บทที่4 ผมเป็นสามีของอิ่นซิน
บทที่4 ผมเป็นสามีของอิ่นซิน
“แก? เหอะ แกมันแค่ขอทาน เอาอะไรมาจัดการ? หรือว่าแกจะไปอ้อนวอนประธานหลี่”
อิ่นป่ายหัวเราะพลางพูด
“อ้อนวอนผมเหรอ ผมไม่เต็มใจหรอกแต่ถ้าคุณสามารถคลานจากเป้ากางเกงผมได้และเรียกผมว่าพ่อ ผมอาจจะพิจารณาดู”
สายตาหลี่เทียนเฉิงติดตลกหน่อยๆ
ได้ดูถูกสามีของอิ่นซิน ถือว่าเป็นเรื่องที่สมหวังมาก
“ผมเป็น....ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงผมจะเอาสัญญาทุนสนับสนุนมาให้เซ็น” ฉินเฟิงคิดก่อนพูด
เขาไม่ได้พูดออกไปว่าตัวเองเป็นนายพลและยังเป็นเทพแห่งสงครามของประเทศต้าหัว
เพราะมันฟังดูเหลือเชื่อเกินไป
อิ่นซินคงไม่เชื่อ บางทีเธออาจจะต้องบอกลูกสาวของตัวเองว่าพ่อของเธอเป็นคนขี้โกหก ดังนั้นจึงต้องให้เวลากับอิ่นซิน
รอวันที่อิ่นซินสามารถรับได้ ตัวเองค่อยแสดงตัวตน
“ตกลง แกเป็นสามีของอิ่นซินแกมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนอิ่นซิน งั้นเอาตามนี้ แต่ว่าท่านปู่เคยบอกแล้วว่าถ้ารอบนี้รับมือไม่ได้หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์สุดท้ายในบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของอิ่นซินต้องคืนกลับให้ตระกูล”
เดิมทีอิ่นป่ายอยากหัวเราะใส่ฉินเฟิงแต่เมื่อกลอกตาก็นึกถึงเรื่องนี้ทันที รีบพูดคำพูดของท่านปู่ด้วยความไวเพื่อเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้าย
“แก!”
อิ่นซินก้าวไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน
แต่อิ่นป่ายรีบพูดขึ้นมา “อิ่นซิน ฉินเฟิงเป็นสามีถูกกฎหมายของแกนี่เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจแทนแก ตามนี้นะถ้าทำไม่สำเร็จหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของแกต้องคืนกลับให้ตระกูล”
พูดจบ อิ่นป่ายไม่อยากอยู่นาน จึงรีบเตรียมตัวจากไปแต่ก่อนจะไปมีมือข้างนึงได้แตะไว้บนไหล่ของเขาเป็นฉินเฟิงพลางกล่าวขึ้น “ถ้าสำเร็จล่ะ?”
“งั้น....อิ่นซินก็สามารถครองตำแหน่งคณะกรรมการได้”
อิ่นป่ายยิ้มและกล่าว
คณะกรรมการกลายเป็นสิทธิ์ศูนย์กลางของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไปแล้ว ได้เข้าไปที่คณะกรรมการก็ถือว่าได้เข้าไปศูนย์กลางใจของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่ว่าถ้าอยากเข้าไปมันไม่ง่ายขนาดนั้น ในเมืองเจียงเฉิงมีคนไม่มากที่ต้องการจัดการปัญหานี้ของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเคยทักทายกัน
“โอเค”
ฉินเฟิงตอบตกลง
ทันใดนั้นอิ่นป่ายยิ้มพลางจากไปจากวิลล่านี้พร้อมหลี่เทียนเฉิง ไม่เพียงแค่บรรลุจุดประสงค์แต่ยังได้กำไรเพิ่มอีก
หลังจากที่พวกเขาจากไปกันหมดแล้ว อิ่นซินเดินไปตรงหน้าของคนไม่รู้จักแพ้และใช้สายตาจ้องเขม็งคนไม่รู้จักแพ้ “คุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนฉัน คุณคิดว่าคุณเป็นใคร! คุณรู้ไหมสิบเปอร์เซ็นต์สุดท้ายนั้นมันสำคัญกับฉันมากแค่ไหน? คุณไม่รู้ คุณไม่เคยรู้อะไรเลย!”
ตอนนั้นเธอก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปด้วยน้ำมือตัวเอง เธอเป็นประธานมีหุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากเกิดเรื่องนั้นตระกูลยึดบริษัทไปและเหลือหุ้นไว้ให้เธอแค่สิบเปอร์เซ็นต์
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอเหลือ!
สำคัญมาก
สำคัญมากจริงๆ
“ฉินเฟิง คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจแทนฉัน พรุ่งนี้ไปหย่ากัน! ตอนนี้ไสหัวไปซะ!”
น้ำเสียงโผงผาง อิ่นซินชี้ไปที่ประตู สั่งให้ฉินเฟิงไสหัวไป
“เสี่ยวซิน ผม....”
“ไสหัวไป!”
