ตอนที่ 1.สาวโสภากับคนเถื่อนไร่ส้ม..
“นายๆ มีคนมาหานายที่บ้านแหนะครับ” ช้างเป็นหลายชายของเพิ่มกับสาย และกลายเป็นคนงานคนหนึ่งในสวนส้มอชิระแห่งนี้ตะโกนเรียก
อชิระเลิกหัวคิวขึ้นสูง “ใครวะ?”
เขาถามกลับไปทันที ห้าปีกับการเป็นชาวสวนชาวไร่ไม่เคยมีญาติคนไหนแวะเวียนมาหา
“ผมไม่รู้จักหรอกนาย หน้าไม่คุ้นเลย แต่ด่าเก่งฉิบหาย”
เรื่องคำพูดคำจาคนชนบท หยาบคายไม่น่าแปลก ถึงขนาดชาวบ้านพื้นที่ออกปาก เจ้าหล่อนคงฤทธิ์เยอะไม่ใช่เล่น
“สวยไหมวะ!” อชิระถามต่อ
“สวยครับนาย แต่ปากแบบนี้ ตีกะหรี่ดีกว่า พูดจิกหัว มองคนเหยียดๆ เอามาเป็นเมียปวดหัวตายห่า” ช้างวิจารณ์อาคันตุกะที่ถ่อสังขารมาหานายหนุ่มแบบไม่เหลือชิ้นดี
อชิระอมยิ้ม กระโจนขึ้นไปนั่งบนรถจี๊ฟ “จะปั่นจักรยานกลับเอง หรือจะกลับพร้อมกันเลยล่ะ”
ช้างไม่ได้ตอบ เขายกจักรยานขึ้นจากพื้น เดินมาเหวี่ยงไว้ท้ายรถจี๊ฟ และกระโจนขึ้นมานั่งที่ว่างด้านคนขับ
อชิระสตาร์ทรถยนต์ เขาเหยียบคันเร่งพารถยนต์คู่ชีพวิ่งฝ่าไอฝุ่นกลับเรือนไม้กลางไร่แบบไม่เร่งรีบ
ในที่สุดอชิระก็เดินทางกลับมาถึงบ้าน เขาจอดรถจี๊ฟไว้โคนต้นมะม่วง แล้วจึงกระโจนลงมายืนด้านข้าง ส่วนช้างก็สาละวนยกพาหนะคันเก่งของตนเองลงจากรถ เขาเดินเอื่อยๆ ตรงไปหากลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่หน้าลานบ้าน ชะเง้อคอมองที่กลางกลุ่มคน จุดศูนย์รวมสายตาทุกคู่
ผู้หญิงร่างเล็กผมยาวสลวยสีดำขลับ กับชุดเดรสผ้าลูกไม้สีขาวที่หล่อนสวมไว้บนร่างกายก็แตกต่างจากคนรอบตัวอย่างสุดขั้วอยู่แล้ว อชิระลดสายตาลงต่ำ เขามองปลีน่องสวยได้รูป ก่อนจะเลื่อนสายตาลงจนถึงรองเท้าส้นสูงสีแดงแปร๊ด ส้นรองเท้ายับเยินเอาการ มีดินเหนียวเกาะเกรอะกรัง เขาเผลอตัวหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เมื่อนึกถึงลักษณะการเดินของหล่อน กว่าจะมาถึงนี่ได้คงทุลักทุเลไม่น้อย
“โผล่หัวมาได้สักที นึกว่าต้องจุดธูปเรียก”
เสียงแหลมตวาดดังๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเขาเหมือนชิงชังนักหนา
“เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ?” ปลายนิ้วชี้ ชี้เข้าหาตัวพร้อมกับตั้งคำถาม
วิฬาเบ้ปาก ตวัดตาค้อนควัก “จำฉันไม่ได้สินะ อย่างว่าแหละ ทิวากรปลายแถวอย่างนายจะรู้จักฉันได้ยังไงละ” ขนาดคำตอบของหล่อน ยังแฝงไว้ด้วยความหมิ่นแคลน
“ผมเป็นคนความจำดี แต่ผู้หญิงสวยแต่ปากเหลือรับแบบนี้ ผมแน่ใจนะว่าไม่เคยเจอมาก่อนครับ”
อชิระกล่าวเสริม…สาวสวยขนาดนี้มีหรือเขาจะจำไม่ได้
สาวแปลกหน้าถอนใจเฮือก สีหน้าเหม็นเบื่อ เหมือนกำลังระอาเหลือใจ
“ฉันชื่อวิฬา” หล่อนแนะนำตัวสั้นๆ
“แล้วไงครับ?” อชิระถามต่อแบบไม่ใคร่ใส่ใจนัก
“เอะ!” เสียงหล่อนสะบัด ทันทีที่อชิระพูดจบ “ฉันมาเอาเงินที่นาย ยืมมา...อย่ามายึกยักกับฉันนะ ฉันจะรีบกลับบ้าน” หล่อนพูดรวดเดียวจบ
อชิระไหวไหล่ เขาถอดหมวกยกขึ้นกระพือตรงหน้า “ผมไม่เคยเป็นหนี้คุณ!” อชิระตอบเสียงแข็ง
เมื่อหล่อนจ้องมา เขาก็จ้องตอบ
“ใช่ นายไม่ได้เป็นหนี้ฉัน แต่พี่สาวนายเป็นลูกหนี้ฉัน”
“อ้าว…งั้นคุณก็ไปทวงเอากับคนที่เป็นลูกหนี้คุณสิครับ” อชิระพูดจบก็ตั้งท่าจะเดินหนี
ในเมื่ออรุณวตีเป็นคนสร้างหนี้ เป็นคนหยิบยืม แม่สาวคนนี้ก็ควรไปทวงคืนที่คนคนนั้น ไม่ใช่มายืนชี้หน้าทวงจากเขาที่ไม่เกี่ยวข้อง
วิฬาถอนใจแบบเอือมระอา “ก็พี่สาวนายให้ฉันมาเอาที่นายนี่ไง!”
อชิระหมุนตัวกลับมามอง “ทำไมผมต้องเป็นคนชดใช้ล่ะ ในเมื่อผมไม่เกี่ยว ผมไม่ได้ยืมเงินคุณมาสักบาทเดียว” ตามหลักความจริง เขาไม่ได้เป็นคนค้ำประกันให้อรุณวตี เรื่องนี้เขาไม่รู้ไม่เห็น ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องชดใช้
“ไอ้บ้า! คิดจะเบี้ยวกันหรือไงหะ”
วิฬาปรี๊ดแตก อารมณ์ที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมเพิ่มขึ้นนับสิบเท่า
“ผมไม่ได้เบี้ยว เพราะผมไม่ได้ยืมเงินคุณมาเลย” อชิระตอบเสียงสุภาพ เมื่ออีกฝ่ายกำลังฉุนเฉียว
“เอ้า! ดูให้หายโง่ซะ”
วิฬาเหวี่ยงกระดาษแผ่นหนึ่งใส่หน้าอชิระ พร้อมทั้งยิ้มเย้ย
อชิระพลิกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมามองใกล้ๆ ลายมือคุ้นตา เมื่อเป็นลายมือของอรุณวตีพี่สาวต่างแม่ของเขาเอง