บทที่ 6 ทดสอบความรู้สึกเหยื่อ/2
บรรยากาศเย็นเฉียบในรถสปอร์ตหรู...ที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูง ทำเอาคนนั่งข้างเงียบกริบจนแทบจะหยุดหายใจ
ความทรงพลังลุ่มลึกฉบับที่เธอเคยเห็น แทบจะไม่เหลือคราบคนเมื่อวาน...หรือว่าเขาแค่อยากจะแกล้งเธอเล่นเท่านั้น
แค่คิด...หัวตาของคนอ่อนไหวก็ปริ่มไปด้วยน้ำใสทันที
“ถ้าอาเตรีบ จอดแค่หน้าโรงเรียนก็ได้นะคะ...เดี๋ยวเปียเดินเข้าไปก็ได้” เธอเอ่ยทำลายความเงียบ เพื่อสร้างบรรยากาศช่วยเหลือจังหวะการหายใจให้ตัวเอง
หากแต่...คนขับรถที่กำลังจดจ่อกับท้องถนนกลับเปิดเพลงเสียงดังกลบขึ้นมาราวกับว่าไม่อยากจะได้ยินเสียงเธอเสียอย่างนั้น
“อาก็ไม่ได้จะเข้าไปจอดข้างในให้นี่” คำตอบที่เว้นระยะจากคำถามมาพอสมควร ทำเอาเธออยากจะกระโจนลงจากรถหรูให้รู้แล้ว รู้รอดไป
“ค่ะ” เธอตอบรับแบบอึดอัด กระชับกระเป๋านักเรียนบนตักสร้างความอบอุ่นให้กับตัวเอง
“ชอบของขวัญที่อาให้ไหม” เมื่อรถเคลื่อนมาจอดสนิทหน้าโรงเรียน...คำถามจากริมฝีปากหนัก ที่ยังคงความเรียบเฉย ทำเอาตุ๊กตาบลายธ์หน้ารถเม้มริมฝีปากแน่น
“ไม่ชอบค่ะ กลับบ้านไปจะเอาไปโยนทิ้งทั้งสูท ทั้งของขวัญเลย” คนน้ำตาพาลจะไหลว่าพร้อมเปิดประตูลงจากรถ
ปิดประตูเสียงดัง...พร้อมวิ่งเข้าโรงเรียนอย่างเร็วนั้น ทำเอาคนมองตามส่ายหน้า
การทดสอบความรู้สึกเด็กน้อยเล่นนี้ สนุกเกินกว่าที่คาดแฮะ
สมาธิที่แตะต้องแทบไม่ได้ตลอดทั้งวัน...จวบจนพลบค่ำก็มิอาจเรียกสติของเธอให้กลับมาได้
แววตาเมินเฉยที่มองมายังเธอตั้งแต่เช้า พร้อมคำพูดจาที่ไม่เข้าหูนัก...ทำเอาเธออยากจะเอาของที่เขาให้มาโยนทิ้งไปอย่างที่ปากพูดจริงๆ
“คนเย็นชา...คนใจร้าย” เธอว่าขณะที่ถือต่างหูทองคำขาวขนาดเล็กเอาไว้ในมือ
ต่างหูนี้เป็นของที่อยู่ในกล่องของขวัญขนาดเล็กในมือเขา ที่นำมามอบให้เธออย่างใจดีเมื่อวันนั้น
“หรือว่า...นั่นจะเป็นแค่ของขวัญที่อาเตอยากจะมอบให้เฉยๆ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร
เอ ก็ถูกต้องแล้วนี่ อาเตจะมารู้สึกอะไรกับหลานในนามแบบเราล่ะ บ้าจริง...คิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย” เธอบ่นอุบอิบกับตัวเอง
พร้อมเอาใบหน้าซุกลงบนหนังสือที่จะต้องอ่านสอบในวันพรุ่งนี้
“อ่านแบบนั้น...พรุ่งนี้จะสอบได้เหรอ” เสียงทุ้มกังวานเชิงเรียบเอ่ยมาจากข้างหลัง
ขณะที่เธอนั่งอยู่ในห้องสมุดของบ้าน คนตาโตรีบซ่อนของขวัญลงไปในกระเป๋ากางเกงทันที
“อาเตมีธุระอะไรกับเปียเหรอคะ?” เธอถามแบบไม่ยอมมองหน้า
“อามาเอาของอาคืน ยังไม่ได้ทิ้งไปอย่างที่ว่าใช่ไหม?” ความนิ่งสนิทหากแต่ทรงพลัง ในชุดลำลองด้วยเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงบอลสีน้ำเงินของเขานั้น
