บทที่ 1 เจ้าแม่กลิ่นจันทร์
บทที่ 1
เจ้าแม่กลิ่นจันทร์
มนพรที่ได้รับโชคครั้งใหญ่ในชีวิตหลังจากที่ต้องสูญเสียเสาหลักอย่างสามีไป เพียงชั่วข้ามคืนชีวิตของเธอกับลูกก็พลิกผัน หญิงสาวเปล่งเสียงหัวเราะและร้องไห้โฮออกมาด้วยความสุดกลั้น ความยากลำบากกว่าสี่ปีที่เธอต้องเผชิญหลังจากที่สามีจากไปนั้นมันสาหัสเหลือเกิน กอปรกับการต้องเลี้ยงลูกน้อยด้วยตัวคนเดียวทำให้เธอเหนื่อยยากทั้งกายใจ แต่ในวันนี้เจ้าแม่นางตานีกลับดลบันดาลโชคลาภให้เธอเสียอย่างนั้น
“ฮือ ๆ ขอบคุณนะคะเจ้าแม่ ลูกช้างจะรีบนำของเซ่นไหว้ อาหารคาวหวาน และสร้างศาลใหม่ให้เจ้าแม่อย่างดีเลยค่ะ”
หญิงสาวยกมือพนมแนบอกด้วยความตื้นตันใจ
มนพรในวัย 30 กว่าปีได้กลายเป็นเศรษฐินีคนใหม่ เธอนำเงินจำนวนหนึ่งมาซื้อที่ดินอันเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่กลิ่นจันทร์มาเป็นทรัพย์สินของตนเอง และเธอยังได้จัดสรรนางรำมารำถวาย รวมถึงปลูกศาลไม้สักเนื้อดีให้กับเจ้าแม่ด้วย
ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างพากันมาตบเท้าเข้ามาขอหวยเจ้าแม่กันแน่นขนัด กลิ่นควันธูปลอยตลบอบอวลไปทั่วดงกล้วยตานี สร้างความรำคาญใจให้กับนางพรายตานีสาวตนนี้เป็นอย่างมาก
“โอ๊ยยยย...เหม็นจะตายอยู่แล้ว พวกมึงไม่คิดจะทำมาหากินอย่างอื่นเลยหรือวะ จ้องแต่จะมาขอหวยจากกูอยู่ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่กูจะให้โชคหรอกนะโว้ย”
เจ้าแม่กลิ่นจันทร์สบถออกมาด้วยความรำคาญใจ แต่ถึงกระนั้นเมื่อเห็นว่าคนใดที่มีบุญวาสนา หรือชะตาต้องกัน เจ้าแม่กลิ่นจันทร์ก็ดลบันดาลให้เห็นเลขเด็ด
“เห็นแล้ว เห็นเลขแล้ว ขอบคุณเจ้าแม่มากเลยนะครับ”
“ไหน ๆ ขอดูบ้างสิพ่อหนุ่ม”
หน้าศาลเจ้าแม่กลิ่นจันทร์เริ่มมีคนเข้ามามุงดูเลขเด็ดที่ต้นกล้วยตานีสูงใหญ่ด้วยความสนใจ แป้งสีขาวที่เทตรงลำต้นกล้วยตานีปรากฏเลขตามที่ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ย
เมื่อคนที่มาขอหวยเจ้าแม่กลิ่นจันทร์กลับไปถูกหวย ข่าวลือเรื่องความแม่นยำราวกับตาเห็นก็ลือกระฉ่อนไปไกล มนพรผู้เป็นคนแรกในรอบร้อยปีที่เจ้าแม่กลิ่นจันทร์ให้โชคนั้น เธอก็ได้จัดสรรที่ทางทำให้คนที่เดินทางมาไกลเพื่อขอหวยเจ้าแม่กลิ่นจันทร์ได้สะดวกมากขึ้น
ณ ตอนนี้จึงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่กลิ่นจันทร์!!
วันเวลาหมุนผ่านไป 20 ปี มนพรได้กลายเป็นเศรษฐินีผู้ร่ำรวยติดอันดับท็อปของประเทศไทย เธอมีมูลค่าทางทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านบาท โดยที่เธอได้ทำธุรกิจร้านทองตามคำแนะนำของเจ้าแม่กลิ่นจันทร์ที่มาเข้าฝัน
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของมนพรเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่มีอนาคตไกล
ธาม ธัญธร โรจนเชาว
บุตรชายเพียงคนเดียวที่ประสบความสำเร็จจากการเริ่มจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เขาใช้เงินทุนจากผู้เป็นมารดามาเปิดกิจการเป็นของตัวเอง จนสามารถทำให้บริษัทของเขาเติบโตอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาแค่สามปี
ชายหนุ่มผู้อายุเพียงแค่ 25 ปี กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มีแต่สาว ๆ มากมายต่างหมายปอง ด้วยใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตา สันกรามคมชัด ดวงตาเรียวคมดุ ริมฝีปากหยักหนา รูปร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างคนสุขภาพดี รวมถึงเงินทองที่เขามีมากมายนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีหญิงสาวมากมายอยากจะเป็นเจ้าของหัวใจของชายหนุ่ม ผู้ที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์และรูปอย่างธาม
“วันนี้ธามแวะกลับไปที่บ้านสวนของเราหน่อยนะลูก แม่มีเรื่องจะพูดด้วยและมีคนอยากให้ธามรู้จัก”
มนพรเอ่ยบอกลูกชายขณะที่ทั้งสองกำลังร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
“มีอะไรเหรอครับแม่ สีหน้าแม่ไม่ค่อยดีเลย”
ธามรวบช้อนส้อมวางลงบนจาน แล้วหันใบหน้ามามองมารดานิ่งด้วยความแปลกใจ
“รอคืนนี้แล้วกันนะ”
“แม่กำลังทำให้ผมยิ่งอยากรู้นะครับ”
“ฮ่าฮ่า ยิ่งลูกอยากรู้ยิ่งกระตุ้นให้ลูกรีบกลับบ้านไงจ๊ะ รีบกลับมานะลูกรัก แม่ขอไปกราบเจ้าแม่กลิ่นจันทร์ก่อน”
“ครับแม่”
ธามส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของมารดา หากแม่ของเขาไม่พูดเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ชายหนุ่มนั่งกินข้าวจนอิ่มจึงได้ลุกแล้วเดินไปยังลานจอดรถ ที่มีรถสปอร์ตคันหรูสีแดงร้อนแรงราวกับเปลวเพลิงจอดรออยู่ก่อนแล้ว ขายาว ๆ ก้าวขึ้นไปนั่งตรงฝั่งคนขับก่อนจะขับรถคู่ใจคันโปรดไปยังปลายทางของวันนี้
บริษัท T.
ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวลงมาจากรถสปอร์ตสีแดง พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบเข้ามาสวัสดีเขาด้วยความนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณธาม วันนี้มาเช้าจังเลยนะครับ”
“อืม วันนี้ก็ฝากด้วยนะลุงสิงห์”
“ครับคุณธาม”
ลุงสิงห์ก้มโค้งแล้วรีบวิ่งเข้าไปขับรถของเจ้านายไปจอดยังที่ประจำ
ธามเดินเข้ามาด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แม้มุมปากของเขาจะมีรอยยิ้มมุมปากที่ดูเข้าถึงง่าย แต่ทุกคนรู้ดีว่าอย่าได้ทำให้คุณธามโกรธเป็นอันขาด ใบหน้าหล่อ ๆ ที่ดูสุภาพและรอยยิ้มละมุน ๆ นี่แหละ น่ากลัวที่สุด!!
“สวัสดีค่ะคุณธาม วันนี้มีประชุมช่วงเช้าเรื่องปิดงบของไตรมาสนี้ และตอนบ่ายคุณไคโรมาขอเข้าพบค่ะ”
‘กอหญ้า’ เลขาสาวผู้ที่ทำงานกับธามมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท และเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของธามด้วยเอ่ยถึงตารางงานของวันนี้
“ขอบคุณครับ”
ธามพยักหน้ายิ้มรับพร้อมกับหยิบแฟ้มติดมือมาด้วย สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนเล็กน้อยเมื่ออยู่กับกอหญ้า หญิงสาวอมยิ้มก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะเพื่อเตรียมแผนการประชุม
การประชุมครั้งนี้กินเวลาหลายชั่วโมงกว่าที่เขาจะเดินออกมาก็พบว่า ‘ไคโร’ เพื่อนสนิทที่สุดของเขาในกลุ่มที่กำลังนั่งรออยู่ที่ห้องทำงานก่อนแล้ว
“ไง! งานเยอะเหรอมึง กูรอจนรากงอกแล้วเนี่ย”
น้ำเสียงทุ้มทะเล้นดังขึ้นมาจากร่างสูงของไคโร เขาเป็นชายหนุ่มที่มีนิสัยที่ตรงไปตรงมา และกวนประสาทที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเพราะอยู่กับไคโร ธามจึงสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
“อืม วันนี้ประชุมปิดงบไตรมาสว่ะ รอนานไหมวะ”
มือหนาเอื้อมมาปลดกระดุมคอเสื้อสองเม็ด เผยให้เห็นแผงอกกำยำที่ชวนใจสั่น
“กูเพิ่งมาถึงสักพักเองว่าจะมาชวนมึงออกไปท่องราตรีคืนนี้ว่ะ ที่ผับมีแต่สาว ๆ เด็ด ๆ ทั้งนั้นเลยนะโว้ย”
ไคโรซู้ดปากพร้อมกับยกนิ้วโป้งสองข้าง ดวงตาคู่คมทอประกายเจ้าเล่ห์ตามประสาหนุ่มโสดที่ทั้งหล่อ และรวย
ไคโรเป็นลูกชายคนที่สองของบ้าน เขาชอบความคึกคักของการท่องเที่ยวราตรีจึงได้มาเปิดผับเป็นของตัวเอง ถือโอกาสทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วย
“ไม่ได้ว่ะ มีนัดแล้ว”
“กับสาว...?”
“ไม่ใช่ กับแม่โว้ย”
“อ้อ แล้วไป กูก็คิดว่ามึงจะตัดสินใจทิ้งพรหมจรรย์ของตัวเองแล้วซะอีก”
ไคโรกลั้วหัวเราะพลางยักไหล่ เขาล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเพื่อนคนนี้ที่หวงความบริสุทธิ์ของตัวเองยิ่งกว่าชีวิตจะลงเอยกับใครได้
ถ้าบอกว่าเพื่อนของเขาคนนี้ยังไม่เคยไปทิ่มสาวที่ไหนเลย จะมีใครเชื่อ
“พูดอะไรน่าขนลุก”
“อ้าว ก็มึงไม่ยอมเอากับใครสักทีนี่หว่า”
“ไม่ใช่ไม่อยากเอา แค่เก็บไว้ให้แม่ของลูก ไม่ได้อยากเอากับใครไปเรื่อยเหมือนมึง กลัวจะเป็นโรคตายห่าก่อน”
“อ้าว! ปากวอนหาเรื่องแล้วไหมล่ะ”
ไคโรรู้สึกฉิวจนอยากจะตะบันหน้าเพื่อนชาย เสียแต่เขาไม่มีความกล้ามากพอ ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่าเวลาที่อยู่กับธามมักรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองพวกเขาตลอดเวลา ขนแขนของไคโรพลันลุกชันด้วยความเสียวสะท้านที่แล่นเข้ามาจู่โจมกะทันหัน
“เป็นอะไรวะ”
ธามเห็นไคโรสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“กูรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองว่ะ”
“มึงคิดมากไปแล้วล่ะ”
ธามส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
ทั้งสองพูดคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ ก่อนจะนัดหมายกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยครั้งหน้าจะมี ‘เซนส์’ เพื่อนสนิทอีกคนไปด้วย
หลังจากที่เคลียร์งานเสร็จ ธามก็ขับรถตรงดิ่งกลับมาที่บ้านทันที แต่ครั้งนี้กลับเป็นบ้านไม้ที่อยู่ชานเมือง บ้านไม้เรือนไทยหลังใหญ่ที่สร้างด้วยไม้สักเนื้อดี ตั้งตระหง่านอยู่ที่สวนผลไม้ เนื้อที่ของบ้านเรือนไทยหลังนี้มีมากกว่า 20 ไร่ ด้านหน้านั้นมีศาลเจ้าแม่กลิ่นจันทร์ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางดงต้นกล้วยตานี โดยที่ผู้เป็นแม่ของเขาได้ให้คนสวนมาดูแลเป็นอย่างดี
ดงกล้วยตานีจึงไม่มีแม้แต่วัชพืชที่ทำให้รู้สึกรกหูรกตา แต่คงจะมีเพียงกลิ่นควันธูป และผู้คนที่มาขอหวยเจ้าแม่กลิ่นจันทร์ ผู้เป็นนางพรายตานีที่สิงสถิตอยู่ที่นี่อยู่ไม่ขาดสาย อาจจะไม่มากเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ก็ยังมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ
“แม่ครับ”
ทันทีที่ธามเดินลงมาจอดรถอยู่หน้าบ้าน มนพรผู้เป็นมารดาก็ยืนยิ้มหน้าบานออกมาต้อนรับเขา ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนคลี่ยิ้มด้วยความยินดี
“มาเร็วกว่าที่แม่คิดอีกนะเนี่ย เหนื่อยไหมลูก”
“ไม่ครับ เราเข้าไปข้างในกันเถอะครับ ตรงนี้ยุงเยอะ”
ธามจูงแขนมารดาให้เดินเข้าไปในบ้าน แต่มนพรกลับดึงรั้งแขนลูกชายเอาไว้
“มาทางนี้เถอะธาม แม่มีคนที่อยากจะให้ธามรู้จัก”
มนพรจูงมือลูกชายไปที่สวนด้านหลัง ซึ่งที่ตรงนี้เขาเห็นว่ามีต้นกล้วยตานีต้นเล็กถูกปลูกอยู่ที่สวนด้านหลัง โดยด้านหน้ามีศาลไม้ขนาดเล็กตั้งตระหง่านอยู่จนธามนึกแปลกใจ
“นี่อะไรครับแม่”
“แม่ให้ท่านอาจารย์มาอัญเชิญเจ้าแม่มาอยู่ที่นี่แล้วจ้ะ แต่บางครั้งเจ้าแม่ก็จะแวะเวียนไปที่ศาลหน้าบ้านเพื่อปัดทุกข์ให้ชาวบ้านด้วย”
“แล้วที่แม่ให้ผมมาหาเจ้าแม่มีอะไรเหรอครับ”
คิ้วเข้มขมวดมุ่นจนแทบจะเป็นปม ลางสังหรณ์ร้องเตือนเขาว่าแม่ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ ๆ
มนพรหัวเราะพลางจับลูกชายให้นั่งอยู่ด้านหน้าศาลเจ้าแม่กลิ่นจันทร์
“เจ้าแม่กลิ่นจันทร์คะ ลูกช้างพาลูกชายมาถวายเป็นสามีให้เจ้าแม่แล้วนะคะ ขอเจ้าแม่โปรดเอ็นดูเจ้าลูกชายตัวแสบของลูกช้างด้วยนะคะ”
“แม่!!”
ธามร้องเสียงหลง พลันหันหน้ามามองผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าด้วยความตกใจ
“เจ้าแม่คงเห็นแล้วว่าลูกชายของลูกช้างดื้อด้านขนาดไหน วอนเจ้าแม่ช่วยอบรมสั่งสอนด้วยนะคะ จะดุจะตียังไงก็ได้ค่ะ ขอแค่เจ้าแม่ช่วยปกป้องคุ้มครองลูกชายของลูกช้างให้ด้วยนะคะ”
มนพรไม่ได้สนใจท่าทีของธามเลย เธอเอาแต่พนมมือไหว้เจ้าแม่กลิ่นจันทร์ด้วยท่าทางสงบ
ธามที่รู้สึกหูอื้อตาลายที่จู่ ๆ เขาก็ได้กลายมาเป็นสิ่งของที่แม่ถวายเขาให้กับนางพรายตานีที่เขาเคยเห็นเมื่อตอนยังเด็กด้วยความมึนงงสับสน หัวใจของชายหนุ่มว้าวุ่นด้วยความไม่พอใจ
ขณะที่เขากำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดที่ผิดกับมนพรที่มีสีหน้ายิ้มแย้มยินดี สายลมหนึ่งหอบก็พัดมาทางใบหน้าของเขา พร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นที่คล้ายกับดอกไม้ป่า ชายหนุ่มสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เขาจำได้อย่างแม่นยำชะโงกใบหน้ามาทางเขา
ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดคลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี แต่ธามกลับรู้สึกขนลุกชันด้วยความหวาดผวา ก่อนที่เขาจะหงายท้องตึงพร้อมกับสติที่ดับวูบลง