14 ผลงานชิ้นสุดท้าย
“พี่ซันครับ”
“ว่าไง” เสียงของเด็กหนุ่มทำให้อคิราห์ออกจากภวังค์
“ช่วยผมเลือกได้ไหม” เขาชูรองเท้ากีฬามือข้างหนึ่งถือรองเท้าดำพื้นขาว ส่วนอีกข้างสีเทา
“ถ้าให้พี่เลือกพี่จะเอาสีอะไรครับ”
“สีเทา”
“ทำไมครับ สีดำก็สวยนะ” ไทธัชนั้นชอบทั้งสองสีแต่พอเขาบอกว่าสีเทาสวยเจ้าตัวเลยคิดว่าสีดำก็สวยเหมือนกัน
“งั้นก็เอาสีที่นายชอบ”
เด็กหนุ่มมองรองเท้าในมือทั้งสองข้างสลับไปมา เพราะรู้ว่าราคามันแพงและคงไม่มีโอกาสเลือกซื้อให้ตัวเองแน่ ๆ เขาเลยตัดสินใจค่อนข้างยาก
“น้องครับเอาสองคู่เลยครับ” อคิราห์พูดตัดบทแล้วส่งเครดิตการ์ดให้กับพนักงานซึ่งรับไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม เพราะลูกค้าตัดสินใจเลือกรองเท้าทั้งสองคู่ ราคารวมกันแล้วก็เกือบจะหนึ่งหมื่นบาท
“เดี๋ยว ๆ ผมเอาสีดำครับ” เพราะไม่อยากให้อคิราห์ต้องเสียเงินมากเกินไป เด็กหนุ่มจึงรีบบอกพนักงานอย่างรวดเร็ว
“ได้ค่ะ” พนักงานหันมายิ้มกับรู้สึกขำกับท่าทางของเด็กหนุ่ม
“น้องครับ เอาสีดำเบอร์ 43 ให้พี่คู่หนึ่งครับ” อคิราห์บอกพนักงาน
“พี่ก็จะซื้อเหรอครับ”
“อือ พี่เล็งสีดำไว้แล้ว”
“อ้อ”
ได้รองเท้าคนละหนึ่งคู่ กางเกงและเสื้อกีฬาอีกคนละสองชุด จากนั้นก็มานั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีสาขาไปทั่วทั้งประเทศ
“ปกติแล้ววันหยุดวัยรุ่นเขาทำอะไรกัน” อคิราห์ชวนคุย
“เพื่อนผมส่วนใหญ่ก็จะเล่นเกมอยู่บ้าน บางคนก็ออกเดินเล่นดูอะไรไปเรื่อย บางคนก็ไปเรียนพิเศษ ส่วนคนที่มีแฟนก็มาเดินเที่ยวหรือไม่ก็ดูหนังกับแฟน แล้วตอนพี่เป็นวัยรุ่นล่ะพี่ทำอะไรบ้าง
“อันนี้ถามพี่หรือหลอกด่าว่าแก่”
“พี่หมอซันครับ ผมแค่ถาม ผมไม่เคยพูดว่าพี่แก่ มีพี่นั่นแหละร้อนตัวไปเอง”
“งั้นก็แล้วไป ตอนพี่เป็นวัยรุ่นไม่ค่อยมีเวลาออกมาเที่ยวหรอก ตอน ม.ปลายก็ต้องเรียนพิเศษช่วงวันหยุด พอเข้าปีหนึ่งก็ดีหน่อยได้มีเวลาเฮฮากับเพื่อน ๆ แต่หลังจากนั้นก็ใช้เวลาไปกับการ เรียน”
“แล้วหลังเรียนจบล่ะครับ”
“ก็ทำงานใช้ทุน พี่ไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัดมาสองปีจากนั้นก็มาเรียนเฉพาะทาง”
“ทำไมถึงอยากเรียนหมอครับ”
“ให้ตอบแบบพระเอกในละครไหม”
“เอาความจริงสิครับ”
“ตอนนั้นไม่รู้จะเรียนอะไร แต่เพื่อน ๆ ในกลุ่มมันชวนมาเรียนไอ้เราก็เชื่อคนง่ายสุดท้ายก็เลยมาเป็นหมอนี่ไง” อันที่จริงเขาอยากเป็นหมอเหมือนบิดาแต่ไม่อยากยอมรับเพราะบิดากับมารดาของเขาหย่าขาดกันไปแล้ว
“เขาว่าสอบเข้ายากมาก”
“ไม่มีอะไรยากหรอก มันมีแค่เรารู้กับเราไม่รู้ ถ้าเราทำแบบฝึกหัดเยอะ ทำข้อสอบเก่า ๆ เยอะหรือข้อสอบที่ยาก ๆ เวลาเรามาเจอข้อสอบจริงมันก็เหมือนว่าคุ้นเคยกันมันมาก่อน แต่ที่ยากคือจะเรียนยังไงให้จบมากกว่า มีเพื่อนพี่หลายคนที่เรียนไม่จบแล้วต้องไปเรียนคณะอื่นกับรุ่นน้อง”
“พี่ซันเก่งมากนะครับที่เรียนจบ”
“พี่เคยบอกแล้วนี่ว่าพี่ไม่เก่ง แต่อาศัยว่าขยัน นายก็เหมือนกันอย่ากลัวคนที่เขาเรียนเก่ง แต่ให้กลัวคนที่เขาขยัน”
“ผมจะพยายามขยันให้มากขึ้น ผมอยากให้แม่กับยายภูมิใจ”
“อือ นายคิดถูกแล้ว แต่ว่านายลืมพี่ไปอีกคนหรือเปล่า”
“ผมจะลืมพี่ซันได้ยังไง ถ้าไม่มีพี่บางทีวันนี้ก็อาจไม่มีผม”
“ถ้าในอนาคตนายได้ดีแล้วก็อย่าลืมพี่”
“ใครจะลืมได้ลง ทั้งหล่อทั้งใจดี สายเปย์แบบนี้ ผมเปลี่ยนใจไม่เรียนแต่ทำหน้าที่เป็นเบ้พี่ซันดีไหม”
“เอาสิ”
“ผมพูดเล่นใครจะทำอย่างนั้น ว่าแต่พี่ซันเถอะอีกหน่อยแต่งงานมีลูกแล้วก็อย่าลืมผม”
“อือ ยังไม่ก็ไม่ลืมหรอกน่า หน้าตาน่ารักน่าเลี้ยงแบบนี้”
“พี่ผมคนนะไม่ใช่แมว”
“อ้าวแมวหรอกเหรอพี่นึกว่าไอ้ตัวที่มันเห่าบ๊อก ๆ เสียอีก”
“ผมไม่คุยกับพี่ละ กินดีกว่า” ไทธัชใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาสีส้มจิ้มกับโชยุก่อนจะส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
ออกจากศูนย์การค้ามาได้เพียงนิดเสียงโทรศัพท์ของอคิราห์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มคิดว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลโทรตามเลยกดรับทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดูว่าใครโทรมา
แล้วสีหน้าเขาก็เครียดขึ้นหลังจากรับสาย
“ไท พี่ต้องกลับไปทำธุระที่บ้าน” เขาหันมาบอกคนน้องที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับ
“จอดข้างหน้าก็ได้เดี๋ยวผมหาทางกลับเอง”
“พี่ไม่ได้บอกว่าจะให้นายกลับสักหน่อย แค่จะบอกว่าเราจะที่ไปบ้านกันก่อน”
“ผมว่าพี่ไปทำธุระ ให้ผมไปด้วยมันจะรบกวนหรือเปล่า บางทีที่บ้านพี่อาจมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุย”
“พี่อยากให้นายไปด้วย”
อคิราห์บอกก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางและความเร็วของรถเพื่อตรงไปยังบ้านของมารดา คุณหมอหนุ่มให้ไทธัชมาด้วยเพราะเขาไม่ค่อยชอบพ่อเลี้ยงของตัวเองเท่าไหร่
รถคันหรูแล่นมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ รอบ ๆ บริเวณบ้านกว้างขวางและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้หลากชนิด บรรยากาศสดชื่นกว่าบ้านในกรุงเทพโดยทั่ว ๆ ไป
“ไท ไปเจอแม่พี่ก่อน”
“ครับพี่”
อคิราห์เดินนำเด็กหนุ่มเข้ามาในบ้าน เขาเห็นมารดากับแขกคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มยกมือไหว้ จากนั้นก็แนะนำมารดาให้รู้จักกับไทธัช เขาบอกแค่เพียงว่าไทธัชเป็นน้องชายคนหนึ่งที่เขาสนิทด้วย
ส่วนผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ก่อนนั้นบอกว่าตัวเองมีเรื่องบางอย่างที่จะคุยกับเขาและมารดาเกี่ยวกับอคินทร์
“ซัน แม่มีเรื่องจะปรึกษา” คุณอรณี มองมาทางไทธัช เธอคิดว่าไม่ควรให้คนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย
“พูดมาเลยครับแม่ ผมรอฟังอยู่ มันคงไม่ใช่ความลับอะไรใช่ไหม”
“เรื่องของน้อง” เธอหันมามองไทธัชอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาไม่ควรจะนั่งอยู่ในห้องนี้
“พี่ซัน ผมไปรอข้างนอกนะครับ”
“ไม่เป็นไร นั่งตรงนี้แหละ เรื่องของคิวนายก็รู้หมดแล้วนี่”
เมื่อได้ยินลูกชายคนโตพูดแบบนั้นอรณีก็เลยต้องยอมให้ไทธัชฟังเรื่องที่เธอและผู้ชายแปลกหน้าคนนี้จะคุยกัน
ชายแปลกหน้าแนะนำตัวเองอีกครั้งว่าเขาชื่อธีรธรเป็นนักเขียนซึ่งก่อนหน้านั้นได้จ้างให้อคินทร์วาดปกนิยายและอิมเอจตัวละครให้ เขาทำงานร่วมกับอคินทร์มาได้เกือบปีแล้ว
ผลงานล่าสุดที่จ้างอคินทร์นั้นเด็กหนุ่มยังทำงานไม่เสร็จก็เสียชีวิตลองก่อน ธีรธรจึงต้องหาคนทำงานต่อ
ตอนแรกคนที่ติดต่อไปก็ตกลงรับงาน แต่มีข้อแม้ว่าผลงานนั้นจะต้องเป็นชื่อของตัวเอง ธีรธรคิดว่ามันไม่เหมาะสมเพราะคนที่เริ่มงามถึง 60 เปอร์เซ็นต์คือของอคินทร์ เขาติดต่อนักวาดไปหลายคนแต่ก็ไม่มีใครยอมทำโดยใช้ชื่อของอคินทร์เลย
สุดท้ายเขาก็เลยต้องมาขออนุญาตครอบครัวของเด็กหนุ่มผู้ล่วงลับ แต่คุณอรณีเองก็ไม่ยอม เธออยากให้ผลงานเป็นชื่อลูกชายของตัวเอง ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะจากไปแล้วก็ตาม
“ฉันอยากให้ผลงานเป็นชื่อคิว อย่างน้อยนี่ก็เป็นงานสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลย”
“จริง ๆ แล้วนักวาดแต่ละคนก็มีลายเส้นไม่เหมือนกัน คนที่ลายเส้นเหมือนน้องคิวต่างก็ปฏิเสธกันหมด ผมก็จนใจจริง ๆ ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณไปหาคนอื่นวาดให้ใหม่เลยไหม งานที่น้องชายผมรับไว้ผมจะจ่ายค่าเสียหายให้เอง”
“ผมก็คงต้องทำอย่างนั้นถ้าหาคนวาดต่อไม่ได้จริง ๆ แต่ก็แอบเสียดายเพราะงานของคิวถูกใจผมมาก เขาวาดให้ผมมาหลายเรื่องแล้ว”
ไทธัชเคยเห็นอคินทร์วาดอยู่ในไอแพดตอนคาบว่างอยู่หลายครั้ง เขายังเคยปรึกษาเรื่องรับงานวาดปกนิยายกับเพื่อนร่วมห้อง แต่เพราะตัวเองไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้รับงานอย่างจริงจัง ครั้งสุดท้ายที่วาดปกไปก็ตั้งแต่ต้นปี
“ให้ผมลองวาดต่อให้ไหม ลายเส้นอาจไม่เหมือนแต่ถ้ามีงานเก่า ๆ ให้ศึกษาผมจะพยายามปรับให้เหมือนที่สุด”
คนที่นั่งเงียบอยู่นานก็พูดขึ้น