ทำเอาเธออยากจะหลับตาปี๋ใส่ กล้ามแน่นนั้นเผยให้เธอเห็นเป็นครั้งแรก หลังจากที่เธอแอบประเมินเล่นแบบซุกซนมาตลอด
“ทะ...ทิ้งไปแล้วค่ะ เปียไม่ได้เก็บไว้แล้ว” เธอรีบตอบเขาพร้อมกำของในกระเป๋ากางเกงแน่น
“แล้วถ้าอาหามันเจอล่ะ เปียจะว่ายังไง” ใบหน้าตื่นหันขวับขึ้นทันทีแบบไม่ได้ระมัดระวังการเข้ามาใกล้จนแทบแนบชิดของอาหนุ่ม
ศีรษะมนเล็กที่มีเส้นผมดำขลับสลวยชนเข้ากับจมูกโด่งเป็นสันอย่างช่วยไม่ได้ กลิ่นหอมอ่อนจากเรือนผมเด็กสาว
ทำเอาเสือกินเงียบแทบจะห้ามใจไม่ให้ตะปบเหยื่อเอาไว้ไม่อยู่
“ไม่เจอหรอกค่ะ เปียทิ้งไปแล้ว” เธอหดตัวลงทันทีเมื่อถูกสัมผัสใกล้ชิดจากคนที่ทำให้เธอหายใจไม่เคยเป็นจังหวะ
ยิ่งลมหายใจอุ่นของเขา...รินรดจนสัมผัสได้ก็ทำเอาเธอจะคลั่งตายอยู่แล้ว
“อย่าหัดเป็นเด็กเลี้ยงแกะ”เขาว่าพร้อมคว้าไปยังมือที่กำกระเป๋ากางเกงตัวเองแน่น
“อย่าค่ะอาเต” แล้วเขาก็รวบมือเด็กน้อยไว้จากทางด้านหลัง
ลำแขนแกร่งแน่นโอบกอดกายสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเอาไว้แบบพอเหมาะพอดี
แผงอกกว้างกระทบหลังเล็ก...จนหลังเล็กร้อนผ่าว สองมือบางที่ถูกรวบชาจนแทบไร้ความรู้สึก จมูกโด่งคมยังคงราดรดลมหายใจอุ่น
ใส่กลิ่นหอมอ่อนละมุนจากผมดกดำสลวย
“อย่าทิ้งมันเลยนะ อาตั้งใจซื้อให้” แล้วน้ำเสียงอบอุ่น..ที่อุ่นกว่าลมหายใจ ก็ทำเอาคนตัวเย็น...เย็นยิ่งขึ้นไปอีก
ร่างเล็กไร้เรี่ยวแรงต่อต้านอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดนั้น อ้อมกอดที่เธอเฝ้าฝันถึงมาตลอด
“อาเตใจร้าย” เธอว่าในขณะที่น้ำตาสองข้างเริ่มไหลหลั่งออกมาแบบไม่อาจทานทัด
“หือ...อาใจร้ายอะไร” เตชัสหันใบหน้าเปียกชื้นให้มาเผชิญหน้า
“อาทำเหมือนเกลียดเปีย” เธอตอบ ทั้งๆที่ยังก้มหน้างุดให้อยู่
“คิดมากน่า...ใครจะไปเกลียดหลานผู้น่ารักลง” เธอสะดุดน้ำตาเพียงครู่ เพียงเพราะเขาเอ่ยว่าเธอคือหลาน
“อาเตเห็นเปียเป็นหลานแล้วเหรอคะ”
“ทำไม...ไม่อยากเป็นหลานอาเหรอ” คนอยากจะหยั่งเชิงความรู้สึกเด็กในบ้าน ว่าด้วยความเจ้าเล่ห์ลุ่มลึก
“ไม่รู้สิคะ แต่ดีกว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย” คำตอบที่ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกของตนออกไปนั้น ทำเอาเตชัสยิ้มนัยหน้า ก่อนลูบศีรษะหลานในนามแบบปลอบโยน
“ตั้งใจอ่านหนังสือสอบล่ะ เข้าใจไหม” ถึงเขาอยากจะล้อเด็กเล่น แต่ก็ไม่อยากให้เสียการเรียนไปด้วย...จึงเสริมทับไว้อย่างจริงจัง
“ค่ะอาเต” คนเช็ดน้ำตาป้อย...มองเขาด้วยสายตาว่าง่าย เสือกินเงียบอย่างเตชัสแอบรู้สึกชื่นบานขึ้นมาทันใด ความหฤหรรษ์ใหม่ๆอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เองสินะ