บทที่ 4 (1)
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งที่เป็นชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้ใช้แผ่นดินทองอันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นประตูแห่งการเดินทางไปสู่อีกประเทศหนึ่ง เช่นเดียวกันกับเจ้าชายอีสดรีสส์ที่ได้เดินทางมาเยือนเมืองไทย เพื่อเจรจาธุรกิจกับรัฐบาลไทย
การมาทำธุรกิจที่ประเทศไทยเป็นแค่เพียงเป้าหมายรอง เพราะเป้าหมายหลักที่เจ้าชายอีสดรีสส์ ต้องการคือการมารับตัวคู่หมั้นสาวกลับประเทศดาลิยา
บุรุษชาติอาหรับรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มทั้งสี่คน ซึ่งกำลังเดินออกมาจากฝั่งผู้โดยสารขาเข้า เป็นที่สนใจแก่ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นอย่างมาก โดยเฉพาะสาวๆ ต่างก็หยุดยืนมองบุรุษชาติอาหรับในชุดสูทสีดำสนิทที่เดินนำหน้าคนอื่น ช่างดูหล่อเหลาเปล่งรัศมีความเป็นเจ้าแผ่นดิน จนสาวๆ หัวใจแทบละลาย อยากจะถลาเข้าไปซบอกกว้างแข็งแกร่งยิ่งนัก
“เรียกรถไว้แล้วใช่ไหม อามิล”
เจ้าชายอีสดรีสส์เลือกที่จะตรัสถามเป็นภาษาอาหรับ แทนการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเจ้าชายจากดินแดนทะเลทรายอย่างพระองค์จะสามารถตรัสได้
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเรียกไว้สองคันพ่ะย่ะค่ะ”
อามิลรับคำพร้อมกับรายงานให้เจ้าเหนือหัวทรงทราบ การเดินทางมาเมืองไทยในครั้งนี้ เจ้าชายอีส
ดรีสส์ทรงทำพระองค์ไม่ต่างจากผู้โดยสารคนอื่นๆ เจ้าชายหนุ่มไม่ได้เข้าช่องตรวจหนังสือเดินทางที่เป็นช่องสำหรับผู้โดยสารวีไอพี ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะซักถามอะไร พระองค์ก็ตรัสตอบตามปกติด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ ไม่มีการเบ่งอำนาจให้เห็น ทั้งๆ ที่มีอำนาจล้นมือ ผิดกับกลุ่มคนบางคน ซึ่งมีอำนาจแค่หยิบมือเดียว แต่กลับเบ่งอำนาจใส่ผู้ที่ด้อยกว่าไม่มีหยุดหย่อน
“ไปโรงแรมเดอะ คิง ออฟ คอรันดัม”
อามิลบอกคนขับรถเป็นภาษาไทย เมื่อเจ้าชายอีสดรีสส์และตัวเขาเองได้ก้าวขึ้นมานั่งในรถเบนซ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ได้ครับ”
คนขับรถซึ่งแต่งตัวสะอาดสะอ้านด้วยชุดสูทของพนักงานขับรถประจำสนามบินได้รับคำอย่างสุภาพ พร้อมกับออกรถอย่างนุ่มนวล มุ่งหน้าไปยังโรงแรมเกินห้าดาวที่มีหนึ่งเดียวในเมืองไทย ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากบรรดามหาเศรษฐีทั่วโลกและเจ้าชายเกือบทุกประเทศเลือกที่จะประทับในโรงแรมแห่งนี้
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะตามหาคุณอัลรีน่าก่อน หรือว่าจะเข้าไปพบกับรัฐบาลไทยเพื่อเจรจาเรื่องธุรกิจก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
อามิลถามเจ้าเหนือหัวที่กำลังให้ความสนพระทัยหันไปทอดพระเนตรมองนอกตัวรถ เพื่อชมทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ในยามตะวันสาดส่อง ซึ่งดูสวยงามไม่แพ้ในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากหลอดนีออน
“ไม่ได้มาเมืองไทยเสียนาน กรุงเทพฯ ในวันนี้ดูแปลกตาไปจากเดิมมาก”
แทนที่จะตรัสตอบคำถามขององครักษ์อามิลซึ่งนั่งคู่กันที่เบาะหลัง เจ้าชายอีสดรีสส์กลับตรัสไปอีกเรื่อง ทำเอาอามิลต้องลอบตีหน้าเมื่อย เมื่อตามอารมณ์ของเจ้าเหนือหัวไม่ทัน
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กรุณาให้ความกระจ่างกระหม่อมสักนิดเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้นัดกับรัฐบาลไทยและผู้รวมหุ้นรายอื่นด้วย”
อามิลขอร้องทั้งน้ำเสียงและสีหน้า การมาเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ ผู้ที่มีอำนาจต่อรองมากที่สุดคือเจ้าชายอีสดรีสส์ ซึ่งนำเม็ดเงินจำนวนมหาศาลมาลงทุนที่ประเทศไทย จนรัฐบาลไทยไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งการเจรจาเซ็นสัญญาทำธุรกิจจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเจ้าชายอีสดรีสส์ไม่แจ้งวันเวลาให้ทางรัฐบาลและผู้รวมหุ้นรายอื่นได้เข้าเฝ้า
เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงหันมาทอดพระเนตรมององครักษ์เอก ก่อนจะสัพยอกกลั้วพระสรวล
“นอกจากจะทำหน้าที่องครักษ์ได้เข้มแข็งแล้ว ยังทำหน้าที่เลขาฯ ได้ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยนะเจ้าอามิล”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่ถ้าให้ดี กระหม่อมอยากได้คำตอบตามที่กระหม่อมต้องการมากกว่าคำชมพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะรู้ดีว่าเจ้าชายอีสดรีสส์สัพยอกแกมประชดประชัน แต่อามิลก็โค้งศีรษะรับคำชมพร้อมกับเอ่ยย้ำขอคำตอบที่ตนเองยังรอคอยอยู่
“วันพรุ่งนี้แล้วกันอามิล นัดผู้ที่เกี่ยวข้องมาเจรจาธุรกิจตั้งแต่ไก่โห่ไปเลย”
เจ้าชายอีสดรีสส์กำหนดวันเวลาให้ตามที่องครักษ์อามิลต้องการ จากนั้นก็หันไปชื่นชมทัศนียภาพนอกตัวรถต่อ ก่อนจะตรัสออกมาโดยไม่ได้หันมามองคู่สนทนา
“ก็ดีเหมือนกันอามิล รีบๆ คุยธุรกิจให้เสร็จ เราจะได้เล่นเกมแมวไล่จับหนูได้อย่างเต็มที่”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
อามิลรับคำไม่เต็มเสียงนัก พร้อมกับตีหน้ามุ่ยไม่ค่อยเห็นดีด้วยสักเท่าไร เพราะเห็นชัดเจนแล้วว่าเจ้าชายอีสดรีสส์ทรงเห็นเรื่องการเจรจาธุรกิจเป็นเพียงเรื่องเล่นๆ แต่การแก้แค้นอัลรีน่าที่ทำให้พระองค์ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าชายนักรัก เปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า ต้องมาอับอายคนทั่วทั้งประเทศ เป็นเรื่องใหญ่ที่พระองค์ทรงต้องการทำมากที่สุดในเวลานี้
รถเบนซ์สีขาวสะอาดสองคันได้ตีวงมาจอดหน้าโรงแรมอย่างนุ่มนวล ด้วยฝีมือการขับของสารถีผู้มีประสบการณ์นับสิบๆ ปี พนักงานรับรถซึ่งรออยู่แล้ว ต่างก็รีบวิ่งไปเปิดประตูรถให้กับบุรุษชาติผู้ทรงอำนาจ จากนั้นก็ยกมือไหว้แขกที่ให้ความเมตตามาพักที่ เดอะ คิง ออฟ คอรันดัม อย่างนอบน้อมไม่มีเคอะเขิน
“เดอะ คิง ออฟ คอรันดัม”
เจ้าชายอีสดรีสส์อ่านป้ายชื่อของโรงแรมที่ทำอย่างสวยงามหรูหราด้วยตัวหนังสือสีทอง ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พลางหันไปเลิกพระขนงตรัสถามองครักษ์เอก
“เจ้าจะให้เราพักที่นี่งั้นหรืออามิล”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เดอะ คิง ออฟ คอรันดัม เป็นโรงแรมเกินห้าเดียวแห่งเดียวในประเทศไทย เวลามาเมืองไทยกระหม่อมก็เลือกพักที่นี่ เรื่องความสะอาด ความปลอดภัย อาหาร หรือสถานบันเทิงต่างๆ ไม่ต้องเป็นห่วง โรงแรมแห่งนี้มีไว้บริการอย่างครบครันพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์อามิลเลือกโรงแรมเดอะ คิง ออฟ คอรันดัม เป็นสถานที่ประทับของเจ้าชายอีสดรีสส์ ด้วยเหตุผลที่เขาพิจารณาแล้วเห็นว่า โรงแรมแห่งนี้ผ่านเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้คือเรื่องความปลอดภัย เพราะมีมหาเศรษฐีหรือบรรดาท่านชีค เจ้าชายจากหลายประเทศเลือกพักในโรงแรมหรูแห่งนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของจึงมีการติดตั้งระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก
เจ้าชายอีสดรีสส์พยักพระพักตร์รับ ก่อนจะตรัสสั่งพระสุรเสียงราบเรียบ “จัดการเรื่องห้องพักเร็วๆ แล้วกัน เราอยากพักเต็มทีแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อามิลโค้งคำนับรับคำ กำลังจะเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ก็มีพนักงานต้อนรับวัยค่อนคน และพนักงานสาวอีกสองคน ซึ่งถือถาดเงินมันวับมีดอกกล้วยไม้ที่จัดเป็นช่อเล็กๆ วางไว้บนถาด ได้เดินเร็วๆ เข้ามาพร้อมกับยกไหว้พวกเขาเสียก่อน
“เดอะ คิง ออฟ คอรันดัม ยินดีต้อนรับค่ะ ขออนุญาตติดดอกกล้วยไม้นะคะ”
หัวหน้าพนักงานหรือที่พนักงานทุกคนต่างก็เรียกว่าป้าสมศรีแย้มยิ้มหวาน ยกมือไหว้แขกทั้งสี่คนด้วยกิริยานอบน้อม จากนั้นก็รับช่อดอกกล้วยไม้ช่อเล็กมาจากลูกน้อง แต่พอจะเอื้อมไปติดให้กับบุรุษชาติอาหรับคนแรกที่ยืนเด่นอยู่ข้างหน้าสุดก็มีอันต้องสะดุ้งเฮือก ปล่อยให้ช่อดอกกล้วยไม้หล่นจากมือ เมื่อถูกตวาดดังลั่น
“ไม่ต้อง! ถอยออกไป!”
เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงตวาดพระสุรเสียงลอดไรพระทนต์ ดวงเนตรดำขลับขึงมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอพระทัย
“เอ่อ...ค่ะ...ค่ะ...ดิฉันขอโทษค่ะ”
ป้าสมศรีตัวสั่นตกใจด้วยความหวาดกลัว เกิดมาไม่เคยเจอใครหน้าดุ แถมยังจ้องมองเขม็งราวกับจะฆ่านางให้ตายด้วยสายตาคมกริบ
“จะ...จะ...รับห้องพักกี่ห้องดีคะ”