ตอนที่ 5 แมวขโมย
เช้าวันใหม่ อัครภพรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอมองไปเห็นว่ามีหญิงสาวนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างกาย หว่างคิ้วเข้มพลันบีบเข้าหากันแน่น เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นใบหน้าสับสนมึนงงก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาดังเดิม สงบนิ่งจนดูเหมือนไร้อารมณ์ ช่วงขายาวราวกับนายแบบก้าวลงมาจากเตียง ไม่รอให้อีกฝ่ายตื่น อัครภพก็ทำเพียงรูดซิบกางเกงให้เรียบร้อย จากนั้นล้วงการ์ดสี่เหลี่ยมสีดำออกมาจากกระเป๋าเงิน วางไว้เพื่อชำระค่าบริการเธอที่โต๊ะข้างหัวเตียง
เขาเย็นชาถึงขั้นที่ว่าไม่แม้แต่จะมองหน้าของผู้หญิงที่ตนเสพสม ไม่อยากทราบว่าเธอเป็นใคร ไม่สนใจใคร่รู้สักนิด
ตอนที่พชิราได้สติลืมตาตื่น เขาก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว จากไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ทิ้งข้อความไว้สักอย่าง เดิมเพราะยังมีภาพจำของชายหนุ่มผู้อ่อนโยนนุ่มนวลอยู่ในใจ พชิราจึงคาดหวังว่าฟื้นมาแล้วจะได้คุยกับเขา บางทีอาจได้รับคำขอโทษจากการกระทำที่ป่าเถื่อนคลุ้มคลั่งเมื่อคืนบ้าง แต่นี่...อัครภพทิ้งกันง่ายๆ อย่างนี้เลย
หญิงสาวลุกไม่ไหว เหนื่อยล้าจนฟุบลงนอนอีกรอบ “เมื่อคืนทำกันขนาดนั้นแท้ๆ อย่างน้อยก็น่าจะทิ้งข้อความไว้”
เวลาเดียวกันที่โรงพยาบาล ใครบางคนกำลังถูกคิดบัญชีอยู่ อัครภพมาทำงานตรงตามเวลาเช่นเคย ที่ต่างออกไปคือวันนี้เขายังไม่เริ่มตรวจคนไข้ทันที ร่างที่แผ่ซ่านไปด้วยเงาดำทะมึนนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ด้านหน้ามีอิทธิพลที่กำลังยืนตัวตรงแน่ว แววตาวาวใสซึ่งมักจะร่าเริงซุกซนเริ่มอยู่ไม่สุข เขามองพี่ชายอย่างหวั่นใจ คิดหนักว่าอีกเดี๋ยวถ้าพี่โมโหขึ้นมา ตัวเองจะหลบหรือวิ่งหนียังไงดี
“พะ…พี่ใจเย็นๆ นะ ผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” พี่ชายยังมองมา อิทธิพลพลันร้อนรนจนเหงื่อซึม จึงยิ้มเผล่โง่เง่าหลบสายตาของพี่ชาย จะฆ่าจะแกงกันก็ทำเลยเถอะ หรือไม่ก็ด่ามา ไม่ใช่เงียบแบบนี้ เขากลัวที่สุดคือตอนพี่ชายไม่พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านอยู่ฝ่ายเดียวมันทรมานมาก นี่สงครามจิตวิทยาชัดๆ
“พี่อัค ผมน้องพี่นะ น้องรักของพี่ไง”
“เมื่อวานใส่อะไรลงไปในเหล้า”
“ผมไม่ได้ใส่อะไร ผม…” ถ้าไม่อยากตายให้โกหกไว้ก่อน แต่กับอัครภพเหมือนวิธีนี้จะไม่ได้ผล กลับกัน สายตาหนาวเย็นที่มองมานั้น เหมือนต้องการสื่อว่า ถ้าอยากตายอนาถกว่าเดิมก็โกหกต่อไป อิทธิพลเช็ดเหงื่อ จากนั้นกะพริบตาปริบๆ เขาถูมือไปพลางตัดสินใจสารภาพเพื่อรักษาชีวิตน้อย ๆ ของตนเอง
“ไม่ใช่แค่ผม ผมหมายถึงเรื่องเมื่อวานไม่ใช่แค่ผมที่ทำ พ่อกับแม่ก็มีส่วนด้วย พวกท่านกลัวว่าพี่จะทำแต่งาน ใกล้สามสิบเข้าไปทุกทีแล้วพี่ยังไม่เคยคบผู้หญิงสักคน บริสุทธิ์สะอาดเอี่ยมเกินไป ก็พากันกังวลว่าที่พี่ไม่เสเพลเหมือนผม อาจเพราะ เอ่อ…” ประโยคนี้ถึงตาย เขาไม่กล้าพูดจริงๆ
“เพราะอะไร…ยังไม่รีบพูดให้จบ”
“เพราะนกเขาพี่อาจจะไม่ขันหรือเปล่า พวกท่านให้ผมช่วยพิสูจน์ ผมก็เลยจัดเด็กให้พี่เมื่อคืนไง” หลังจากประเคนสาวให้พี่ชายภายใต้ฤทธิ์ยา อิทธิพลรออยู่หน้าห้องเพื่อแอบฟังพักใหญ่ ก็พอจะเดาได้ว่านกเขาขันแน่นอน สาวสวยในห้องร้องซะเหมือนหมูถูกเชือดขนาดนั้น
“แฮะๆ คนนี้เป็นดาราที่กำลังดังเลยนะพี่ ผมเลือกอย่างดี พี่น่าจะพอใจ…ใช่ไหมครับ”
หน้าตาเย็นชาของอัครภพไม่มีจุดไหนบ่งบอกว่าพอใจ เขาเป็นพวกไม่ชอบแตะต้องตัวคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งทำกับผู้หญิงแปลกหน้าภายใต้ฤทธิ์ยา ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ เมื่อคืนเป็นประสบการณ์เซ็กซ์ที่ใช้ได้ ทว่าเขาไม่อยากนึกถึงอีก
“ปัญหาโครงการประมูลถนนทำเอาเอง ไม่ช่วย แล้วก็ไปจัดการผู้หญิงคนนั้นให้ดี อย่าให้มาวุ่นวายกับฉัน”
“โธ่พี่! ผมขอโทษผมผิดไปแล้ว พี่…พี่อย่าทอดทิ้งผมเลย โครงการนั้นถ้าบริษัทเราไม่ได้จะตกไปเป็นของคู่แข่งนะ”
“เรื่องของแก ไปซะตอนที่ฉันยังดีๆ อยู่”
อิทธิพลหน้าหงอแอบร้องไห้ในใจไปหลายตลบ เขาตกที่นั่งลำบากเพราะพ่อกับแม่รบเร้าแท้ๆ แต่ถ้าไม่ช่วยพิสูจน์เดี๋ยวหวยแต่งงานมาออกที่ตัวเอง แบบนั้นจะยิ่งซวยไปใหญ่ พี่ชายตัดหางปล่อยวัดแค่นี้ยังนับว่าใจดีกับเขาแล้ว
กลับมาที่คฤหาสน์ใหญ่ อิทธิพลใบหน้าดำคล้ำ พึ่งนั่งลงก็ต้องมาตอบคำถามของผู้เป็นแม่ ยังไม่ได้พักสักนิดสภาพจึงย่ำแย่ถึงขีดสุด
“ว่ายังไงเจ้าอิท” คุณหญิงศรินผู้เป็นมารดาถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ได้ยินว่าเมื่อคืนลูกชายคนโตก็ไปงานเลี้ยงด้วย
“พี่เขาปกติดีครับ เมื่อคืนผมจัดสาวให้พี่อัคไปพิสูจน์มาแล้ว”
“ห๊ะ! ว่ายังไงนะ สาวที่ไหน ใครกัน ชื่อเสียงเป็นยังไง ลูกเต้าเหล่าใคร หน้าตาดีไหม”
“พราวฝัน ดาราที่กำลังรุ่งช่วงนี้ครับ นอกนั้นผมไม่รู้แต่สวยใช้ได้” เขาตอบอย่างเหนื่อย ๆ
“ก่อนศัลยกรรมล่ะ”
“จัดว่าน่ารักอยู่ครับ แต่ทำแล้วสวยขึ้นเยอะ”
ในวงการบันเทิงไม่แปลกที่นักแสดงจะไปเติมนั่นเติมนี่กับหมอ เพราะต้องใช้หน้าตาหากิน แต่คุณหญิงศรินค่อนข้างหัวโบราณ อย่างน้อยเพื่อไม่ส่งต่อยีนส์ด้อยให้หลานของตน ลูกสะใภ้จำเป็นต้องมีหน้าตาที่โดดเด่นสักหน่อย
“อีกเรื่องนะครับ” อิทธิพลลดเสียงลง ราวกับเรื่องที่จะเล่าต่อไปสำคัญมาก “พี่เขาไม่ได้ป้องกัน พึ่งสั่งให้ผมไปเคลียร์ปัญหาให้”
“ไม่ได้ป้องกัน งั้นอีกเดี๋ยวก็ท้องน่ะสิ”
“แม่ใจเย็น ไม่ได้ติดกันง่ายขนาดนั้นนะ”
คุณหญิงศรินไม่ฟังคำพูดสุดท้ายของลูกชาย เพียงสนใจหลานตัวน้อยๆ ขาวนิ่มที่กำลังจะมาเกิดมากกว่า ตนกับสามีแต่งงานกันตอนอายุเยอะแล้ว กว่าจะเลี้ยงลูกจนโต อายุก็ปาไปเกือบขึ้นเลขหก พอถึงวัยทำงานต่างคนต่างก็ออกไปมีบ้านอยู่ข้างนอก สองคนแก่เหงาจับใจหวังว่าจะได้เลี้ยงหลานสักคนสองคนก่อนตาย หากแต่ลูกชายไม่มีใครยอมแต่งเมียทำให้สมปรารถนาเลย คนโตก็เอาแต่ทำงานงกๆ คนรองก็รักสนุกเจ้าชู้ไปเรื่อย เป็นแบบนี้ต่อไปคงตายก่อนแน่
โชคดีที่ประจวบเหมาะโอกาสมาถึง แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง
หลังจากนั้นหนึ่งวันก็มีข่าวลือสะพัด เรื่องที่นางเอกดาวรุ่งถูกครอบครัวมหาเศรษฐีหมายตาจนต้องเรียกไปดูตัวกะทันหัน วงในประโคมข่าวกันมาสักพักแล้ว เกี่ยวกับเรื่องที่นายท่านกับนายหญิงใหญ่ตระกูลธาดากีรติ กำลังมองหาลูกสะใภ้ให้ลูกชายคนโต ยังลืออีกว่า เมื่อสองวันก่อนที่คลับอีสเทิร์น พราวฝันกับอัครภพออกไปจากงานด้วยกัน สองคนนี้อาจจะรู้จักกันนานแล้ว พอหน้าที่การงานของพราวฝันก้าวหน้า ครอบครัวฝ่ายชายจึงยอมรับจนถึงขั้นจะจัดงานวิวาห์ให้
พชิราที่นอนป่วยเดินแทบไม่ได้หลังร่วมรักกับเขา พออ่านข่าวนี้เข้าไปสีหน้าก็เดือดขึ้นมาทันที คืนนั้นเป็นเธอชัดๆ ยัยพราวฝันกล้ามากนะที่มาสวมรอยหน้าตาเฉย พอกดอ่านบทสัมภาษณ์ที่พราวฝันพึ่งตอบคำถามสื่อ พชิราก็ยิ่งโมโหจนควันออกหู คนเรานี่มันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ตีมึนเสแสร้งเกินไปแล้ว
“เฮอะๆ ยัยพราวฝัน ฉันคงยอมให้เธอแตะพี่อัคของฉันหรอก”
ใช้เวลาแต่งตัวไม่นานพชิราก็ขับรถกลับมาถึงบ้าน เวลานี้พลบค่ำ พ่อกับแม่จึงอยู่พร้อมหน้ากันทั้งคู่ พอครอบครัวเจอกัน สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือบ่น โดยเฉพาะมารดาของพชิรา บ่นเรื่องเดิมไม่หยุดเลยหลังจากเธอเข้าวงการบันเทิง ส่วนพ่อยังยุ่งอยู่กับงานเหมือนเคยแล้วก็แอบอ้อมแอ้มตะล่อมกล่อมให้พชิรามาช่วยดูแลบริษัท ลูกสาวสองคนไม่มีใครสนใจกิจการครอบครัวแม้แต่คนเดียว พี่ก็หนีไปเรียนหมอ น้องก็เป็นนักแสดง อยากปลดเกษียณตัวเองเต็มแก่แต่ก็ทำไม่ได้
“เรานี่มันยังไงนะยัยพีม เพลาๆ เรื่องผู้ชายหน่อย มันเสียภาพลักษณ์รู้ไหม” พัชรีตักกับข้าวใส่จานให้ไปพลางตักเตือน
“ค่ะแม่ ต่อไปนี้ไม่มีเรื่องแบบนั้นอีกแล้วค่ะ เพราะพีมจะไม่คบคนสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว”
“ให้มันได้อย่างที่พูด กินเยอะๆ หน่อย ทำไมผอมลงอีกแล้ว คุมน้ำหนักได้แต่ต้องสุขภาพดีด้วย”
“ค่ะแม่ขา ลูกสาวแม่กินเยอะอยู่แล้วแต่มันไม่อ้วนไง พ่อคะเรื่องละครใหม่ของทางช่อง หนูไม่เอายัยพราวฝัน”
ผู้เป็นพ่อมองลูกสาว ถามขึ้นว่า “นึกอยากเอาก็เอา นึกไม่อยากเอาก็บอกกันปุบปับ ไม่ได้ๆ พ่อบอกนักลงทุนคนอื่นแล้ว ยิ่งพอมีข่าวว่าดาราคนนั้นกำลังจะได้เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของตระกูลธาดากีรติ ยิ่งมีแต่จะดี ตอนนี้พราวฝันที่ว่านั่นเนื้อหอมมีแต่คนแย่งประจบเอาใจ พวกเราปล่อยไปก็เสียโอกาสสิ”
พชิราหน้างอ ไม่ชอบที่พ่อกับคนอื่นๆเกรงอกเกรงใจยัยแมวขโมย “หนูไม่เอา”
“เอ๊ะ! เจ้าลูกคนนี้ อย่าเอาแต่ใจตอนนี้ได้ไหม อีกฝ่ายเป็นตระกูลธาดากีรตินะ ไม่ใช่ลูกชายนักการเมืองที่นึกอยากจะเล่นก็เล่นด้วยได้”
“หนูต่างหากว่าที่เมียพี่อัค” จากนั้นพชิราก็เล่าเหตุการณ์เป็นฉากๆ เฉลยให้พ่อกับแม่ฟังว่าคืนนั้นลูกสาวของพวกท่านนั่นแหละที่นอนค้างสองต่อสองอยู่กับลูกชายคนโตของตระกูลธาดากีรติ แถมยังโชว์ร่องรอยรักที่คอยืนยันเป็นหลักฐาน เล่นเอาโต๊ะอาหารวันนั้นเงียบกริบไม่มีเสียง
“พ่อกับแม่ไปคุยให้หนูเลยนะ ยัยแมวขโมยสวมรอยเป็นหนูชัดๆ ถ้าพี่อัคจะรับผิดชอบ คนๆ นั้นคือหนู”
พ่อกับแม่มองหน้ากัน คนหนึ่งคิ้วกระตุก อีกคนอ้าปากเหวอ หลังเรียกสติกลับมาได้ทั้งคู่ก็คลึงขมับหนักหน่วง
ข่าวกับแฟนเก่ายังไม่จาง นี่ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน
ถึงกับ…ได้ลูกชายคนโตของตระกูลธาดากีรติ
ลูกสาวคนนี้ทำให้คนแก่ปวดหัวที่สุดแล้ว