บทที่ 4 (1)
จิลลาดาค่อยๆ เคลื่อนกายลงจากเตียงก่อนอรุณรุ่งด้วยกริยาแผ่วเบา พยายามไม่ทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงใหญ่ต้องรู้สึกตัว หญิงสาวคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยๆ ย่องไปยังโต๊ะอ่านหนังสือขนาดใหญ่ซึ่งเธอเห็นเจ้าของนัยน์ตาสีนิลวางสิ่งของส่วนตัวไว้บนนี้
หญิงสาวคว้ากระเป๋าเงินของอีกฝ่ายมาเปิดดูบัตรประจำตัว พร้อมกับอ่านชื่อนามสกุลซึ่งมีภาษาอังกฤษพิมพ์กำกับไว้ด้วย
“พันเอกจาฮัสด์ คาซิน ฮารีมม์ ฮึ! ผู้พันก็ผู้พันเถอะ เดี๋ยวฉันจะแจ้งตำรวจให้จับคุณ”
เรียวปากอิ่มที่บวมเจ่อเพราะพิษจุมพิตเร่าร้อนพึมพำออกมาด้วยความแค้น กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ พลันนั้นก็เหลือบสายตามองเห็นปืนพกของอีกฝ่ายที่วางไว้ใกล้ๆ กัน หญิงสาวยิ้มเย็นตรงมุมปาก คว้าปืนมาถือไว้มั่น ก้าวเดินด้วยปลายเท้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ หัวเตียง แล้วใช้กระปอกปืนตบลงไปเบาๆ บนพวงแก้มสากมีไรเคราขึ้นเขียวครึ้มของผู้พันหนุ่ม โดยไม่ลืมเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วย
“พันเอกจาฮัสด์ คาซิน ฮารีมม์ ตื่นได้แล้ว”
ผู้พันหนุ่มถูกฝึกให้เป็นคนนอนหูไว้อยู่แล้ว พอมีวัตถุเย็นๆ มากระทบแก้ม พร้อมกับเสียงเรียกของจิลลาดา ก็ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว และเมื่อดวงตาคมกริบปะทะกับปืนพกของตนเอง ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในมือของจิลลาดาแล้ว ก็สบถลั่นด้วยความเกรี้ยวกราด
“นรก! วางปืนลงเดี๋ยวนี้แพรไหม”
“ไม่!” จิลลาดาตอบกลับเสียงแข็ง ก่อนจะสั่งอีกฝ่ายต่อ “พันเอกจาฮัสด์ คาซิน ฮารีมม์ใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ ฉันจะพาคุณไปส่งให้ตำรวจ”
ในตอนแรกพันเอกจาฮัสด์โกรธตัวเองที่เผลอวางปืนไว้ให้จิลลาดาคว้ามาข่มขู่เขาได้ แต่เมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่างก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ แล้วเอ่ยถามหญิงสาวอย่างยียวนกวนโทสะ
“เรียกซะเต็มยศเลยนะแพรไหม ว่าแต่จะส่งเราให้ตำรวจในข้อหาอะไรไม่ทราบ”
จิลลาดาไม่ทันมอบข้อหาอุกฉกรรจ์ให้กับผู้พันหนุ่ม ผู้กองคาฮานก็เดินเป็นวิ่งเข้ามาในห้องนอนของผู้บังคับบัญชาเสียก่อน
“ผู้พันครับ ท่านชีคโทรมา...โอ้! ปืน!”
ผู้กองคาฮานชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะร้องเสียงหลง เมื่อเห็นปืนพกของผู้พันหนุ่มตกไปอยู่ในมือของจิลลาดา แถมหญิงสาวยังเล็งปืนไปยังหัวสมองของผู้บังคับบัญชาตนเองด้วย
“คาฮาน! หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเข้ามา”
ผู้พันจาฮัสด์รีบตะโกนสั่งลูกน้อง ขณะเหลือบสายตาเห็นผู้กองคาฮานทำท่าจะกระโจนเข้ามาตะครุบตัวจิลลาดาไว้ จากนั้นก็เอ่ยบอกผู้กองหนุ่มด้วยภาษาถิ่นให้รู้กันแค่สองคน
ผู้กองคาฮานหัวเราะฮึๆ อยู่ในลำคอ หลังจากได้ยินคำสั่งของผู้บังคับบัญชา จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วก้าวถอยออกจากห้องพร้อมกับสัพยอกผู้พันหนุ่มด้วย
“ขอให้สนุกกับเกมนะครับผู้พัน”
ผู้พันจาฮัสด์รอจนกระทั่งลูกน้องออกไปจากห้องแล้ว จึงหันมาให้ความสนใจกับจิลลาดาต่อ
“เมื่อสักครู่เราพูดถึงเรื่องไหนแล้วแพรไหม”
“แต่งตัวเดี๋ยวนี้ผู้พันจาฮัสด์!”
จิลลาดาสั่งเสียงเข้มอีกครั้ง ทว่าผู้พันหนุ่มหาได้หวาดกลัวกับคำสั่งของหญิงสาวไม่
“จะแต่งตัวไปทำไม เพราะอีกสักครู่เราก็ต้องถอดเสื้อผ้าแล้ว เจ้าก็เหมือนกัน จะแต่งตัวไปทำไม เสียเวลาเปล่าๆ เดี๋ยวเราก็จับเจ้าถอดเสื้อผ้าเหมือนเดิม”
ผู้พันหนุ่มเอ่ยตอบกลั้วหัวเราะ เริ่มสนุกที่ได้เล่นเกมกับหญิงสาว ซึ่งยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆ ใส่เขาอยู่ในขณะนี้
“บอกให้ใส่เสื้อผ้า ไม่ยังงั้นฉันยิงคุณจริงๆ แน่ผู้พัน”
จิลลาดาขู่ฟ่อทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะยิงอีกฝ่ายถูกหรือเปล่า เกิดมาเพิ่งเคยจับปืนเป็นครั้งแรก แล้วเจ้าปืนกระบอกใหญ่ที่กำลังถืออยู่ในขณะนี้ก็หนักเอาการซะด้วย
ผู้พันจาฮัสด์กระตุกยิ้มตรงมุมปาก เอ่ยยั่วหญิงสาวต่อ “บอกมาก่อนสิว่าจะให้ตำรวจจับเราในข้อหาอะไร ทราบข้อหาอุกฉกรรจ์แล้วเราจะรีบแต่งตัวทันที”
“คุณข่มขืนฉัน คราวนี้คุณได้ติดคุกหัวโตแน่”
ผู้พันหนุ่มหัวเราะฮึๆ อยู่ในลำคอ แล้วลั่นวาจาออกมาให้จิลลาดาต้องอายหน้าแดงซ่าน
“แต่เราไม่คิดว่าเป็นการข่มขืน เพราะเจ้าเองก็ครางลั่นด้วยความสุข แถมยังครูดเล็บไปตามแผ่นหลัง เร่งให้เรามอบความสุขให้กับเจ้าเร็วๆ จนเราแสบหลังไปหมด”
จิลลาดาอายหน้าแดงซ่าน ร้อนผ่าวไปทั้งตัว เพราะสิ่งที่ผู้พันหนุ่มพูดมานั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
“ฉันบอกให้แต่งตัว ได้ยินไหมผู้พันจาฮัสด์”
“อืม...เราชอบเวลาเจ้าเรียกชื่อของเรานะแพรไหม ฟังแล้วชวนขนลุกซู่ แต่ถ้าจะให้ดี เราอยากให้เจ้ากระซิบเรียกชื่อของเรา ตอนเราอยู่ในตัวเจ้ามากกว่า”
ผู้พันจาฮัสด์นึกชอบใจทุกครั้งที่เห็นจิลลาดาอายหน้าแดงซ่าน อีกทั้งยังคิดว่าเขาคงรู้สึกวาบหวิวรัญจวนใจอยู่ไม่น้อย ตอนหญิงสาวกระซิบเรียกชื่อเขา ขณะเขากำลังโลดแล่นขับกล่อมเพลงรักอยู่บนตัวเธอ และเขาก็จะทำตามที่พูดในเร็วๆ นี้ด้วย
“ฉันนับถึงสอง ถ้าคุณไม่แต่งตัวฉันยิงคุณจริงๆ ด้วย”
จิลลาดาขู่ฟ่ออีกครั้ง โมโหจับใจที่อีกฝ่ายไม่เผยท่าทีหวาดกลัวให้เห็นแม้แต่นิดเดียว
ส่วนผู้พันจาฮัสด์หัวเราะร่วนกับคำขู่ของหญิงสาว “ปกติเขาต้องนับหนึ่งถึงสามไม่ใช่หรือแพรไหม ทำไมเจ้าถึงนับแค่สองล่ะ”
“ฉันพอใจจะนับแค่สอง ใครจะทำไม”
หญิงสาวตอบอย่างยียวนกวนโทสะ ทำเอาผู้พันหนุ่มต้องหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
“นับหนึ่งถึงสอง ถ้าเราไม่แต่งตัว เจ้าจะยิงเราใช่ไหมแพรไหม”
“ใช่ ยิงให้หัวสมองและไอ้นั่นกระจุยไปเลย”
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือทูนหัว ของดีๆ แบบนี้จะยิงทิ้งทำไมล่ะครับ”
ผู้พันจาฮัสด์ไม่ได้โอดครวญปากเปล่าเท่านั้น ทว่าเขาได้สะบัดผ้าห่มออกให้พ้นตัว เผยให้เห็นกายแข็งขึงใหญ่โตที่กำลังชูชันเต้นระริกล่อสายตาของจิลลาดาอยู่
จิลลาดาถึงกับหน้าแดงซ่านร้อนผ่าวไปทั้งตัว ขณะเหลือบสายตาเห็นกายแข็งขึงทรงพลังที่ดุนดันหันเข้าหาเธออยู่ในยามนี้ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ พยายามเก็บซ่อนความหิวกระหายในรสรักของตนเองไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น
“แต่งตัวเดี๋ยวนี้ผู้พันจาฮัสด์” จิลลาดาสั่งเสียงเข้ม หักห้ามใจไม่ให้เหลือบมองกายแข็งขึงตรงหน้า
“ไม่!” ผู้พันจาฮัสด์ปฏิเสธเสียงแข็งไม่แพ้กัน “เชิญยิงผัวได้ตามสบายเลยแพรไหม”
“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ายิงคุณนะผู้พันจาฮัสด์”
ว่าแล้วจิลลาดาก็ลั่นไกปืนทันที แต่เสียงปืนที่ดังแชะ! ไม่มีกระสุนหลุดออกจากกระปอกปืนแม้แต่นัดเดียว ทำเอาหญิงสาวต้องงุนงงเป็นไก่ตาแตก
“ทำไมยิงไม่ได้”
“เขาต้องปลดเซฟก่อนทูนหัว ถึงจะยิงได้”
ผู้พันจาฮัสด์ตอบกลั้วหัวเราะ โดยไม่ลืมคว้าปืนมาจากคว้าเล็ก พร้อมกับจับยึดต้นแขนเนียนไว้แล้วกระชากให้ร่างบางระหงล้มลงมาบนลำตัวของตนเอง
“เตรียมตัวรับมือให้ดีนะแพรไหม ต่อไปจะเป็นการลงโทษคนที่บังอาจคิดยิงผัวตัวเอง”
“ปล่อยฉัน!”
จิลลาดาตวาดลั่นดิ้นขลุกขลักเพื่อลงจากลำตัวเปล่าเปลือยของผู้พันหนุ่ม โมโหจับใจที่เสียรู้ให้กับผู้พันจาฮัสด์อีกครั้งแล้ว
“ดิ้นเข้าแพรไหม ยิ่งเจ้าดิ้นมากเท่าไร ยิ่งกระตุ้นให้เราอยากรักเจ้ามากเท่านั้น”
ผู้พันจาฮัสด์กระซิบชิดปทุมถันที่อยู่ใกล้ริมฝีปากของเขามากที่สุด ก่อนจะอ้าปากครอบครองเนินเนื้อเต่งตึงทั้งๆ ยังมีเสื้อผ้าปกปิดอยู่
จิลลาดาสะดุ้งตกใจ ตอนถูกครอบครองด้วยริมฝีปากเปียกชื้น พอถูกมือใหญ่จับตรงซอกเอวแล้วเลื่อนให้ไปนั่งกดทาบทับความแข็งขึงร้อนผะผ่าว ก็ถึงกับสูดปากบิดกายด้วยความเสียวซ่าน แม้ตัวเธอยังสวมเสื้อผ้าอยู่ครบชุด กระนั้นก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวของกายแข็งขึง ที่ดุนดันสะโพกผายมนและดินแดนแห่งรักของเธออยู่
เมื่อผู้พันจาฮัสด์ปลดเสื้อผ้าเธอออกอีกครั้งก็ไม่มีแรงขัดขืน ยอมให้อีกฝ่ายเปลื้องผ้าตนเองออกแต่โดยดี พอริมฝีปากร้อนรุ่มกดจูบซุกไซ้หนักหน่วงระหว่างปทุมถันทั้งสอง ก็แหงนศีรษะไปทางข้างหลังเปิดทางให้ริมฝีปากร้อนรุ่มกดจุมพิตมอบความวาบหวามได้อย่างเต็มที่
“แพรไหมรักเรา รักเราเหมือนที่เราเคยรักเจ้าเมื่อคืนที่ผ่านมา”
ผู้พันจาฮัสด์กระซิบสั่งเสียงสั่นพร่า เคลื่อนริมฝีปากเข้าไปจูบเร่าร้อนดุดันทั่วยอดถันสีหวานทั้งสองข้างอย่างเท่าเทียมกัน
“แพร ไม่เข้าใจ ผู้พันหมายถึงอะไรคะ”
จิลลาดาเอ่ยถามเสียงขาดห้วง พอยอดถันถูกขบกัดเบาๆ พร้อมกับดูดกลืนหนักหน่วงก็หวีดเสียงครางลั่นอย่างไม่อาย
“ทำแบบนี้ยังไงล่ะครับ”
ผู้พันจาฮัสด์จับเอวเล็กยกขึ้นเล็กน้อย ให้ความแข็งแกร่งเร่าร้อนของตนเองถูไถไปทั่วกลีบดอกไม้หวาน จนสัมผัสได้กับความหวานฉ่ำของลาวารัก จากนั้นก็ลดกายหญิงสาวให้เข้ามาครอบครองกลืนกินกายเขาจนหมดสิ้นทั้งความใหญ่โต
“โอ้...ผู้พัน”
จิลลาดาครางกระเส่าด้วยความซ่านสยิวอย่างหนัก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการได้ควบคุมเกมรักเป็นฝ่ายโลดแล่นอยู่บนกายกำยำล่ำสัน จะสร้างความรัญจวนใจให้กับเธอได้มากถึงเพียงนี้
“แพรไหม ขยับกายสิครับ ลองขยับช้าๆ”
ขณะกระซิบสั่ง ผู้พันจาฮัสด์ก็กระดกสะโพกส่ายไปมาเป็นการนำทางจังหวะรักให้หญิงสาวลองทำตาม พอร่างบางอรชรเริ่มส่ายสะพวกตามอย่างช้าๆ ก็ครางกระเส่าคลื่นความสุข ความซ่านสยิวเริ่มถาโถมเข้าใส่ทั่วเรือนกาย
“แพรไหม เร็วอีกนิด”
จิลลาดาคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว หัวสมองของเธอมีแค่ดำกฤษณาที่แล่นวนอยู่รอบกาย หญิงสาวโรมรันจังหวะรักในท่วงทำนองที่เร็วขึ้นตามจังหวะการเร่งเร้าของผู้พันหนุ่ม ซึ่งกระดกสะโพกตอบรับในชั้นเชิงรักที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความวาบหวามเสียวซ่านทะยานขึ้นสูง ขณะกดกายโรมรันหนักหน่วงตอดรับกายแข็งขึงใหญ่โต ที่จมดิ่งอยู่ในกายของตนเอง