ตอนที่ 1.สาวโสภากับคนเถื่อนไร่ส้ม....
ข้าพเจ้านางสาวอรุณวตี ทิวากร ได้หยิบยืมเงินมาจากนางสาววิฬา สุขีเป็นจำนวนเงินแปดแสนบาท ข้าพเจ้าจะต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยตามกฏหมาย ภายในเวลาสามเดือนนับตั้งแต่วันทำสัญญา โดยใช้ที่ดินจำนวนห้าสิบสี่ไร่ที่ครอบครองโดย นายอชิระ ทิวากร เป็นหลักประกัน…
เมื่ออ่านถึงตรงข้อความนั้น อชิระเงยหน้าขึ้นมองสาวแปลกหน้าที่วางท่าใหญ่โตด้วยความขบขัน
“หัวเราะอะไร!”
เสียงแหวดังขึ้นทันที ที่เห็นรอยขำขันในแววตาคู่นั้น
“คุณ…โง่หรือบ้าหะ ให้คนยืมเงินด้วยสัญญากระดาษแผ่นเดียว เอาที่ผมไปค้ำ คุณเคยเห็นโฉนดไหม? แล้วตอนที่ทำสัญญานี่ ได้ปรึกษาใครหรือเปล่าหะ”
อชิระแย้ง สัญญานี่มีช่องโหว่ที่ถูกเอาเปรียบเห็นๆ คนโง่ที่ไหนจะบ้าให้หยิบยืมเงินจำนวนมาก เพียงแค่สัญญาที่ไม่ต่างจากลมปาก ไม่มีเอกสารยืนยัน
วิฬาหน้าเสีย เพราะความเชื่อใจ เนื่องจากเป็นคนคุ้นหน้า และตระกูลใหญ่อย่างทิวากรก็มีชื่อเสียง
“กลับบ้านคุณเถอะ ถ้าอยากได้เงินคืน คุณต้องไปทวงที่พี่สาวผม ไม่ใช่ผม”
อชิระแนะนำด้วยความหวังดี เปล่าประโยชน์ที่จะมาทวงถามหนี้ที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย
“มามุงอะไรกัน แยกๆ บ้านใครบ้านมันได้แล้ว”
อชิระส่งเสียงไล่จนคนงานกลุ่มใหญ่แตกฮือ รีบแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน เมื่อไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“จะบ้าเรอะ! ฉันถ่อสังขารมาถึงที่นี่ จะให้กลับมือเปล่าเหรอไงยะ”
เจ้าของไร่ส้มสุดหล่อยิ้มมุมปาก “คุณจะเอาส้มติดมือกลับไปด้วยผมผมก็ไม่ได้ว่านะ จะได้ไม่เสียเที่ยวไง” เขาผายมือไปที่เข่งใบใหญ่ ในนั้นมีผลส้มร่วงๆ ที่คนงานเก็บมาใส่ไว้ มันสุกก่อนเพื่อนพ้อง ถึงจะไม่ใช่ผลส้มที่ตัดมาอย่างถนอม ผิวไม่ได้สวยและอาจจะช้ำในบ้าง แต่อชิระแน่ใจ ส้มทุกผลที่เป็นผลผลิตจากสวนของเขาหวานฉ่ำทุกผล
วิฬาแทบปรี๊ดแตก เกือบร้องกรี๊ดๆ หล่อนกำมือแน่น เรียวปากสีสดเม้มจนเป็นเส้นตรง จ้องมองตามแผ่นหลังเหยียดตรงของผู้ชายตัวใหญ่ไปอย่างโกรธแค้น
คนตระกูลนี้เย่อหยิ่งและอวดดี...พวกเขาทะนงตนว่าเป็นครอบครัวผู้ดีร่ำรวย แววตาที่มองคนต่ำกว่าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหยียดหยัน ดังนั้นเมื่อหนึ่งคนในตระกูลนั้นซมซานมาหา เพื่อร้องของให้ช่วย วิฬาจึงไม่รอรีที่จะให้อรุณวตีหยิบยืม ใครจะไปคิดล่ะ คนที่หยิ่งในเกียรติของตนเองจะกล้ามีกลโกงกับคนอย่างเธอ
แต่...งานนี้คงไม่ง่ายอย่างที่อรุณวตีคิดหรอก
เธอไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ได้ไร้คนพึ่งพา ความขยันหมั่นเพียรที่ฝังอยู่ในสันดานของสุขีทุกคน การเล่าเรียนทำให้คนที่เคยเป็นแค่ชาวบ้านกัดก้อนเกลือกิน มีกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ด้านหลังคฤหาสน์หลังโตเปลี่ยนไป ในบรรดาพี่-น้องของเธอ พี่ชายคนโตเป็นนายตำรวจที่ยศใหญ่ไม่เบา หากเธอนำเรื่องนี้ไปขอความช่วยเหลือ ใช้อำนาจที่พี่ชายมีบีบคั้นอรุณวตี อยากรู้นักว่าผู้ชายคนที่เพิ่งเดินยิ้มเย้ยเธอนั่น จะอยู่เฉยได้ยังไง
อชิระเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับขวดน้ำสะอาดเย็นเฉียบ
“อ้าว!!” เขาครางเบาๆ ในลำคอ แคร่ไม้หน้าบ้านไร้วี่แววของแม่สาวโสภาคนนั้นเสียแล้ว
เรียวคิ้มเข้มขมวดแน่น “ช้างๆ ช้างโว้ย” อชิระตะโกนเรียกคนงานคนสนิทที่มีบ้านพักอยู่ด้านหลังเรือนไม้ของเขา
ไอ้หนุ่มสุดแสบโผล่หน้ามาให้เห็นพร้อมกับเสียงขานรับ “คร๊าฟฟฟฟ นาย”
“ยัยนั่นมาที่นี่ได้ยังไงวะ เดินมาหรือมีใครมาส่ง?” พระอาทิตย์จวนจะตกลับเหลี่ยมเขา อากาศรอบตัวเริ่มลดอุณหภูมิลง ถนนดินแดงด้านหน้าคือทางเส้นเดียวที่เชื่อมต่อกับถนนเส้นทางสายหลัก ไม่มีรถรับจ้างวิ่งผ่าน หากหล่อนโดยสารรถรับจ้างเข้ามา อชิระเชื่อว่าหล่อนคงต้องเดินเท้าอีกหลายกิโลกว่าจะเจอรถยนต์สักคัน
“ไม่แน่ใจนะนาย” ช้างตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“เห้อ!! บอกป้าสายนะเอาข้าวใส่ปิ่นโตให้หน่อย กับข้าวอะไรก็ได้อย่างหรือสองอย่าง”
อชิระสั่งช้าง ซึ่งคนงานหนุ่มก็รับคำสั่งมาอย่างดีโดยไม่ได้ถามกลับ ร่างเล็กปราดเปรียววิ่งหายไปทางด้านหลัง และกลับมาพร้อมปิ่นโตเถาใหญ่ “วางไว้บนเบาะนั่นแหละ” อชิระบอก ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย