บทที่ 1 ทะลุมิติมาในนิยาย (1/2)
“หึ หึ ท่านคิดจะฆ่าฉันโดยพาลูกน้องพวกนี้มาเนี่ยนะ การที่ฉันยอมเดินตามเกมของท่าน นั่นหมายถึงฉันไม่ต้องการเอาชีวิตของตัวเองกลับไป ท่านรู้อะไรไหมไม่ว่าทำด้วยวิธีไหนก็ตาม แต่ภารกิจที่ได้รับมาต้องสำเร็จ เหมือนครั้งนี้อย่างไรล่ะ”
รอยยิ้มของเธอทำให้ทรงภพและคนอื่นถอยหลัง แต่อยู่ ๆ ประตูโกดังโดนปิดและล็อกอย่างแน่นหนา พร้อมกับมีเสียงสั่นเครือเรียกรัศมีไม่หยุด
“พี่มิ้น พี่อย่าทำแบบนี้เลย พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมามากแล้วนะ พี่ออกมาเถอะ”
นพดลหนุ่มรุ่นน้องเรียกชื่อเล่นพร้อมกับน้ำตาไหลพราก ชีวิตนี้เขามีเพียงเธอที่ดีด้วยใจจริง แต่เพื่อภารกิจบ้า ๆ เธอกลับยอมเอาชีวิตเข้าแลก
“เมื่อไม่มีฉัน พวกนายรีบถอนตัวไปซะ พวกนายไม่มีชื่อในองค์กรย่อมมีทางเลือกที่ดีกว่า ทรัพย์สินที่ฉันสร้างมา ฉันทำพินัยกรรมไว้แล้ว หลังจากนี้นายเก็บกวาดทุกอย่างให้เป็นอุบัติเหตุ และช่วยทำศพให้ฉันด้วย”
น้ำเสียงที่พูดราบเรียบเหมือนสั่งงานปกติ ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวหรือเป็นกังวล
นพดลและลูกน้องได้แต่เงียบ เพราะคำพูดของรัศมีคือคำสั่งที่เด็ดขาดไม่ว่าใครก็ขัดไม่ได้ ทุกคนได้แต่หลับตา และถอยห่างให้พ้นรัศมีของระเบิดที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
รัศมีไม่คิดจะต่อรองกับทรงภพอีก นอกจากกดโทรศัพท์ส่งข้อความเป็นสัญญาณให้ลูกน้อง เพื่อให้ระเบิดทั้งหมดทำงาน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! เสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้งก่อนจะมีประกายไฟ ลูกใหญ่กลืนกินโรงงานแห่งนี้ ไม่มีชีวิตของใครหลุดลอยออกไปได้ แม้แต่ตัวของรัศมีเอง ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้มไปทั่ว และคิดว่าจบสิ้นเสียทีชีวิตสายลับและนักฆ่า สองมือเปื้อนเลือดมามากแล้ว ถึงเวลาที่เธอควรจะพักเสียที
“ย่าครับ แม่…แม่จะฟื้นขึ้นมาไหม”
เด็กน้อยวัยสี่ขวบชื่อซืออี้ฝานเขย่าแขนย่าของตน
“ฟื้นสิลูก อย่างไรอาหงก็ต้องฟื้น อาฝานรู้ใช่ไหมว่าแม่ของหลานแข็งแรงแค่ไหน”
ต่อให้นางหลิงมู่จะไม่ชอบสะใภ้คนนี้ แต่เพื่อหลานทั้งสองคนเธอจึงอยากให้ร่างอ้วนท้วนของลูกสะใภ้คนนี้ฟื้นขึ้นมา ยิ่งตอนนี้ลูกชายมาขาดการติดต่อไปหนึ่งปีแล้ว เธอจึงไม่อยากให้อาฝานและเจินเจินต้องขาดแม่ไปอีก
“ย่าขา แม่จะตื่นขึ้นมาอีกใช่ไหม ถ้าแม่ตื่นแล้วแม่จะรังเกียจ เจินเจินกับพี่ใหญ่เหมือนเดิมหรือเปล่าคะ”
ใจหนึ่งเด็กน้อยก็ห่วงแม่ แต่อีกใจก็ไม่อยากให้ตื่นขึ้นมาเพราะแม่ชอบทำร้ายเธอกับพี่ชายเสมอหลังจากที่พ่อไปทำงาน แม้จะจำหน้าพ่อไม่ได้ แต่ย่ามักจะบอกเสมอว่าพ่อไปทำงานเพื่อหาเงินส่งมาให้เธอและพี่ใหญ่ไว้ซื้ออาหารกิน
“ย่าว่าอาฝานและเจินเจินไปกินมื้อเย็นก่อนดีกว่านะ ย่าทำไว้ให้แล้ว ไม่นานแม่ของหลานจะต้องฟื้นขึ้นมา”
นางหลิงมู่ปลอบใจหลานตัวน้อยทั้งสองคน และคิดว่าต่อให้จะโดนลูกสะใภ้ดุหรือตีแค่ไหน แต่คำว่าลูกทำให้หลานของเธอเป็นห่วงแม่ที่หมดสติจนไม่ยอมกินอะไร
“ครับย่า เจินเจิน เราไปกินมื้อเย็นกันก่อน แล้วรีบกลับมาดูแม่ต่อดีกว่านะ พี่ว่าแม่ต้องฟื้นขึ้นมา ต่อไปถ้าแม่จะดุด่าหรือตี พี่จะไม่ขัดขืน อีกแล้ว ขอแค่แม่ฟื้นก็พอ”
นี่เป็นเพียงคำพูดของเด็กอายุสี่ขวบเท่านั้น ซืออี้ฝานใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาของตัวเองและเช็ดน้ำตาของน้องด้วยเช่นกัน เขาเป็นพี่ชายคนโตและเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของบ้านจะอ่อนแอไม่ได้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างจับมือน้องสาวไว้เพื่อจับจูงกันไปกินอาหารที่ย่าทำ ไว้ให้
นางหลิงมู่เช็ดน้ำตาตัวเองและมองแผ่นหลังน้อย ๆ ของหลานรักทั้งสองคนค่อย ๆ ห่างออกไป หลานเธออายุเพียงแค่นี้ ช่างรู้ความนักทั้งสองมักจะช่วยหยิบจับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ เพื่อแบ่งเบาภาระย่า และดูร่างกายของทั้งสองคนสิ กลับผอมแห้งยิ่งกว่าเด็กวัยเดียวกันเพราะความยากจนของครอบครัว
จะว่าไม่มีเงินก็ไม่ได้ ตลอดเวลาที่เฉิงซานส่งเงินมา เจียวหงกลับเก็บไว้คนเดียวและปล่อยให้ลูกน้อยต้องอดอยาก และเธอต้องเก็บผักป่ามาให้ทั้งสองคนกินเพื่อประทังชีวิต บางครั้งก็ต้องขอเชื่อร้านค้าไว้เมื่อเธอทำงานรับจ้างได้เงินมาจึงค่อยนำกลับไปจ่าย
“เจียวหง หล่อนเห็นและได้ยินไหม อาฝานและเจินเจินรู้ความและเป็นห่วงเธอแค่ไหน ใจจริงต่อให้ฉันจะไม่อยากให้เธอฟื้น แต่ฉันต้องสวดภาวนาให้เธอตื่นขึ้นมาให้ได้เพราะหลานทั้งสองคน
เฉิงซานเองก็ขาดการติดต่อไปหนึ่งปี ยายแก่คนนี้ไม่อยากให้หลานทั้งสองคนต้องขาดแม่อีกคน ฉันขอร้องล่ะ หล่อนช่วยฟื้นขึ้นมาได้ไหม ขอร้องล่ะ”
นางหลิงมู่ฟุบหน้ากับที่นอนปล่อยโฮออกมา ตอนนี้หลานทั้งสองออกไปแล้วจึงไม่จำเป็นต้องกลั้นน้ำตาไว้อีก เมื่อร้องจนหนำใจเธอจึงลุกขึ้นเช็ดน้ำตาและจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะมองหน้าลูกสะใภ้อีกครั้ง จากนั้นจึงเดินออกจากห้องเพื่อไปดูหลานทั้งสองคน