ตอนที่9
“ใช่!! กูด่าพวกมึง มีอะไรไหม?”
เวงแล้วไง! ไอ้เอ็มก็ไม่ย่อยเหมือนกันลุกไปพร้อมกับพี่เอกยืนประจันกลุ่มพวกบ้าที่เข้ามาหาเรื่อง ใบหน้าแต่ละคนยียวนพร้อมจะไฝว้เต็มแก่ ส่วนชะนีอย่างพวกเราก็ลุกขึ้นยืนตาม คนในร้านเริ่มพากันหันมามอง เสียงดนตรีสดบนเวทีก็ค่อยๆเบาลงๆจนเงียบกริบไป แล้วตามด้วยเสียงฮือฮาของพวกลูกค้าคนอื่น เอาล่ะตอนนี้พวกเรากลายเป็นเป้าสายตาไปแล้ว
“พวกพี่อย่ามีเรื่องกันเลยครับ” เด็กเสิรฟ์ที่ยืนใกล้ที่สุด เข้ามายืนเก้ๆกังๆ พลางยกมือห้ามทั้งสองฝ่าย
“มึงอย่ามาเสือก!!” ไอ้คนที่ยืนตรงกลางดูเหมือนจะเป็นหัวโจกชี้หน้าด่าเด็กเสิร์ฟคนนั้น เขาก้าวถอยหลังแล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในร้าน ก็คงเข้าไปโทรเรียกตำรวจหรือไม่ก็บอกพนักงานคนอื่นนั่นแหละ
บรรยากาศตรงนี้ไม่ดีเอาสะเลย รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากพวกผู้ชายที่ยืนจ้องเขม็งกันอยู่ โดยเฉพาะไอ้เอ็ม ปกติหน้าตาก็ดูเถื่อนอยู่แล้วนะ แต่พอมันขึงตา ขบเม้มฟันแน่นก็ยิ่งทำให้น่ากลัวเข้าไปใหญ่ ราวกับหมีดำยืนสองขารอตะครุบเหยื่อยังไงยังงั้นแหละ มันน่ากลัวซะจนแฟนสาวกับหงส์ต่างพากันเดินหลบถอยห่าง ยืนจับมือตัวสั่นอยู่ไกลๆ ผิดกับฉันที่ยืนกอดอกที่เดิม ไม่แสดงความกลัวมาแม้แต่น้อย ถึงแม้ในใจจะสั่นจนเกือบจะเป็นลมก็ตาม
ทว่า!
“ไปเที่ยวกันต่อไหมคนสวย” ผู้ชายคนที่ชูแก้วน้ำเมื่อครู่หันมาถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เพื่อนมันอีกสองตัวก็หันมาส่งยิ้มให้ คนหนึ่งลูบมุมปากตัวเองใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ส่วนอีกคนที่เหมือนจะเป็นหัวโจกมองร่างสมส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกมันไม่ได้เกรงใจหรือกลัวผู้ชายที่มากับฉันเลย
“....”
“สองพันไหม? แลกกับไปเที่ยวกับพวกพี่” ไอ้หัวโจกเอ่ย ฉันยืนขบฟันกรอดๆ ใจเต้นตุบๆ เลือดสูบฉีดแล่นไปทั้งร่าง พ่นลมหายใจออกมาแรง เออ! ตอนนี้โกรธมาก...ไม่ใช่ว่าโกรธที่ถูกแซว แต่โกรธที่ค่าตัวฉันมีค่าแค่สองพัน
“หรือพันห้า?”
“กูว่าพันเดียวพอมั้ง ท่าทางจะไม่สดเท่าไหร่”
พวกมันกำลังหัวเราะเยาะในขณะที่ฉันกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม่ง! ไอ้พวกเวรนี่รนหาที่ตายซะแล้ว...
“หัวเราะหาพ่องมึงดิ!! ไอ้พวกหน้าปลาจวด!!” ฉันหมดความอดทน ด่าไปปุ๊บพวกมันหุบปากปั๊บต่างหันมองหน้ากัน
“อ้าวๆ หน้าปลาจวดเป็นแบบนี้เอง ฮ่าฮ่า” ไอ้เอ็มก็ผสมโรงด้วยนะ มันหัวเราะเสียงดัง พลางชี้หน้าพวกมันสามตัว พลอยให้ลูกค้าคนอื่นต่างหัวเราะตาม และนั่นก็ทำให้ทั้งสามตัวรู้สึกเสียหน้า ยืนขบฟันกรอดๆ แล้วหันมาขึงตาใส่ฉัน “อีเปรต!!”
“มึงสิเปรต ไอ้หน้าตัวเมีย!! หน้าhee ไอ้ชาติเปรต หน้าเหมือนแลนด์อย่างพวกมึงชาตินี้ก็ไม่มีใครเอา ไอ้หน้าหมายังทำตัวทุเรศ ออกจากร้านไปขอให้รถชนตายห่า ไอ้สัส!! ไอ้จรจัด!!”
เรื่องปากจัดปากไวขอให้บอก อีพะพิมจัดให้ค่ะ สบถด่ารัวๆ มันด่ามาคำเดียว ฉันสวนกลับจนพวกมันพูดต่อไม่ออก ทำเอาทุกคนต่างยืนนิ่งมองหน้ากันตาปริบๆ นี่ยังถือว่าด่าเบาะๆนะ จะให้ด่าสามวันสามคืนก็ยังได้
“หนอย!! อีอ้อร้อมึงกล้าว่ากู!!” หัวโจกชี้หน้าด่า ทำท่าทางจะก้าวเข้ามา และในตอนนั้น
หมับ!! แขนกำยำเข้ามาคล้องคอฉันโดยไม่ทันตั้งตัว พอชำเลืองมองเจ้าของแขนเท่านั้นแหละ ร่างกายที่คุกรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธ ตอนนี้กลายเป็นอึ้งแทน เพราะเจ้าของแขนคือพี่เอก เขามองฉันด้วยหางตา ก่อนจะตวัดกลับไปหาไอ้พวกเวงนั่น พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
“นี่เมียกู...พวกมึงมีอะไรไหม?”
ฉันเบิกตาโตกับคำพูดที่เขาเอ่ยออกไป มะ...เมียเหรอ? เมื่อไหร่? อะไรยังไง? ตอนไหน? ท่าไหน? แต่ถึงยังงั้นฉันก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะตอนนี้พี่เอกหรี่สายตาต่ำลง จ้องพวกมันด้วยแววตาจริงจัง ดูน่ากลัวยิ่งกว่าไอ้เอ็มสะอีก น่ากลัวซะจนทำให้ไอ้สามคนต่างทำตาเลิ่กลั่ก และบอกเลยว่าตอนนี้หัวใจฉันสั่นมาก...ไม่ใช่เพราะกลัวหรอก แต่สั่นเพราะแขนกำยำกอดแน่นขึ้น แถมยัง...ยังดึงตัวฉันให้ไปพิงกับอกแกร่ง ใกล้ซะจนได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆมาจากตัวเขา
ไอ้หัวโจกก็รีบเปลี่ยนสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะง้างกำปั้นขึ้น “หนอย!! มึง!!” และในตอนนั้นมีเสียงตะโกนมาจากในร้านพอดี “เฮ้ย!! ตำรวจมาแล้วเว้ย”
“มึง!! กูว่าพวกเรากลับกันก่อนดีกว่า”
“นั่นดิ อีนี่คงเป็นเมียมันจริงๆ พวกเราอย่าไปยุ่งดีกว่า”
“เออ!! กูไปก็ได้ อย่าให้กูเจอพวกมึงอีกล่ะ คราวหน้าไม่รอดแน่” ไอ้หัวโจกชี้หน้าพี่เอกกับไอ้เอ็มอย่างเอาเรื่อง แล้วเปลี่ยนเป็นยกนิ้วกลางใส่ ไอ้เอ็มสวนกลับโดยการแลบลิ้นปริ้นตา ส่วนพี่เอกใช้อีกมือชี้หน้าพวกมัน ก่อนจะทำท่าทางปาดคอตัวเอง แม่ง! โคตรเหี้ยม...โคตรน่ากลัว...โคตรเถื่อน แต่พอดูไปพร้อมๆกับใบหน้าหล่อๆแล้ว อื้ม~โคตรเท่ล่ะ!! โดยเฉพาะตอนนี้ที่ดวงตานิ่งๆกำลังเหลือบมองกันนิดๆ แม่จ้าว!! หัวใจฉันเต้นแรงมาก...เต้นแรงกว่าตอนถูกแขนกำยำคล้องคอซะอีก ใกล้กันขนาดนี้เขาต้องได้ยินเสียงหัวใจฉันเต้นบ้างล่ะ
ทว่า!!
“พี่เอก~ หงส์กลัวค่ะ”
เสียงมารผจญทำให้ระหว่างเราเป็นอันต้องดีดตัวห่างกันอัตโนมัติ นังดัดจริตคงเห็นว่าปลอดภัยแล้ว รีบเสนอมาควงแขนพี่เอกอย่างคุ้นชิน
“พี่เอกไม่เป็นไรใช่ไหม เมื่อกี้หงส์กลัวมากๆเลยค่ะ ใจหายใจคว่ำไปไหนต่อไหน พี่เอกปลอบหน่อยสิคะ” เจ้าตัวทำเสียงอย่างกับสัตว์ตัวเล็กๆ ทำหน้าแอ๊บแบ๊วแล้วซบออเซาะลงบนแขนกำยำ
ที่เมื่อกี้ละ...หนีหางจุกตูด พองี้ทำมาออเซาะ ชิ๊!! ไอ้พวกเวงนั่นน่าจะลากอีนี่ไปด้วยจะได้พ้นหูพ้นตา
เอาล่ะบรรยากาศกลับมาเงียบเหมือนเดิม ลูกค้าต่างพากันทยอยกลับไปนั่ง ฉันเองก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม เพราะไอ้สองคู่รักกำลังยืนคลอเคลียกันอยู่ ทำอย่างกับฉันเป็นอากาศธาตุ ก็เลยเป็นคนแรกที่จ้ำอ้าวออกมาจากตรงไหน เดินกลับมาที่รถ มีเสียงตะโกนตามมาจากด้านหลัง ฉันไม่ค่อยได้ยินหรอก เพราะเสียงดนตรีสดกำลังเล่นต่อ แต่พอกำลังจะเปิดประตูรถเท่านั้นแหละ
หมับ! มีมือหนามาคว้าแขนฉันไว้ซะก่อน ไอ้เราก็กำลังหงุดหงิดอยู่นะ เลยหันไปตวาดใส่มัน “มาจับแขนกูหา!!..”
