกตระกูลหลิน
หลินเหมี่ยวเหมี่ยว สวีปี้ฟัง หลี่่ฮุย
เห็นสามคนนี้ ทันใดนั้นสายตาหวังชาวก็แดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดฝอย
“พวกแกมาทำอะไร? ฉันกับพวกแกไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ยังมาหัวเราะเยาะฉันหรือไง?” หวังชาวพูดด้วยความโกรธ สายตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย
“มาหัวเราะเยาะแก? แกมีค่าอะไร? มีค่าพอให้ฉันมาหัวเราะเยาะแกเหรอ?”
หลินเหมี่ยวเหมี่ยวหัวเราะเยาะเย้ย แล้วพูดต่อ “ช่วงนี้แม่ฉันน้ำตาลในเลือดสูง ฉันพาเธอมาโรงพยาบาลให้กลูโคสนิดหน่อย”
ส่วนสวีปี้ฟังก็ไม่มองหวังชาวเลย ทำสีหน้ารังเกียจแล้วโบกมือพูดขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว รีบย้ายเตียงออกไปซะ! ฉันรีบ ให้น้ำเกลือเสร็จก็ต้องกลับแล้ว”