อิ่นซินไม่ให้ฉินเฟิงมีโอกาสอธิบาย
“ฉินเฟิงแกมันแค่ขอทานคนนึงยังทำพูดคำใหญ่คำโตหน้าไม่อาย อีกอย่างแกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นั้นมันสำคัญกับพวกเรามากแค่ไหน อาหารการกินเสื้อผ้าที่ใส่การใช้จ่ายของครอบครัวเราอยู่ในหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นั้นหมด ไม่คิดว่าแกจะสมรู้ร่วมคิดกับหัวหน้าตระกูลและกลืนกินหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นี้ไป”
“ครอบครัวเรานี่มันซวยจริง ที่เจอคนเนรคุณอย่างแก”
จางลี่ที่อยู่อีกข้าง ก็มองฉินเฟิงอย่างไม่พอใจ
“พูดมาเถอะ หัวหน้าตระกูลให้เงินแกมาเท่าไหร่จนมันทำให้แกตอบตกลงเรื่องนี้”
พ่อของอิ่นซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าผากย่นขึ้นมา ยิ่งมองฉินเฟิงยิ่งรังเกียจ
“ที่แท้คุณก็เป็นคนสมรู้ร่วมคิดกับหัวหน้าตระกูลงั้นเหรอ”
ครั้งนี้สายตาที่อิ่นซินก็เริ่มรังเกียจขึ้นมา หัวหน้าตระกูลยิ่งอยากได้หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ในมือของเธอจะได้ควบคุมบริษัทซานหยวนได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้เธอล้มละลายไม่มีโอกาสฟื้นฟู
“ไสหัวไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
อิ่นซินชี้ไปที่ประตู
“พรุ่งนี้ผมจะเข้าบริษัท”
ฉินเฟิงรู้ว่าอธิบายตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงจากไป
ฉินกั่วกั่วอยากตามฉินเฟิงไป แต่กลับถูกอิ่นซินดึงมือไว้มือเล็กๆของฉินกั่วกั่วชี้ไปที่ฉินเฟิงที่อยู่ด้านนอก ปรารถนาเล็กน้อย “แม่ แม่ พ่อเขา......”
“หนูไม่มีพ่อ พ่อของหนูตายไปแล้ว”
อิ่นซินลากฉินกั่วกั่วเข้ามาในห้องประตูปิดเสียงดังปึ๊ง ชั่วพริบตาน้ำตาอุ่นๆก็เริ่มรินไหลพลางพูด “ฉันรู้แต่แรกแล้วว่าหมอนี่มันห่วย ฉันยังจะหวังอะไรอีก”
เธอเป็นประธานหญิงคนนึงแต่ก็เป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ หลายปีมานี้เธอทนลำบากมามาก คิดว่าตลอดว่าสักวันนึงฉินเฟิงกลับมา จะต้องกลับมาช่วยเธอ
แต่วันนี้ เธอยอมแพ้แล้ว
คนห่วยก็คือคนห่วย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
.........
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
ห้องทำงานระดับสูง
“เฟิงซิ่ง”
ฉินเฟิงยืนอยู่ห้องทำงานมือไขว้หลังมองดู ‘เฟิงซิ่ง’ สองพยางค์ที่ดูมีชีวิตชีวาอย่างนิ่งๆ เฟิงคือฉินเฟิง ส่วนซิ่งมีชื่อว่าหลี่ซิ่งเย่เป็นชื่อของแม่ของเขา
ย้อนกลับไปทีละนิดในตอนนั้น พวกเขาถูกไล่ออกจากตระกูลฉินและยังถูกริดรอนทรัพย์สินทั้งหมด จากนั้นใช้ชีวิตยากลำบากเร่ร่อนยังไงและแม่ป่วยหนักยังไง เขาไม่มีเงินรักษาตอนนี้ทั้งหมดนี้ฝังลึกเข้าไปอยู่ในใจ
ผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามา ก้มหัวพลางพูด “ท่านผู้บริหาร”
“เฝิงกาง เรื่องที่ผมให้คุณไปสืบเป็นไงบ้าง?”
ฉินเฟิงดึงสติกลับมาและมองไปทางเฝิงกาง
เฝิงกางเป็นประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ตอนอยู่จิงตูก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก คราวนี้บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปตั้งรากฐานอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง เขาก็ตามมาดูแลบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
“ท่านผู้บริหารสืบได้แล้วครับ ได้มีการทักทายกันจริงและไม่อนุญาตให้ทุนสนับสนุนแก่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปในตอนนี้” เฝิงกางกล่าว
“เรื่องจริงสินะ”
ฉินเฟิงว่าแล้ว มาถึงก็รู้สึกผิดปกติกองทุนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเกิดปัญหาและยังรู้สึกว่าลูกชายหัวหน้าตระกูลไม่เพียงไม่รีบเท่านั้น แต่กลับบังคับอิ่นซิน
“เมืองเจียงเฉิงของเรามีกองทุนเท่าไหร่?”
ฉินเฟิงถาม
“ท่านผู้บริหาร บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของเรายังไม่ได้ตั้งรากฐานอยู่เมืองเจียงเฉิงอย่างจริงจัง ตอนนี้เป็นบริษัทชั่วคราว พนักงานไม่เพียงพอแต่มีบริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปเป็นบริษัทถัดไปของเราในเมืองเจียงเฉิงเราสามารถให้พวกเขาสนับสนุนทุนให้”
“บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปเป็นของใคร?”
“หลี่เทียนเฉิง”
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บังเอิญพบหลี่เทียนเฉิงอีกแล้ว เขาพูดต่อ “เฝิงกาง ใช้วิธีบางอย่างให้บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปนี้ล้มละลายที บอกพวกเขา พวกเขาได้ทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง ทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาก็คือพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงให้หลี่เทียนเฉิงส่งสัญญาสนับสนุนทุนให้กับอิ่นซินแห่งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นการส่วนตัว”
“ช้าแม้แต่วินาทีเดียว ทำให้บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปล้มละลาย”