บท
ตั้งค่า

บทที่ 23 ซุ่มโจมตี

พลบค่ำ พ่อค้ากำมะลอทั้งหลายก็ควบม้าออกจากประตูเมือง ปะปนไปกับกองคาราวานสินค้าขบวนขาออก ก่อนจะค่อยๆ แยกตัวจากขบวนทีละคนๆ

อาเซน่ามองผืนทรายที่มีฝุ่นตลบอยู่ไกลๆ ใต้แสงจันทร์ ตอนนี้เธอเหมือนเป็นทั้งหญิงและชายอยู่ในร่างเดียว เพราะแม้จะสวมชุดทะมัดทะแมง แต่รูปร่างเล็กกระจ้อยร่อยเทียบกับผู้ชายแท้ๆ อย่างพวกเขาไม่ได้เลย

แล้วอย่างนี้...ถ้าเจอพวกโจรกลางทาง พวกมันก็ต้องจัดการกับเธอก่อนน่ะสิ!

ม้าสี่ตัวเดินเหยาะแหยะช้าๆ ตามกันไปตามเนินทรายลูกแล้วลูกเล่าเบื้องหน้า เป็นการอบอุ่นร่างกายให้ม้าและคนก่อนพระจันทร์จะเคลื่อนคล้อยไป

หญิงสาวเพิ่งมีโอกาสได้เห็นหน้าขององครักษ์ทั้งสอง พวกเขาสองคนล้วนตัดผมสั้น ร่างสูงใหญ่กำยำ คิ้วดกหนาและริมฝีปากเหยียดตรงเลียนแบบกันราวกับต้องการเอาใจเจ้าชาย

เออหนอ...แม้แต่องครักษ์ ก็ยังเลือกคนที่เหมือนตัวเอง เธอจะต้องทนอยู่กับพวกเขาไปอีกหลายวันหรือนี่

“เราจะพักในหุบเขาเล็กๆ ข้างหน้า หากห้อม้าเต็มที่ก็คงจะถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น อาเซน่าไหวไหม?” เจ้าชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาวที่อยู่รั้งท้ายขบวน

“เพคะ”

“ถ้าไม่ไหวเราจะทิ้งเจ้าให้ตายอยู่ในทะเลทรายนี่ล่ะ”

“เพคะ”

“ถึงเจ้าเหนื่อยก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดพัก”

“เพคะ”

ฮึ่ม!

เจ้าชายสะบัดหน้าควบม้ากลับไปอยู่หัวขบวนตามเดิม แล้วควบม้าวิ่งเหยาะๆ นำไป

ผู้หญิงบ้าอะไรพูดเป็นอยู่คำเดียว ขู่ขนาดนั้นแล้วยังทำหน้าเฉยอยู่ได้ ทำไมไม่รู้จักทำตัวให้น่าสงสารบ้าง เจ้าหล่อนทำตัวเป็นผู้หญิงบอบบางน่าทะนุถนอมไม่เป็นหรือไร

ปัลจีถอยร่นลงมาเคียงข้างหญิงสาว เอื้อมมือไปดึงถุงย่ามที่เธอห้อยพะรุงพะรังบนหลังม้าไปยัดใส่ถุงย่ามของตัวเอง

“ขอบคุณ” อาเซน่าคลี่ยิ้มบางๆ มีใครช่วยแบ่งเบาข้าวของจากเธอบ้าง ก็ทำให้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น

“เจ้าน่าจะยิ้มแบบนี้ให้เจ้าชายบ้างนะ”

“เอ๋?”

หญิงสาวไม่ทันได้ถามว่ามันหมายความว่าอย่างไร สหายของเจ้าชายก็ควบม้าตามไปโน่นแล้ว

เธอ...ไม่เคยยิ้มให้เจ้าชายอย่างนั้นหรือ...ก็แล้วจะยิ้มทำไมล่ะ ในเมื่อพระองค์เองก็ไม่เคยยิ้มให้เธอสักครั้ง เจอหน้ากันทีไรก็มีแต่ทำเมินใส่เธออยู่เรื่อย

คล้อยหลังพวกเขาไปไม่นาน ชายคนหนึ่งก็เดินออกจากมุมมืดของกำแพง จ้องมองไปบนท้องฟ้าที่บัดนี้มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

“เด็กดี”

เขาผิวปากเบาๆ แล้วม้วนเศษกระดาษมัดเชือกติดกับขาของมันเหมือนเช่นทุกครั้ง ก่อนจะสะบัดแขนออกไป แล้วเจ้าอินทรีก็บินหวือไปยังอีกทิศตะวันออก

“หยุดก่อน...”

