บทที่ 24 ถูกยิง
“ปัลจีกับอัลเลสถึงตัวพวกมันแล้ว!” เจ้าชายถลาลงมานั่งคุกเข่า แล้วยื่นดาบสั้นที่พกไว้ยัดใส่เมือเธอ “เจ้าไปเอาม้าตัวนั้นมา ถ้าพวกมันยังไม่ตาย แทงซ้ำได้เลย”
อาเซน่ากลืนน้ำลาย “มัน” ของเจ้าชาย ก็คือคนร้ายพวกนั้น เธอเป็นหมอ...เคยแต่ช่วยชีวิตคน ที่ยิงพวกมันตายไปคนหนึ่งก็เพื่อเอาชีวิตรอด แล้วนี่จะให้ใช้ดาบแทงคนที่กำลังจะตาย...
“คิดซะว่าเป็นการผ่าตัด ทำได้ไหม?” ทรงลืมตัวบีบมือของเธอไว้แน่น
“ดะ...ได้ เพคะ”
“ดี! ได้ม้าแล้วพามันหลบอยู่ในซอกภูเขาหินตรงนั้นก่อน เสร็จงานเมื่อไหร่เราจะไปเรียก แยกกันตรงนี้นะ!”
“เพคะ” เธอรับคำเสียงสะท้าน จับดาบที่เจ้าชายประทานมาจนเหงื่อชื้น ขณะที่เจ้าชายชักดาบของพระองค์ออกจากฝักเตรียมพร้อมแล้วค่อยๆ ย่องไปทางซ้ายโดยใช้เนินทรายเป็นที่พรางตัว
หญิงสาวมองตามแผ่นหลังกว้างไปอย่างใจหาย เจ้าชายไมเซรินุสคือรัชทายาทที่ท่านอเมโนฟิสฝากความหวังไว้และมีรับสั่งให้กลับมาเพื่อสืบทอดตำแหน่งสำคัญ ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเสี่ยงตายอยู่ที่นี่กับเธอ
“เอ่อ...จะ...เจ้าชาย...” เธอส่งเสียงเรียกเบาๆ อย่างไม่มั่นใจนัก เมื่อร่างสูงกำลังจะลับสายตา แต่เจ้าชายก็ไม่ได้หันกลับมามอง
จึงรวบรวมความกล้าอีกครั้ง...
“อย่าตายนะคะ!”
ได้ผล...ครานี้ร่างสูงชะงักกึก!
เธอเกือบจะหยุดหายใจเมื่อเจ้าชายทรงหันมาช้าๆ ก่อนที่มุมปากของพระองค์จะหยักขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมกล้าทอแสงเปล่งประกายอยู่ในความมืด
“เจ้าก็เหมือนกัน!”
ตึกๆๆๆๆๆ
อาเซน่าเอามือจับหน้าอกที่เต้นดังตุ้บๆๆ อย่างไม่มีสาเหตุ! ราวกับมีแสงอะไรบางอย่างสว่างวาบขึ้นมากลางใจ!
อบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งตัว
เธอไม่ได้ตาฝาด!
เมื่อครู่นี้...เจ้าชาย...ยิ้ม?
แม้จะเป็นแค่การยกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นรอยยิ้มของพระองค์
ไม่ๆๆๆ นี่เป็นแค่การเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะเพราะเจอเหตุการณ์เฉียดตายต่างหาก เลือดที่สูบฉีดจนใจเต้นไม่เป็นส่ำไม่มีทางเป็นเพราะเจ้าชายแน่ๆ
เธอบอกกับตัวเองอย่างนั้น แล้วสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป กระชับดาบสั้นในมือพร้อมกับหยิบคันธนูคู่ใจติดตัวไปด้วย
พลัน...หัวใจดวงนี้ก็ต้องเต้นถี่อีกครั้ง เมื่อเห็นประกายแสงวิบวับจากด้านบนของภูเขา พร้อมกับเสียงที่พัดมากับลม
เฟี้ยว......
“เจ้าชายหลบ!”
หญิงสาวตะโกนเรียกพระองค์สุดเสียง พร้อมกับเงื้อธนูขึ้นเล็งไปยังเป้าหมาย
เจ้าชายหนุ่มพุ่งตัวหลบหลังกำแพงทราย ขณะที่ลูกธนูดอกนั้นเฉียดศีรษะไปนิดเดียว เห็นอาเซน่ากำลังปล่อยลูกธนูออกจากมือยิงสวนกลับไป
เฟี้ยว.....
ฟ้าว!
“อาเซน่า!”
เจ้าชายถลันลุกขึ้นวิ่งกลับไปข้างหลัง ลูกธนูที่ศัตรูยิงออกมาเป็นครั้งที่สองลอยอยู่เหนือศีรษะพุ่งตรงไปยังร่างบางในจังหวะหลังจากปล่อยลูกธนูไปแล้ว
“อ๊าก!”
เสียงที่ดังมาจากภูเขาทำให้เขารู้ว่าเธอยิงถูกเป้าหมาย ทว่าลูกธนูที่สวนมาก็ปักถูกเธอพอดีเช่นกัน
ปึก!
“โอ๊ย!”
ร่างบางหงายไปด้านหลัง คันธนูลอยคว้างออกจากตัว มือของเจ้าชายไม่อาจคว้าร่างที่ร่วงลงพื้นทรายได้ทัน
ร่างของอาเซน่าร่วงกระทบพื้น ฝุ่นทรายปลิดปลิวตลบอบอวลเพียงชั่วครู่ เจ้าชายไมเซรินุสก็วิ่งมาถึง
“แค่กๆๆๆๆ”
หญิงสาวไอติดกันถี่ๆ เพราะสำลักฝุ่น ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
เจ้าชายวางดาบลง รู้สึกโล่งอกที่เธอยังหายใจและมีสติเพราะลูกธนูไม่ได้โดนจุดสำคัญอย่างเช่นหัวใจ ท้อง หรือหน้าผาก แต่ปักหนึบอยู่บนต้นแขนด้านซ้ายใกล้หัวไหล่ เลือดไหลซึมออกมาจนท่วมแขน
“อยู่นิ่งๆ ก่อน หายใจเข้าลึกๆ” ทรงแตะมือที่ไหล่อีกด้านหนึ่งของเธอเป็นการปรามไม่ให้ขยับตัว
“เจ้าชาย...เจ็บ...จังเลย”
“ค่อยยังชั่วที่ไม่เข้ากระดูก” เขาล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมแล้วดึงผ้าซับหน้าผืนเล็กออกมาแล้วยัดมันเข้าไปในปากของเธอ
“กัดไว้!”
“อี๊!” เธอส่งเสียงผ่านไรฟัน กัดผ้าไว้แน่น น้ำตาไหลเป็นทางเมื่อเจ้าชายจับด้ามธนูแล้วดึงมันออกจากแขนของเธอในครั้งเดียว
เจ้าชายโยนธนูเปื้อนเลือดทิ้งไปอีกทาง ก่อนจะควานหากระบอกน้ำในกองสัมภาระที่กระจัดกระจาย และพบมันห้อยติดอยู่กับคอม้าที่นอนแน่นิ่งตั้งแต่ถูกยิงในครั้งแรก
“ฮือๆๆๆ”
เคร้ง! เคร้ง!
ฉัวะ! ฉัวะ!
อ๊าก!
ทั้งเสียงร้องไห้ของเธอ กับเสียงการสู้กันระหว่างคนของเขาและศัตรูดังประสานกันระงม บาดแผลของเธอไม่ลึกมากแต่ก็เสียเลือดไปไม่น้อยจนคนเจ็บหน้าซีดเผือด ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาจะต้องไปช่วยสหายทั้งสองเพราะพวกมันมีมากกว่าและได้เปรียบเรื่องอาวุธ
ทรงราดน้ำบนบาดแผลแล้วพันผ้าไว้เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แล้วถอดชุดคลุมของตัวเองออกคลุมให้เธอเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเสียเลือดมากจนช็อกหมดสติได้
เธอกลั้นเสียงครางฮือๆ อยู่ในลำคอ ปวดร้าวชาหนึบไปทั้งตัว
“เราจะห้ามเลือดให้ เจ้านอนอยู่นิ่งๆ นะ ห่มผ้าไว้ เราจะไปจัดการพวกมันก่อน”
“อือ...” อาเซน่าได้แต่ครางอู้อี้ตอบรับ จับใจความไม่ได้ว่าเจ้าชายพูดอะไรออกมาบ้าง รู้แต่ว่าร่างกายอ่อนแรงเหมือนจะเป็นอัมพาตเสียให้ได้
วินาทีก่อนเปลือกตาจะปิดลง เธอเห็นเจ้าชายเก็บดาบไว้ในฝัก แล้วหยิบคันธนูของเธอวิ่งออกไป
เจ้าชายไมเซรินุสวิ่งลัดเลาะไปตามเนินทราย เสียงดาบกระทบกัน เสียงร้องของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขาใจชื้นขึ้นที่สหายทั้งสองไม่เป็นอะไร ทั้งยังไม่มีการยิงธนูจากฝ่ายตรงข้ามมาอีก ก็จะได้จัดการพวกมันได้ง่ายขึ้น
ทรงปีนขึ้นไปบนเนิน ในความสลัวยามแสงแห่งอรุณรุ่งกำลังจะโผล่ขึ้นบนขอบฟ้า ทอดพระเนตรเห็นศพของศัตรูนอนตายเกลื่อนร่วมสิบคน ปัลจีกำลังสู้กับพวกมันแบบสามต่อหนึ่งอยู่ในร่องของหุบเขา ส่วนอัลเลสก็โรมรันฟันตูอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่ยังเหลือม้าอยู่หนึ่งตัว
นอกนั้นแล้วไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดอีก มีเพียงคนของเขาสองคนกับพวกมันอีกห้าคน!
เจ้าชายหยิบคันธนูพร้อมลูกขึ้นมา เล็งเป้าไปยังเป้าหมายที่อยู่ในร่องหุบเขาก่อนเป็นที่แรก เลือกผู้เคราะห์ร้ายเป็นชายที่กำลังเงื้อดาบอยู่ด้านหลังของปัลจี
ฟ้าว...... ปึก!
“โอ๊ย!”
พวกมันล้มลงไปหนึ่ง ปัลจีจึงทำงานได้ง่ายขึ้น เขายกเท้าถีบเจ้าคนข้างหน้าให้กระเด็นไปห่างตัว เพื่อที่เจ้าชายจะได้ยิงได้ถนัดๆ
ตึง!
ชายร่างหนาล้มลงก่อนจะลุกขึ้นมาใหม่ ยังไม่ทันได้ขยับดาบในมือ ธนูดอกหนึ่งก็แล่นเข้ามาตัดขั้วหัวใจ
“อ๊าก....เอาะ...”
เคร้ง! เคร้ง!
เจ้าชายปล่อยอีกคนที่เหลือให้องครักษ์หนุ่มจัดการ แล้วหันปลายธนูไปยังอีกสองคนที่เหลือทางฝั่งอัลเลส และเล็งเป้าคนที่กำลังจะควบม้าออกไป
ฮี้ๆๆๆๆ
เจ้าม้ายกขาหน้าขึ้นเมื่อมันถูกชายร่างยักษ์กระโดดขึ้นคร่อมจนเสียหลัก แล้วร่างของชายคนนั้นก็กระตุกเฮือกลอยละลิ่วตกลงบนพื้น
อัลเลสรีบจัดการกับพวกมันอีกคนที่อาการร่อแร่ปางตายแล้ว ก่อนจะฟันฉับเดียวเลือดสาดกระจายร่างทรุดลงนอนแน่นิ่งบนพื้น แล้วเขาก็วิ่งไปจับบังเหียนม้า ตบคอปลอบประโลมให้มันหายกลัว
“พวกมันตายหมดแล้วครับ มีกันเกือบยี่สิบคน เหลือม้าเพียงตัวเดียวเท่านั้น” เขาตะโกนรายงานเจ้าชาย จูงม้าเดินผ่านซากศพมาสมทบกับปัลจี
“ตรวจดูซิว่าพวกมันเป็นใคร แล้วรวบรวมน้ำกับสัมภาระที่ยังเหลือไว้ เราจะต้องจัดการเอาศพพวกมันไปทิ้งในร่องเขาก่อนที่พวกแร้งจะมา อาเซน่าเจ็บหนักไม่อาจเดินทางตอนนี้”
“ครับ!”