“พ่อมึงเหรอ?” ไอ้สามคำหลังเสียงก็ค่อยๆหายเข้าไปในลำคอ แล้วกลืนน้ำลายฝืดๆลงคอ
“พูดดีๆ” เสียงเรียบก็จริง แต่กำลังทำหน้าดุใส่อยู่ต่างหาก ไอ้เราก็เงียบปากซะสนิทก็เพราะนั่นเป็นพี่เอก
“จะไปไหน?”
“กลับบ้านอะสิ จะอยู่ทำไม”
“แต่ยังไม่จ่ายเงิน”
“ก็จ่ายไปสิ อยู่กันตั้งเยอะแยะ คนอุตส่าห์ขับรถมาให้แล้ว อย่าบอกอีกนะว่าต้องจ่ายให้”
“เปล่า”
“งั้นก็ปล่อย!!” ฉันสะบัดแขนออก แต่มือหนากับกำแขนฉันไว้แรงกว่าเดิม แถมบีบสะเจ็บจนฉันต้องร้องโอ๊ย เขาถึงยอมผ่อนแรงลง
“เดินมาคนเดียว ถ้าเจอพวกนั้นอีกจะทำไง”
“ก็สู้มันดิ ถามแปลก”
“เป็นผู้หญิงจะสู้แรงผู้ชายได้เหรอ?” เจ้าตัวไม่เอ่ยเปล่า กลับผลักฉันกระแทกเข้ากับรถ แล้วใช้อีกมือค้ำไว้กับขอบรถอยู่ในระดับหน้าอกฉันพอดี
“สะ...สู้ได้อยู่แล้ว” ฉันไม่กล้าสบตาเขา เพราะระยะห่างพวกเรามันใกล้กันเกินไป ใกล้กันซะจนฉันรู้ว่าความสูงตัวเอง อยู่ระดับปลายคางเขาพอดี
“ที่พวกมันหาเรื่องเพราะไม่ใช่แต่งตัวแบบนี้หรือไง” สายตานิ่งก้มมองต่ำ ไอ้เราก็มองตาม เชี้ย!! สายตานิ่งกำลังมองร่องนมอยู่ มือเลยยกปิดหน้าอกตัวเองอัตโนมัติ ตอนแรกที่แต่งมาแบบนี้ก็เพื่อมาโชว์ แต่พอถูกเขามองจังๆ มันก็รู้สึกมียางอายขึ้นมา
“เป็นไง? ถูกมองแค่นี้ทำเป็นอายเหรอ?”
“....” ฉันเถียงไม่ออก หน้าร้อนผ่าวเพราะเขิน ไม่กล้าสบตากับเขาหรอก ต้องเบือนแสร้งมองไปทางอื่นแทน ไอ้หล่อก็เหมือนจะแกล้งฉันพอใจแล้ว เขาก็ยอมที่จะเดินถอยห่างออกไป ฉันถึงกลับถอนหายใจแรงเพราะบรรยากาศอึดอัดกลับมาปลอดโปร่ง
“ไม่ต้องขอบใจหรอก” จู่ๆเขาก็เอ่ยน้ำเสียงประชดออกมา
“เรื่อง?”
“ที่เข้าไปช่วย”
ตอนไหนวะ? ฉันเลิกคิ้วสูงเป็นนัยถามเขาว่าเรื่องอะไร แต่เขาไม่ยักจะตอบ เดินอ้อมหน้ารถกลับไปยังฝั่งข้างคนขับ และในตอนนั้นก็ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ อ๋อ! เขาคงจะหมายถึงเรื่องที่เข้ามาบอกว่า ‘เป็นเมีย’ อะนะ จริงๆไม่จำเป็นต้องพูดขนาดนั้นก็ได้ ไอ้พวกนั้นก็คงไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก ให้ตาย!! ในเมื่อมาประชดสะขนาดนั้น ถ้าฉันไม่พูดออกไป เขาคงอกแตกตายแน่ๆ เอาวะ!!
“ขอบคุณมากนะที่เข้ามาช่วย”
ฉันเอ่ยเสียงดังในขณะที่เขากำลังจะโน้มตัวเข้าไปในรถ มีแวบหนึ่งภายใต้ไฟสลัวจากเสาไฟฟ้า ฉันเห็นมุมปากแสยะขึ้น แต่พอกระพริบตาอีกทีใบหน้าหล่อกลับเป็นนิ่งเหมือนเดิม เอ๊ะ! หรือว่าฉันตาฝาด ใช่แหละๆ คงตาฝาดจริงๆ เพราะตาบ้านี่คงไม่มีวันยิ้มหรอก...