เจ้าชายไมเซรินุสยกพระหัตถ์ขึ้นส่งสัญญาณบอกผู้ติดตาม พร้อมชะลอฝีเท้าม้าให้ช้าลง ดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยไปจนบริเวณนี้เกือบจะมืดสนิท

เจ้าของม้าอีกสามตัวหยุดนิ่งเพื่อรอคำสั่ง แลเห็นภูเขาหินสูงตระหง่านดำทะมึนน่ากลัวอยู่เบื้องหน้า แม้พวกเขาจะมาถึงที่หมายเร็วกว่าที่คิดไว้แต่ข้างในนั้นอาจมีอันตรายรออยู่

อาเซน่าอยู่รั้งท้าย เธอไม่กล้ากระดุกกระดิกตัว ได้แต่กลอกลูกตาไปมาอย่างระแวดระวัง ลมพัดมาวูบหนึ่งทำเอาเธอขนลุกซู่ อดคิดไม่ได้ว่าหากมีโจรซุ่มอยู่ในนั้น พวกเธอทั้งสี่คนจะเอาชนะมันได้ไหม โดยเฉพาะเธอที่มีแววว่าจะตายเป็นคนแรก แม้จะมีฝีมือการยิงธนูเป็นเลิศ ทว่าหากต้องสู้กันในระยะประชิด เธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะรอด

ชิ้ง!

เจ้าชายหลับพระเนตรลง ตั้งสมาธิฟังเสียงที่ถูกพัดมากับเสียงลม จมูกก็สูดกลิ่นดินทรายที่ลอยมาจากถ้ำ เมื่อครู่นี้เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ทว่ายังไม่แน่ใจนัก

วู้....วู้.....

ชิ้ง!

ฟ้าว.........................

“หลบ!” ทรงร้องออกมาดังลั่น “อยู่หลังเนินทรายเร็วเข้า!”

เจ้าชายทิ้งตัวลงจากหลังม้า องครักษ์ทั้งสองต่างก็กระโดดลงแล้วพุ่งตัวหลบอยู่ใต้เนินทรายอย่างว่องไว

ปึก!

ฮี้ๆๆๆๆๆๆ

“กรี๊ด!”

ตุ้บ!

อาเซน่ากลิ้งตกลงมาเมื่อม้าของเธอสะบัดตัวดิ้นพล่านเพราะลูกธนูที่แหวกอากาศมาปักลงที่แผงอกของมันพอดี

“ท่านอาเซน่า!” อัลเลสซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดคว้าตัวหญิงสาวที่กลิ้งหลุนๆ ลงเนินไว้ทันท่วงที

ฮี้ๆๆๆๆ

ตึง!

กุบๆๆๆๆๆๆ

ม้าของอาเซน่าล้มลงนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นทราย ข้าวของในกระเป๋าย่ามกระจัดกระจายออกมา แล้วม้าอีกสามตัวที่เหลือต่างก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจพร้อมกับวิ่งเตลิดไปคนละทิศละทาง

ม้าทั้งสามตัววิ่งหายไปในความมืดพร้อมกับถุงสัมภาระและกระบอกน้ำ!

“ปัลจีไปทางซ้าย! อัลเลสอ้อมเนินลูกนั้นไป!”

“ครับ!!”

สหายทั้งสองแยกตัวออกทางกราบซ้ายและขวาโดยใช้เนินทรายเป็นที่กำบัง

ฟ้าว!

ปัก!

เสียงธนูแหวกอากาศมาอีกครั้ง แล้วมันก็ปักลงที่เนินทรายใกล้ๆ กับที่ไมเซรินุสนั่งพิงอยู่ เขาดึงถุงย่ามของอาเซน่ามาแล้วดึงเสื้อผ้าที่ซื้อให้เธอออกมากองไว้

“อย่าใช้มัน! ถ้าเจ้าลุกขึ้นจะกลายเป็นเป้า!” เขาร้องห้ามพลางปัดมือของหญิงสาวที่กำลังหยิบอาวุธคู่กายออกมาจากเสื้อคลุม

“พวกมันมีไม่กี่คน เราจะต้องใช้ความมืดพรางตัวเข้าไปที่ภูเขา เจ้ารออยู่ที่นี่ ระวังหลังไว้ก็พอ”

“ดีกว่าถูกยิงอยู่ฝ่ายเดียว หม่อมฉันจะคุ้มกันให้เพคะ!” เธอไม่ยอมรอความตายอยู่เฉยๆ แน่ อย่างน้อยก็ได้เห็นแล้วว่าลูกธนูนั้นยิงมาจากทิศทางไหน ระยะตกของมันทำให้รู้ตำแหน่งของศัตรู ถึงจะมืดแต่เธอก็คิดว่าลูกธนูของเธอน่าจะโดนเป้าไม่เกินหนึ่งในสามลูก

ฮี้ๆๆๆๆ

เสียงร้องของม้าดังมาจากด้านหลังภูเขาหิน เจ้าชายไมเซรินุสตบหน้าตักตัวเองฉาดหนึ่งเมื่อรู้จุดประสงค์แท้จริงของคนร้าย

“พวกมันต้องการม้า! ยิงคุ้มกันให้ที!”

“เพคะ!”

อาเซน่าคลานเข้าหากำแพงดิน หมอบศีรษะลงต่ำเมื่อธนูดอกหนึ่งปักลงตรงเนินทรายที่เดิม เธอเอื้อมมือไปดึงมันออกอย่างรวดเร็ว

ไม่มีกลิ่นของพิษอยู่ที่ปลายลูกธนู หญิงสาวรอจังหวะให้เจ้าชายโยนผ้าไปอีกทางหนึ่ง เพื่อล่อให้ลูกธนูที่กำลังจะยิงมาหลงกล

ฟ้าว!

ฟุ่บ!

วินาทีที่ผ้าผืนนั้นถูกลูกธนูปักอยู่กลางอากาศ เธอก็ผุดลุกขึ้นยืน ก้าวขาออกไปข้างหน้าในท่าเตรียมยิง ก่อนจะเงื้อธนูจนสุดแขน

เจ้าชายมองหญิงสาวที่ยืนตระหง่านอย่างไม่กลัวตายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ที่จริงแล้วมันเป็นช่วงเวลาเพียงชั่วกะพริบตาเท่านั้น ที่เธอเอนตัวไปด้านหลังในท่วงท่างดงาม แล้วปล่อยให้ลูกธนูออกจากมือแหวกอากาศพุ่งตรงไปยังเป้าหมายที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด

“อ๊าก!”

ตุ้บ!

เสียงร้องแว่วๆ ดังมากับสายลม พร้อมกับเสียงอะไรบางอย่างตกจากที่สูง ชายหนุ่มไม่รอช้า หยิบคันธนูของตัวเองออกมา แล้วตีลังกาม้วนตัวไปยังเนินทรายอีกลูกหนึ่งทันที

อาเซน่าทรุดตัวหลบเมื่อลูกธนูแรกถูกเป้าหมาย เธอเอนหลังพิงกำแพงทราย แล้วหยิบลูกธนูอีกดอกของพวกมันที่ยิงมาสุ่มสี่สุ่มห้าเอาไว้ใช้งาน

ไม่มีการยิงธนูมาอีก เจ้าชายจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเงื้อธนูไปยังกลุ่มฝุ่นทรายที่ปลิวว่อนขณะที่พวกมันกำลังจะควบม้าหนีไป

อาเซน่าเหลือบมองเจ้าชายที่เป็นฝ่ายยิงบ้าง ร่างสูงที่เธอเห็นทำเอาหัวใจกระตุกวูบหนึ่งเมื่อเสี้ยวหน้าด้านข้างของพระองค์มีเงาของฟาโรห์อเมโนฟิสซ้อนทับ ผ้าคลุมศีรษะตกไปด้านหลัง ผมยาวสลวยปลิวระตามสายลม วงแขนกว้างตั้งฉากสวยงาม ก่อนที่ธนูดอกนั้นจะพุ่งตรงไปยังฝุ่นดินทรายที่อมองเห็นอยู่ไกลๆ

ระยะขนาดนั้น แรงอย่างเธอคงยิงไม่ถึงแน่ แต่ดูจากแรงส่งของเจ้าชายแล้ว ถ้ายิงไม่ถูกคนก็จะต้องถูกม้าอย่างใดอย่างหนึ่ง

ปึก!

ฮี้ๆๆๆๆ

กับๆๆๆๆ

หญิงสาวแทบจะยกตำแหน่งแชมป์สามสมัยให้เจ้าชายไปเลยก็คราวนี้

เคร้ง! เคร้ง!

ฉัวะ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel