บท
ตั้งค่า

บทที่ 25 ต้องรักษาแบบไหนกัน

ถ้าหากว่านี่คือความเหน็บหนาวล่ะก็ เป็นครั้งแรกที่อาเซน่ารู้สึกว่าตัวเองหนาวจนถึงกระดูก หูแว่วๆ ได้ยินเสียงคนเดินไปมา เสียงฮึมฮัมของม้าและเสียงคุยกันเบาๆ อยู่ใกล้ๆ ตัว

“อาเซน่า...”

ใครคนหนึ่งเรียกชื่อของเธอด้วยเสียงแผ่วเบา เสียงนั้นช่างอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเสียงของคนที่เคยกระซิบข้างหูเธอเสมอมา

ใครคนนั้นเอาหลังมือแตะที่หน้าผากอุ่นจัดของเธอ เพียงแวบเดียวก็มีผ้าอุ่นชื้นมาวางอยู่แทนที่

“ท่านอเมโนฟิส...”

ไม่มีเสียงตอบจากท่านอเมโนฟิสที่เธอเพ้อรำพันถึง อยากจะกราบทูลเหลือเกินว่า ธนูดอกนี้มีพิษทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ หากพวกคนที่ดักทำร้ายพวกเธอเป็นคนภายในแล้วล่ะก็ ชีวิตของพระองค์กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง

เพราะพระวรกายของพระองค์...ไม่เหมือนคนอื่น...ถ้าหากพวกมันรู้เรื่องนั้นแล้วล่ะก็...

“ท่านอเมโนฟิส...ระวัง...อย่า...ให้ใคร...รู้...นะ...เพคะ...”

“พวกเจ้าไปหาเชื้อเพลิงมาที”

เจ้าชายรับสั่งกับสหายเมื่อเธอเริ่มเพ้อเพราะพิษไข้ ริมฝีปากซีดเซียวพูดขมุบขมิบกระท่อนกระแท่น ดวงตายังหลับพริ้ม บางครั้งก็นิ่วหน้าเพราะความเจ็บ

ครั้นเมื่อองครักษ์ทั้งสองออกไป เขาก็ขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิด เพ่งมองใบหน้าทุกข์ระทมจากแสงรำไรของพระอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาผ่านรูโหว่ของโพรงถ้ำภายในภูเขา

ไม่เพียงแค่บาดเจ็บทางกาย แต่ใจของเธอก็กำลังเจ็บ เธอพร่ำเรียกชื่อพระบิดาของเขาซ้ำวนเวียนอยู่หลายครั้ง ทั้งๆ ที่เสด็จพ่อไม่ได้อยู่ตรงนี้เลย

ตอนนั้น...เธอตะโกนเรียกเขา ชื่อที่ผ่านริมฝีปากของเธอออกมายังดังก้องอยู่ในใจ วินาทีที่เขาหันกลับไปก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เธอมองเขาอย่างห่วงใย

เธอมิได้สะบัดหน้าหนีเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่ได้หัวเราะต่อกระซิกกับโอซิริสในขณะที่เขาทำได้เพียงแค่แอบมองอยู่ห่างๆ และไม่ได้มีท่าทีเย็นชากับเขาเหมือนตอนอยู่ในวัง

เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเธอในมุมอื่น เธอคือสาวคร่ำครึเวลาสวมหน้ากากหมอหลวง เธอคือผู้หญิงที่อ่อนโยนอ่อนหวานเมื่ออยู่ข้างกายเสด็จพ่อ เธอคือผู้หญิงร่าเริงแจ่มใสยามเดินเคียงข้างเสด็จพี่

ในห้วงแปดปีที่จากไปเทเบ เธอคือผู้หญิงแบบนั้น แต่เพียงสามวันที่มาอยู่ชิดใกล้ เธอปกป้องเขาด้วยฝีมือยิงธนูอันเก่งกาจจนพวกมันตายไปสองคน ครั้นพอจะต้องปกป้องตัวเองบ้าง เธอกลับกลัวการที่ต้องเอามีดดาบไปฆ่าคนอื่น

แล้วก็ร้องไห้ฮือๆ เหมือนเด็ก

เลือดหยุดไหลแล้ว โชคดีที่ห่อยาไม่หล่นหายระหว่างการต่อสู้ เขาจึงทายาสมานแผลให้ป้องกันการอักเสบ แต่เพราะร่างกายที่เพิ่งจะหายป่วยและพิษของบาดแผล จะทำให้เธอไข้ขึ้นหนาวสั่น และขยับแขนข้างขวาไม่ได้เลยอย่างน้อยก็สองวัน

ในถ้ำอากาศชื้น แม้ข้างนอกแสงแดดจะแผดเผา เหลือม้าเพียงตัวเดียวไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางไกลของคนสี่คน ข้าวของที่จำเป็นบางอย่างพังไป บางอย่างใช้การไม่ได้ โชคดีที่ยังเหลือน้ำดื่มอีกหลายกระบอกกับเสบียงแห้งอีกส่วนหนึ่งไว้ประทังชีวิต

กลางวันยังพออบอุ่น แต่ตกกลางคืนอากาศจะเย็นจัด การก่อไฟจะช่วยไล่ความหนาวและสัตว์เลื้อยคลาน แต่ก็เป็นดาบสองคมเช่นกัน

ผลการพิสูจน์ศพทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้น และเขาจะต้องรีบทูลความจริงให้เสด็จพ่อทรงทราบโดยเร็ว

“ระวัง...อย่า...ให้รู้...นะ...เพคะ”

“อาเซน่า...” เขาเอนกายลงพิงผนังถ้ำ ใช้ข้อศอกข้างหนึ่งยันตัวเองไว้ แล้วก้มลงฟังใกล้ๆ เมื่อเธอพึมพำออกมา

“รู้อะไร...ระวังอะไร...เจ้าหมายถึงเสด็จพ่อหรือ?”

ไม่มีเสียงตอบจากหญิงสาว เธอเงียบไปแล้ว ทั้งยังหายใจสม่ำเสมอ เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

เจ้าชายพิศมองใบหน้าเธอ เพื่อให้แน่ใจว่าเธอหลับไปจริงๆ จึงหยิบผ้าอีกผืนมาคลี่คลุมห่มให้ แล้วถอยไปนั่งกอดเข่าอยู่ข้างกองไฟ ก่อนจะเปรยกับตัวเองเบาๆ

“เจ้ารำพันถึงแต่เสด็จพ่อ...ทั้งๆ ที่อยู่ข้างกายเรา...เจ้า...ช่างใจร้ายนัก”

ค่ำนั้น ปัลจีกับอัลเลสได้กิ่งไม้แห้งมาคนละหอบ พอที่จะเติมเชื้อไฟได้ทั้งคืน แถมยังมีหินกำยานที่พวกมันใช้ไม่หมดอีกหนึ่งถุงย่ามติดมือมาด้วย

ศพของพวกมันถูกนำไปทิ้งลงในในหุบเขา แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้ปลดอาวุธและเก็บหลักฐานร่องรอยไว้หลายอย่าง เพื่อนำไปกราบทูลฟาโรห์และชี้ตัวผู้บงการอย่างที่มันไม่อาจดิ้นหลุด

พวกเขากระจายกันนอนรอบกองไฟคนละมุม ใช้ชุดคลุมเป็นผ้าห่มชั่วคราว แม้จะวางใจได้ระดับหนึ่งว่าไม่มีพวกมันหลงเหลืออยู่อีก แต่องครักษ์ทั้งสองก็จะต้องผลัดกันเฝ้ายามเพื่อความปลอดภัย

เสียงหายใจฟืดฟาดของม้า กับเสียงครางแผ่วๆ ของอาเซน่าดังขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้คนที่หลับไปแล้วต้องตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความกังวล กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป

“เดี๋ยวข้าจัดการเองครับเจ้าชาย” ปัลจีขยับจากจุดเฝ้ายามเข้ามาด้านในเพื่อดูอาการคนป่วย อยากให้เจ้าชายพักผ่อนอย่างเต็มที่

“อืม...ฝากด้วยแล้วกัน ห่มผ้าให้เธออีกผืน” เจ้าชายสะลึมสะลือตอบรับงึมๆ งำๆ ได้ยินเสียงเดินขององครักษ์หนุ่ม เสียงค้นข้าวของกุกกัก ตามด้วยเสียงน้ำหยดลงบนพื้น

ทรงเหลือบมองปัลจีที่ค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปหาหญิงสาวที่นอนอยู่ถัดพระองค์ด้วยความสงสัย

“ทำอะไรน่ะ?”

“นางตัวร้อนจี๋ ต้องเช็ดตัวลดไข้ให้ครับ ไม่อย่างนั้นอาจจะชักได้” ปัลจีตอบ พลางบิดน้ำออกจากผ้าผืนเล็ก แล้วเลื่อนชุดคลุมของเธอลง เหลือแต่ร่างบางที่นอนเปลือยไหล่เหลือแต่ผ้าพันหน้าอกผืนเดียว

เจ้าชายหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ลุกพรวดขึ้นก้าวฉับๆ ไปแย่งผ้าผืนนั้นออกจากมือสหายหนุ่มทันใด

“ให้เราทำเองดีกว่า”

“แน่ใจนะครับ...ว่าจะช่วยเธอ...ไม่ใช่ทำให้อาการหนักกว่าเดิม” ปัลจียอมถอย แต่ยังไม่เคลื่อนไปไหนไกล

“เห็นเราใจร้ายขนาดนั้นเลยรึ?” ทรงย้อนถาม มือก็ใช้ผ้าเช็ดหน้านวลไปมา

“ก็เห็นเป็นเฉพาะกับท่านอาเซน่านี่ครับ แต่ว่า...ไข้สูงขนาดนี้ สงสัยว่าจะต้องให้ความอบอุ่นโดยด่วนเลยล่ะครับ ไม่อย่างนั้นเธอไม่รอดแน่”

“หาผ้ามาอีกผืนสิ หรือจะย้ายเธอไปนอนใกล้ๆ กองไฟก็ได้”

“ไม่ได้ครับ หนาวเนื้อต้องห่มเนื้อ ต้องใช้ร่างกายถ่ายเทความร้อนให้แก่กัน เป็นวิธีที่ดีกว่าการใช้ยาหลายเท่า”

“อะไรนะ!?” เจ้าชายอุทานเสียงดัง ก่อนจะค่อยๆ ลดน้ำเสียงลง “จะให้เรากอดเธอเรอะ!”

“หรือจะปล่อยให้เธอตายสมใจเจ้าชายก็ได้นะครับ ไหนๆ ก็ตั้งใจพาเธอมาทรมานอยู่แล้ว ข้าจะช่วยกราบทูลยืนยันกับฟาโรห์ว่าเธอเสียชีวิตเพราะถูกศรของศัตรู ไม่ใช่เพราะถูกปล่อยให้หนาวตาย”

“เราคิดผิดเองที่ให้คนสนิทอย่างเจ้ามาด้วย เอาล่ะไปเฝ้ายามซะ เดี๋ยวเราจะกลั้นใจทำเอง ไปสิ” ทรงประชดประชันและออกปากไล่องครักษ์หนุ่ม ก่อนจะก้มลงมองร่างบางที่นอนตัวสั่นอยู่เพราะชุดคลุมถูกตลบลงไปที่ขาหมดแล้ว

ก่อนอื่น เขาจะต้องเช็ดตัวให้เธอ เอ้อ...ก็คงจะเหมือนวันนั้น ถูแล้วก็ถู คราวนี้ดีกว่าเดิมหน่อยตรงที่ไม่ต้องจับเธอพลิกไปพลิกมา เพราะแผลที่ไหล่ทำให้นอนได้แค่ท่าเดียว

ปัลจีถอยกลับไปนั่งหน้าปากถ้ำ แอบมองเจ้าชายที่กำลังก้มหน้าก้มตาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เธอแล้วได้แต่ยิ้ม

เจ้าชายใช้เวลาเช็ดตัวให้เธอจนเวลาล่วงเลยไปพักหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะแตะตรงไหนก็ร้อนจี๋จนผ้าที่ชุบน้ำพลอยร้อนไปด้วย

เขารู้ว่าปัลจีพูดถูก การถ่ายเทความร้อนผ่านทางร่างกาย จะทำให้คนป่วยหายไข้ได้เร็วขึ้น ทั้งตัวเขาเองก็เป็นคนแข็งแรง ไม่กลัวที่จะติดไข้อยู่แล้ว

แต่จะให้นอนกอดเธอนี่สิ...เจ้านั่นไม่รู้ว่าเธอเคยผลักเขาตกเตียงมาแล้ว คราวนี้เธออาจจะเอาดาบแทงเขาก็ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel